31 สิงหาคม 2552

วิธีทำลายเซ็น Hotmail (Signature)

.....มาทำลายเซ็นใน Hotmail (Signature) ใน Hotmail ง่ายๆ
เพราะว่า การทำงานในสายงานติดต่อกัน ระหว่างเมล์นั้น ต้องมีหลักสากล ต้องมีลายเซ็นต์ในเมล์ด้วย

มาดูวิธีง่ายๆ และหลักการทำ

1.เข้าไปที่ www.hotmail.com

2.ไปที่ตัวเลือกเพิ่มเติม (more options)
3. ลายเซ็นอีเมลส่วนบุคคล (Personel e-mail signature)


3.จะมี Rich text ให้ตกแต่งลายเซ็น


แนะนำว่า การทำ ลายเซ็นต์ ควรมี คำว่า
Best Regards ชื่อนามสกุล เสมอ
ส่วนที่จะเพิ่มคือ เบอร์โทรศัพท์ เมล์ เว็บไซต์

Best Regards
Praween Luangwattanawanich
Mobile : +6681-1833659
E-Mail : praween_19@hotmail.com
Website : http://www.esanupdate.com

สุดท้ายก็บันทึก เรียบร้อย

คราวนี้เวลา เพื่อนๆ จะส่งเมล์หาใคร หรือว่า FW Mail Signature Mail จะขึ้นมาให้เองเลยหละ

สิ่งที่ไม่แนะนำคือ พวกรูปภาพ อย่าใส่มากเพราะจะมีปัญหา เรื่องความสวยงาม และความเป็นทางการด้วย

ที่มา : http://www.board.esanupdate.com

29 สิงหาคม 2552

เมีย...แบบต่าง ๆ ขำขำ



เมียหลวง คือ ภรรยาที่เคยดีที่สุดในอดีต แต่กาลเวลาและสิ่งแวดล้อมทำลายความดีของเธอ จนหมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และทิ้งความโหดร้ายไว้ให้เธอต้องรับผลกรรม คือ ความจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น แก่ง่าย ตายยาก พูดมาก กินจุ อ้วนเหมือนหมู ดุเหมือนเสือ

เมียเก็บ คือ อาหารพิเศษ มีรสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไป เหมาะที่จะกินเป็นครั้ง เป็นคราว เพื่อแก้เลี่ยน เป็นสินค้ายอดนิยมและมีราคาแพง เงื่อนไขเยอะ

เมียน้อย คือ ผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ผู้ชายเพิ่งมาค้นพบภายหลัง

เมียแต่ง คือ ผู้หญิงที่ทรงคุณค่าและคุณผู้ชายอยากจะประทับรอยรักสุดใจขาดดิ้ น แต่ไม่ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้

เมียเช่า คือ ผู้หญิงผิวคล้ำ ขี้ร้อน ใช้เสื้อผ้าน้อยชิ้น สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นงานอดิเรก รสนิยม สูง นิยมบริโภคของนอก มีปริมาณความรักขึ้นลงตามกระแสเงินสด

เมียจ๋า คือ ผู้หญิงหน้าดุเหมือนเสือ ยืนชูไม้ต้นรักเหมือนเทพีสันติภาพ และมีสามีนั่งคุก เข่าอยู่กับพื้น ประสานมือเหนือหน้าอกเหมือนไหว้เจ้า เพราะมีประวัติเพิ่งทำการ ละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของภรรยาบังเกิดเกล้า ลักษณะตัวสั่น น้ำลายไหลเล็กน้อย พูดตะกุกตะกักว่า 'เมียจ๋า' ซึ่งเป็นคำพูดในความหมาย ขออภัย ไถ่โทษ

เมียกู คือ ผู้หญิงสวย ขาว หุ่นเพรียวผอม อายุน้อย หน้าตาน่ารัก เพราะยังไม่มีการรวม ตัวของไขมันและตีนกา พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ผู้ชายที่พบเห็นจะเกิดอาการเขื่อน กั้นน้ำลายพัง ทำให้เอ่อล้นออกมานอกปาก แสดงอาการหึงหวง กีดกันชายอื่นไม่ ให้เข้าใกล้ แสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งที่บางครั้งยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง

เมียบังเกิดเกล้า คือ ผู้หญิงที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ความรู้น้อย บริหารงานไม่เป็น vision เป็นศูนย์ เผด็จการ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคาย บุคลิกภาพน่ารังเกียจ เป็นที่ชิงชังของเพื่อนบ้านและผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะสามี จากคุณสมบัติที่น่าสยดสยองดังกล่าว ทำให้สามีเกลียด ขยะแขยง คลื่นไส้จนไม่ อยากพูดด้วย ไม่อยากโต้ตอบ ไม่อยากมีเรื่อง สามีที่มีภรรยาประเภทนี้ จึงใช้คำ พูดอยู่สองคำ คือ 'ครับ' และ 'ใช่ครับ' และใช้สรรพนามเรียกภรรยาว่า 'แม่' มัก อธิบายให้เพื่อนฟังว่า เรียกตามลูก แต่เพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกตามลูกหรือเรียก ด้วยความเคารพยำเกรง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง และที่สำคัญ ได้ลบคำว่า 'นอก ใจ'ออกจากสมองและพจนานุกรมในบ้านเรียบร้อยแล้ว

ความหมายของคำว่า เมีย (WIFE)

W = without = ปราศจาก

I = Information = แจ้งให้ทราบ

F = Fighting = ต่อสู้ (ทะเลาะ)

E = Every Day = ทุก ๆ วัน
รวมความก็คือ Without Information Fighting Every day แปลเป็นไทยก็คือ หาเรื่อง ทะเลาะได้ ทุก ๆ วัน โดย ปราศจาก การ แจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ในเมื่อทราบกันแล้วว่าความหมายของภรรยา ก็มาฝั่งสามี กันบ้าง

สามี ความหมายของคำว่า ผัว (HUSBAND)

H Has มี

U Unceasingly ไม่มีหยุดหย่อน

S Shame ละอาย

B But แต่

A Annoyance ความน่ารำคาญใจ

N No ไม่

D Dispute โต้เถียง ทะเลาะ
รวมความก็คือ Hate Dispute But Seek Unceasingly Annoyance; No Shames แปลเป็นไทยก็คือ เกลียดการทะเละแต่ชอบหาเรื่องรำคาญใจมาให้ไม่หยุดหย่อนและไม่มีความละอายใจ

อันนี้แถม
เมียคนอื่น = หญิง ขาว สวย หมวย X มองยังไงก็ไม่เบื่อ มองเมื่อไรก็น่ารัก เห็นแล้วอยากเป็นเจ้าของ แต่ก็หมดสิทธิ์ เพราะแฟนมันมีปืน !!

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร ขำดี มีสาระ




1. นิมนต์พระ

หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมาการยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดีรอซักพัก

พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่านการนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า "ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะนิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก)
มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" (เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณโยม
บางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -")
การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วยถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่
ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษามากก็เรียกหลวงตา
หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุงหลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสียself จนอยากสึกออกไปทำ baby face
โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่ากวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ

อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะการจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐานการจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไปเคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกกนานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

3. ถอดรองเท้า

ยืนด้วยเท้าเปล่าจริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่านเพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่งมีหลายประเภทเหมือนกัน

เช่นบางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า

พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"
โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยมโยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะอิบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร

อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร

อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า

บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตรพระฉันไป เข้าห้องน้ำไปพวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ

นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่าเคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไปเคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่าแต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"
การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวมโยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!! นึกว่ากาลิเลโอกลับชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)

5. รับพร

หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พรเราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว(ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก))
ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสมระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวรและอื่นๆ ก็ว่ากันไป

การใส่บาตรที่อยากแนะนำก็มีประมาณเท่านี้ขั้นตอนการทำบุญง่ายๆตื่นเช้ามาใส่บาตรกันเถอะ

บทความจากน้าเน็ก.."อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะ"


อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ
- ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์

1. คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า......... แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้ นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว
นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่ เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น
...... คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอม ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....
พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว ทำงานในสิ่งที่เรารัก
เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว ใช้เวลา ( ที่อาจจะ)
สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล .......
คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบ แยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

25 สิงหาคม 2552

สร้างความสุขด้วยตนเอง

1.รู้จักรัก รักตัวเองให้ถูกทาง ดูแลตังเองให้ดี อย่าจมปลักอยู่กับอดีตและสิ่งที่จะให้ตัวเองย่ำแย่ และก็อย่ารักมากจนเห็นแก่ตัว


2.พอใจ..เพียงพอ พอใจกับสิ่งที่ตนเองมี ยินดีกับสิ่งที่คนอื่นได้ ลดอาการอิจฉาเพื่อความบั่นทอนความสุขเอาซะมากๆ


3.เข้าใจ เข้าใจโลกให้มากขึ้นอย่ามองในแง่ร้าย แง่ดีๆก็มีให้มองตั้งเยอะแยะและอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่าง


4. อิสระ ให้อิสระกับตัวเองให้มากขึ้น อยากทำอะไรก็ทำตามใจตัวเองแต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ


5. รู้จักให้ สะกดคำว่าเสียสละให้คุ้นหู ท่องคำว่าแบ่งปันให้ขึ้นใจ คำว่าให้ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่อาจจะเป็นความรัก ความรู้สึกหรือความเห็นอกเห็นใจ


6.ให้โอกาสตัวเอง ลองทำอะไรที่คิดว่าทำไม่ได้ กล้าๆหน่อย ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นอย่างที่คิด เชื่อสิว่าสนุก...


7. ให้อภัย ใครๆก็พลาดได้ ให้อภัยความผิดพลาดกับตัวเองหรือคนอื่น ถ้าไม่เคยทำผิด แล้วจะมั่นใจได้ไงว่าถูก แค่ระวังไม่ให้ทำผิดซ้ำสองก็พอ


8. อารมณ์ขัน เป็นยาลดความเคลียดชั้นดี ไม่ต้องซื้อหาจากแหล่งยากๆและแพงๆยังพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก คนอารมณ์ขัน ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ เป็นเสน่ห์ น่ารักอย่างร้ายกาจที่เดียวเลยล่ะ


9.จงมีเพื่อนมากกว่าแฟน ถ้าตรงกันข้ามเมื่อไร ชีวิตยุ่งยากเมื่อนั้น


10.เป็นคนดี ทำตัวดีๆ ไม่ไห้ใครเดือดร้อน ใครก็อยากอยู่ด้วย ทำไม่ดีต้องหนีต้องซ่อน จะมีความสุขได้เยี่ยงไร มาเป็นคนดีกันดีกว่า


ทั้ง 10 ข้อนี้ คงทำให้เพื่อนที่กำลังเครียดกับชีวิต ลองมาปฏิบัติกันน่ะค่ะ รับรองค่ะว่าได้ผลแน่ๆ ถ้ามันหลายข้อไป ก็ลองซักข้อก็ยังดีค่ะ


ที่มา http://www.siamsouth.com/

22 สิงหาคม 2552

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (3)


@ ไม่รู้เป็นอะไรอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาแต่ไม่มีเงิน
แหะๆ "อยากได้โน่นอยากได้นี่" มีแต่เสียเงินลูกเดียว " อยากทำโน่นอยากทำนี่ " ดีกว่า สนุกดี แฮปปี้ตลอดวัน แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท

@ แง ... เพื่อนไม่สนใจเราเลยทำดีเอาใจทุกอย่างแล้วนะ
ทำดีเพื่อให้คนอื่นมาสนใจมันก็เหื่ยวแห้งอย่างนี้แหละเธอ เป็นแม่พระดีกว่านะ... ดูแลเพื่อน ๆ เหมือนอย่างกับแม่ที่ดูแลลูก ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ....เฮ้อ ! เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วก้อสบายใจ

@ ถ้าหนูจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำเช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
(อ้าว ! ) ทำยังไงไม่ให้ขี้เกียจ ให้คิดดูว่า เราจะได้อะไรจากงานที่ทำนี้บ้าง คิดไปเรื่อย ๆ จนเกิดความรู้สึก "อยากทำ" เช่น "ล้างส้วม" เราได้อะไรบ้าง โห !เยอะแยะ 1."ได้ออกกำลัง" ดีจังเรายิ่งอ้วน ๆ อยู่ด้วย2."ได้เสียสละ" เพื่อพ่อแม่จะได้เข้าห้องน้ำอย่างมีความสุข 3. "ได้ฝึกอดทน" โตขึ้นเราจะได้แข็งแกร่ง ลุยได้ทุกที่ 4. "ได้บุญ" ใครเห็นห้องน้ำสะอาด เขาก็จะสบายใจ เราก้ออิ่มบุญ ฯลฯ ..(คิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก้อทนไม่ไหว อยากจะไปทำเองแหละ)

@ ช่วยตัวเองบ่อยมากทำไงให้ลดลง
เบรคตัวเองแรง ๆ ดิ เช่น .. " ไม่คุ้มเลย.. สุขวูบเดียว เพลียไปทั้งวัน...มันก็แค่อร่อยเหมือนแทะเนื้อติดกระดูก แทะยังไงก็ไม่อิ่ม ... ไม่มีปัญญาคิดสร้างสรรค์ความสุขอื่น ๆ แล้วหรือไง ถึงได้จมอยู่แต่เรื่องพวกนี้... เราวุ่นกับมัน มันก็วุ่นกับเรา ไม่เป็นอิสระสักที " ฯลฯ(ถ้าคิดแล้วยังเอาไว้ไม่อยู่ ก็ตามบายเหอะ มันไม่เสียหายอะไรนักหรอก)

@ คืนนี้ อยู่คนเดียวกลัวผีอะบรื๋วว..ว์
นี่พวกผี ตอนนี้ฉันกำลังสวดนะโม ตัสสะ ฯ อยู่นะ เตือนไว้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทับอยู่ในใจฉัน ผีตัวไหนอย่าอุตริโผล่ขึ้นมาหลอกล่ะ บาปกรรมหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงไม่รู้ด้วยนะเออ

@ คนตามจองล้างจองผลาญกลั่นแกล้งเราไม่ยอมเลิก
" เจ้ากรรมนายเวร" ภาค 2 ชัวร์ !! อย่างนี้ยิ่งตอบโต้ยิ่งเกมยาว (ถึงชาติหน้า) เจ๊ากันไปดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรื่อยๆ ศัตรูได้ส่วนบุญเยอะ ๆ เดี๋ยวก็เลิกรากันไปเองแหละ

@ กระเป๋ารถเมล์สายที่นั่งประจำพูดจาไม่สุภาพฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย
น่าเห็นใจนะอาชีพนี้ นี่ถ้าฉันลองไปทำดูบ้าง ฉันก็คงจะเครียด และต้องแสดงอาการกริยาแบบนี้แหละ

@ ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใครแต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี
ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว..

@ ผมเป็นคนจับจดทำงานอะไรไม่เคยสำเร็จชาตินี้จะเอาดีกะเขาได้มั้ยเนี่ย
นึกถึงภาระกิจที่จะต้องทำแล้วคิดด้วยความมั่นใจว่า " เข้ามาเล้ย..ย งานน่ะ ไม่กลัวอยู่แล้ว (ทุบกำปั้นบนฝ่ามือ) เรามั่นใจ ทำได้แน่ไม่เลี่ยง ไม่หนี ลุยลูกเดียว " (คิดทั้งวันทั้งคืน ชาตินี้จะไม่มีวันเป็นคนจับจด)

@ นิสัยตัวเองไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น
" มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย "

@ ติดเกมงอมแงมเสียการเสียงานอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้
พูดท้าทายตัวเองดิ เช่น" เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง ลองทำงานให้สนุกเหมือนเกมดูซิโด่...ทำได้หรือเปล่า มีปัญญาอ๊ะป่าว "

@ ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา(ทำอะไรไม่บอกอะ) รู้สึกกังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย
หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก "

@ ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอยฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน
โห..! คิดได้ไงเนี่ยจะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่

@ ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วยหมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัด ๆ
ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาว ๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณคับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที

@ ไม่สบอารมณ์คนนั่งข้าง ๆ
(ใครหว่า ?)ขอคาถาขับไล่หน่อยสิ ได้สิ.. " โอมเพี้ยง.. ชิ๊ว ๆ ๆ ไปพวกความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย หายวับกับตาไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะได้ใจเย็นๆ สักที "

@ ฮือ..ๆๆเราติดเอดส์เรากลัวตาย..ฮือๆๆ
เข้มแข็งๆ กล้าหาญไว้ โอ.!.ฉันขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันทำให้ฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกต่อไป ฉันจะรักษาสุขภาพกายใจให้ดีๆ อายุจะได้ยืนยาวไปอย่างน้อยอีกสิบปี (ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นอาจจะมียารักษาให้หายแล้วก็ได้ ) ฉันจะทำความดีให้มากๆๆๆ จวบจนวินาทีสุดท้ายเพราะพระท่านว่าคนที่ทำความดีไม่ต้องกลัวโลกหน้า ตายไปเมื่อไหร่จะสุขเหลือล้นจนคนข้างหลังอิจฉาเลยทีเดียวเชียว

@ เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ
ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น"อึมม์..เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆแต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า แต่.. เล็บมือด๊ำดำ ว๊า ! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อ สก๊อตสีน้ำเงินซะด้วย แต่ดูดีๆ ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่น ๆ มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง แหวะ .. ทีหลังมีเราลูก เราไม่ส่งเรียนที่นี่หรอก นิสัยไม่ดี ฯลฯ " (บางคนกว่าจะออกจากตู้ สงสัยสังเกตจนเขียนตำราได้หนึ่งเล่ม หุ หุ ) "

@ เป็นคนขึ้อายมากกกกค่าเวลาคุยกะใครม้วนไปม้วนมา
จะคุยกับหนุ่มใช่มั๊ยล่า..า รู้ทันหรอกน่า ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเราดิ แม่รู้สึกยังไงกะลูกล่ะ เอ็นดูใช่มั๊ย สงสารใช่มั๊ย ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกะใครง่าย ๆ ความอายจะหายไป ............ทำได้ป่าว

@ มีคนใส่ร้ายเราเราโกรธมากจนนอนไม่หลับ
เขาทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก

@ มีแฟนหลายคนสับหลีกไม่ทันอะ
มีแฟนเยอะ แสดงว่าเรายังไม่เจอรักแท้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะลองแกล้งป่วยดู ถ้าคนไหนมาเยี่ยม แสดงว่าคนนั้นก็ผ่านรอบคัดเลือก เราจะทดสอบกลั่นกรองให้เหลือคนที่ดีที่สุด เพราะรักเดียวใจเดียวคือความสุขที่แท้จริง

@ ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา
โดดเรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ อึมม์...มันก้อดีเหมือนกันนะ แต่ทว่า...มันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อยไป หนีหน้าคน -หนีการงาน -หนีความรับผิดชอบ ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย..! จะไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ วันหน้าสบายมาก เย.."

@ เป็นโรคใจง่ายเข้าใกล้คนหล่อ ๆทีไรหวั่นไหวทุกที
เวลาเข้าใกล้คนหล่อ ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลี๊ยด น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น ขนจมูกของเขา ขี้หูของเขา ขี้ตา... .. รังแค.... อึ ..(แหวะ) คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ..ไม่เชื่อ ลองดูดิ

@ เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้วมีเหลือแต่เรา "แหง่ว..ว" อยู่คนเดียว
คิดมุมกลับ.. " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย..! "

@ อยากเที่ยวกลางคืนให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย
สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง


ที่มา : narak.com

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (2)


@ คนชอบมาแซวเราว่า"น้องดำ ดอทคอม"
ผิวอย่างฉันเขาเรียกว่า "คมขำ" ย่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งหลงใหลจะตายไป พวกนายคงโดนโฆษณาหลอกแล้วล่ะ"ฉันคือตัวฉัน" ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกหรอกนะ

@ เฮ้อ..! ไม่รู้จะทำอะไรดีเซ็ง..ง ระเบิด !
แอ็คทีฟเข้าไว้เพื่อน อย่าให้ความเซ็งเข้าครอบงำ ทำทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉง หนึ่ง สอง..ๆๆๆ หาอะไรทำให้มันสนุก หนึ่ง สอง... ๆๆ

@ รู้สึกว่าตัวเองโง่โดนคนอื่นหลอกอยู่เรื่อย
นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ (แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ) @ เพื่อนเห็นแก่ตัวกินไหนกินด้วยแต่ไม่เคยช่วยสักบาท เฮ้อ..นึกว่าช่วยชีวิตเพื่อนให้รอดไปได้สักมื้อก็แล้วกัน ได้บุญดีนะ (แหะๆ....แต่นาน ๆ เจอกันสักที ก็แล้วกัน)

@ กลุ้มใจจังไม่มีใครมาจีบ
"กลุ้มใจ" ไม่มีคนมาจีบ มันยังดีกว่า "ช้ำใจ" ที่โดนคนมาหลอก ถ้าอยากจะพบรักแท้ มันก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะเธอ

@ หน้าเป็นสิวไปไหนมาไหนอายเพื่อน
วัยรุ่นมีสิวน่ารักจะตายไป เออถ้าคนแก่มีสิวสิ ค่อยน่าอายหน่อย พวกบริษัทขายยาแก้สิวทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบโฆษณาทำร้ายจิตใจวัยรุ่นดีนัก ระวังตัวใว้ดีๆเหอะ ชาติหน้ากรรมสนอง ไปเกิดเป็น "ท้าวแสนปม" ไม่รู้ด้วย อิอิ

@ ทำตังค์ตกหาย 500 แง..!
ไม่เป็นไร..คิดเสียว่าเสียค่าหน่วยกิต วิชา "ละเอียดรอบคอบระมัดระวัง" ก็แล้วกัน นี่ถ้าชีวิตเรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะเงิน หายในคราวนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว

@ พ่อแม่ชอบเห็นเราเป็นเด็กตลอดชาติ
ถึงใครจะมองเราว่าเป็นเด็ก แต่เราก็จะเคารพตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา (เอ...ชักยากแฮะ หรือว่าจะยอมเป็นเด็กเหมือนเดิมดีกว่าม้าง...ง )

@ อิจฉาเพื่อนแฟนมันสวยอะ
มีแฟนสวยก็ยินดีด้วย แต่เราว่ามีแฟนนิสัยดีดูแลเอาใจใส่ดี แบบนี้สุดยอดกว่านะ

@ รักเธอแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก
อย่างนี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ .. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้วจึงค่อยไปบอกรักกะเธอ

@ ช่วยเพื่อนแทบตายแต่เพื่อนยังคิดร้ายกะเราอีก
เฮ้อ..คิดว่าช่วยเสือตกน้ำให้รอดตายสักตัวก็แล้วกัน เสือเนี่ยนะ ถึงเราช่วยมัน แต่ถ้าเราเข้าใกล้มัน มันก็กัดเราอยู่ดี คงต้องปล่อยเข้าป่าไป เจ้าเพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน ฉันช่วยแกแค่เอาบุญ แต่คราวหน้าคงไม่ช่วยแล้วล่ะ ปรับปรุงตัวเองให้นิสัยดีกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่

@ พอแฟนเจอคนที่รวยกว่าเธอบอกเลิกกับผมทันที
อย่างนี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้

@ เหงามากขอบอก มองรอบๆ ดู
.. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ

@ เพื่อนกวนยียวนมากอยากชกสักที
โด่..คนกวนๆ แบบนี้ไปที่ไหนก็มีคนอยากชกกันทั้งนั้น เราจะต้องไปชกเองทำไมให้เจ็บมือ เดี๋ยวก็มีคนอื่นชกให้เองแหละ แต่ดูๆแล้วก็น่าสงสารนะ...โถ..! เกิดมาชาตินี้มีแต่คนอยากชก

@ อยากตัดใจจากคนรักค่ะทรมานใจมาก
อยากทำใจให้ไวสุดๆ ทุกครั้งที่นึกถึงเขาให้ทำอย่างนี้ดิ " หายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเขา(คนนั้น) หายใจออกยาว ๆ สลายภาพของเขาใหัหายไป " แล้วก็พูดในใจว่า "โอ้..! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ใช่ของเรา มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย " (จับฝึกกรรมฐานเสียเลย อิอิ )

@ พ่อบังคับผมจะให้สอบเอ็นฯติดให้ได้..เครียดมาก
โอเคครับ...ผมจะพยายามเพื่อพ่อ แต่ผมขอเวลาทำอะไรเพื่อตัวผมเองบ้างนะครับ อ้อ..! ถ้าเอ็นฯไม่ติด ก้อไม่ว่ากันนะครับ เพราะสุดฝีมือแล้ว แต่พ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของผมหรอกครับ เพราะถึงผมจะเอ็นฯไม่ติด ผมได้เตรียมหนทางของผมไว้แล้ว รับรองไปได้สวยอย่างแน่นอนครับ

@ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ฮ้าว..ว
(หาว) แล้วส่งกระแสจิตไปยังสัตว์โลกแบบนี้ดิ หนึ่ง.. ฉันรักแมว สอง..ฉันรักหมา สาม..ฉันรักยีราฟ สี่...ฉันรักหนอน ห้า...ฉันรักสิงโต หก...ฉันรักนก เจ็ด.. ฉันรักเม่น.... ฯลฯ ( ส่งความรักไปถึงสัตว์โลกอย่างนี้เรื่อยๆ สักร้อยตัว รับรองประเดี๋ยวก็..คร้อกก..ก)

@ เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเราแต่ลับหลังเผาเราเซียะไม่มีดี
ไม่เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่ เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย )

@ ท้อใจอยากโดดตึก
ขืนโดดก็โง่ดิ .. โด่....ชีวิตนี้มันก็แค่แบบฝึกหัดเล่มใหญ่ ปัญหาผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมาแวะทักทายเราให้ลองแก้ไขดูเท่านั้นเอง แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทางออก ยอมแพ้ได้ไง

@ เพื่อนชอบพูดข่มเราประจำ
คนมีปมด้อยมาก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ชอบข่มคนอื่นให้ด้อย เพื่อตัวเองจะได้เด่น เราไม่ถือสานายหรอก เอาไว้นายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นายก็จะรู้เอง

@ เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆรู้สึกประหม่า ๆไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง
เวลายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ " ..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ

@ เกิดมาจน
โธ่ ! คนอย่างเรา เกิดมาจน ก็ได้เปรียบน่ะสิ เพราะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยลำแข้งของตัวเองจริง ๆ ชีวิตจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เกิดมาสบาย ๆ ตั้งแต่เด็ก แหม..ได้เปรียบแล้ว ยังมาทำบ่นอีก

@ เพื่อนจะขายตัวบอกว่าไม่เห็นจะหนักหัวใครเลย
ช่าย..ย ..เราก้อเห็นด้วยกับเธอนะ นั่นไง เจ้า HIV ยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย

@ เรา"นมเล็ก"อยากใหญ่กว่านี้ทำไงดีอะ
เล็กๆ กระทัดรัด น่ารักนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่าง ธรรมชาติของผู้ชายเนี่ย เขาต้องการความอบอุ่น จาก "การดูแลเอาใจใส่" ต่างหาก ไม่ใช่จาก "หน้าอกใหญ่ ๆ "

@ เรียนหนังสือยังไงให้เป็นเลิศและไม่ให้เครียดครับ
คิดอย่างนี้ทุกวัน รับรองเป็นเลิศ"ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ฉันจะขยันอย่างไม่หยุดหย่อน ฉันจะค้นคว้าด้วยความอยากรู้จริง ๆ และ...ฉันจะไม่แข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเอง "

ที่มา : narak.com

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (1)



@ เพื่อนนินทา
เพื่อนนินทาเรา แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉาอย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเองแทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ

@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส
ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ.. ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน

@ โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่
แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของแม่ต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก

@ ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย
ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้ เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋นให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น

@ เพื่อนหักหลัง
ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.

@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนายคงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา

@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)

@ วันหยุดการบ้านเพียบ
สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด

@ อกหักอีกแล้ว
ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ

@ รถติดหงุดหงิดๆ
นั่งสมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจเข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร

@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย
" เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง

@ เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี
โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ

@ เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์
..อายจัง โด่..หล่อจะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย...อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้

@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ
ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า

@ เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ
ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนักไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ)

@ ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B
เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา

@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว

@ ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน
เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข

ที่มา : narak.com

17 สิงหาคม 2552

มุมและจังหวะมาบรรจบกัน






























หลวงตากับคำสอน "ช่าง - มัน - เถิด"









ที่มา : fwd

16 สิงหาคม 2552

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี



ความสุขเป็นสิ่งดีที่ใครๆ ก็อยากได้ แม้จะรู้ว่ามักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ถ้าเราไม่ฝึกจิตใจ ฝึกให้มีนิสัยให้มีความสุขอย่างแท้จริง ความสุขก็หลุดล่องลอยไปจากตัวเราได้ง่าย

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี เป็นความสุขในแนวนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้อย่างหนึ่งมนุษย์ทั่วไปมักจะมองโลก ชีวิตตัวเอง และคนอื่นเป็น 3 แบบ คือ
มองโลกในแง่ดี หรือบวก (+)
มองโลกในแง่ไม่ดี หรือ (-)
และมองโลกในแง่กลางๆ หรือ ศูนย์ (0)

มีรายงานว่าคนที่คิดแบบบวกหรือมองโลกในแง่ดี จะมีความสุขมากกว่าอีก 2 ชนิด เพราะในช่วงที่คิดแบบบวกนั้นจะมีการหลั่งสารของความสุขออกมาทำให้เกิดความหวังในชีวิตเสมอ มีกำลังใจ มองตัวเองและคนอื่นแบบมีค่าและมีศักดิ์ศรี มีมิตรเพิ่มขึ้น เข้ากับผู้คนได้ง่าย ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ และสามารถแก้ไขอุปสรรคในชีวิตและการทำงานได้ดี รับความจริงได้ง่าย ขอโทษเป็น มีอารมณ์ขันได้ ไม่กังวลใจหรือสงสัยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และรู้จักทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้ด้วย

สิ่งดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ทำให้มีความสุขทั้งนั้น

คนที่มองโลกในด้านดีมักมีจิตใต้สำนึกที่ดี เคยได้รับความรักและความสนใจจากครอบครัวมาก่อน หรือเป็นเพราะเห็นแบบอย่างและประโยชน์จาการมองโลกในด้านดีจากสิ่งแวดล้อมหรือครอบครัวมาก่อน หรือเป็นเพราะมีการฝึกจิตใจให้มองโลกในด้านดีเสมอมา

อาจมีคำถามว่าถ้าเรามองโลกในด้านดี แล้วเชื่อคนอื่นได้ง่ายๆ มิเสียรู้คนบ่อยๆ หรือ

ก็ชอบตอบว่า คนมองโลกในด้านดีก็มีสติและปัญญา รู้จักเลือกว่าควรจะปล่อยใจให้เชื่อคนแต่ละคนได้ต่างกัน รู้จักวางตัวและถอยตัวเป็นเมื่อพบคนไม่ดีหรือสิ่งไม่ดีจริงๆ เขาไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้ชักจูงได้ง่าย หรือแม้จะเสียรู้บ้างก็ไม่เสียใจมากนัก พร้อมจะรับไว้เป็นบทเรียน และยังมองโลกในแง่ดีอีกต่อไป เพราะรู้ว่าประโยชน์มีมากกว่าโทษ

ในการบรรยายนั้นได้สอนวิธีพัฒนาความคิดจาก (-) ให้เป็น (+) ในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อจะได้มองโลกในแง่ดี จากนั้นเราจะรู้จักรักตัวเองเป็นมากขึ้น อยากทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองเช่น การออกกำลังกาย การสร้างความสัมพันธ์ดีๆ กับเพื่อนมากขึ้น ได้สอนวิธีให้ความรัก ถนอมความรัก วิธีการให้อภัยตนเองและคนอื่น รวมทั้งวิธีลดความเครียด มองข้ามความหยุมหยิม ไม่ทำตัวน่าเบื่อจำเจ รู้จักลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ซาบซึ้งความดีของตนเองและคนอื่น รู้จักยิ้มและมีความสุขได้แม้ในยามที่ลำบากหรือไม่มีความสุข

ประโยชน์ของการฝึกนิสัยให้มองโลกในแง่ดีนั้นมีมากมาย เป็นการเปิดประตูให้เป็นมิตรกับตัวเองและคนอื่นได้มากขึ้น และทำให้ชีวิตมีพลังของการคิดในแนวบวก ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่มี

อ่านถึงตรงนี้แล้วนึกอยากฝึกตัวเองให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้นไหมเล่า อย่าบอกว่าฝึกไม่ได้ หรือมันยากเกินไป เพราะนั้นเป็นการเริ่มต้นวิธีคิดแบบคนมองโลกในแง่ไม่ดีต่างหาก

อย่าคิดอย่างนั้นเลย...^^

ที่มา : teenee.com

14 สิงหาคม 2552

สาเหตุที่คนไม่รวย


สาเหตุที่ทั่วโลกที่คนไม่รวย และไม่พอเพียง

1.เพราะเชื่อในพรหมลิขิตและชะตากรรม บางคนจนเพราะความคิด ต่อให้ถูกหวยซัก 20 ล้าน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็จนเหมือนเดิม (~ไม่เชื่อลองดูข่าวพวกถูกล็อตเตอรี่แล้วจนเหมือนเดิมภายใน 2 ปีดูได้ ) และเชื่อแต่บุญกรรม วาสนา พระเจ้าบันดาลเท่านั้น ทุกอย่างเป็นพรหมลิขิต โทษฟ้าฝน ดูแต่คนอื่นที่รวยแล้วพร่ำเพร่อได้แค่ว่า "ถ้าฉันโชคดีแบบเขาก็คงเรวยไปแล้ว" มัวงอมืองอเท้า และรำพึง "~เป็นไป ตามพระเจ้ากำหนด"

2. อยู่ในวังวนที่ไม่มีทางออกมาได้ บางคนกลัวที่จะออกมาจากกฏที่ไม่มีทางออกมาได้เพราะไม่มี โอกาส เพราะเขาเกิดมาแบบนั้น เขาจึงขาดโอกาส เช่น ยาม ไม่สามารถออกมาทำอย่างอื่นได้นอกจากเฝ้า แต่หากขาดคนที่ทำอาชีพนี้ก็คงแย่เหมือนกัน (แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาเถียงกัน เพราะถ้าคุณพูดงี้ ทำไมคุณไม่ไปเป็นยามซะเองล่ะ?)

3. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงคนเราถ้าอยู่นิ่งๆ มันไม่มีทางจะมีโอกาสเดินเข้ามาหาหรอก มันต้องเดินเข้าไป หาโอกาส ขายของอยู่ปากซอย มัวแต่รอให้คนเดินออกมาซื้อ แทนที่จะเข็นรถเขาไปขายถึงหน้าบ้าน เพื่อ เปลี่ยนแปลงตัวเองทำไมคนเรามีเวลาเท่ากัน 24 ชม. แต่บิล เกตส์ หรือ คนดังๆของโลกถึงรวยล้นฟ้า เพราะเขากล้าเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกแล้วแม้ว่าใครจะว่าเขานอกคอกก็ตาม

4. อยากทำแต่งานที่ชอบและถนัด และรายได้เยอะ ชอบตีแบด วาดรูป ทำไปเถอะครับ แต่ขอให้มันหาเลี้ยงชีพได้ แบบ อ.เฉลิมชัย หรือ ลีโอนาโด ดาวินชี่ เถอะบางคนคิดว่า หากทำสิ่งที่เราชอบแล้ว สิ่งนั้นจะคุ้มครองเราเอง ซึ่งไม่ผิด แต่ทำไงก็ได้ครับขอให้มันเลี้ยงตัวเองได้เถอะเราหันไปดูพ่อแม่ที่เป็นหมอ ครู วิศวะ เราจะพบว่า แท้จริงเค้าอาจจะไม่ได้ชอบจริงๆก็ได้ แต่รายได้มันดีเขาเลยทำก็แค่นั้น

5. ชอบคิดว่าฉันยุ่งตลอดเวลา ไม่มีเวลากำหนดเป้าหมาย ขออยู่วันๆเถิด คนบางคนยุ่งตลอดเวลา วันๆชอบคิดว่ายุ่งทั้งวัน แต่รู้ตัวอีกทีก็อุตส่าห์มีเวลาเล่นเกมออนไลน์ หรือทำอะไรไร้สาระเสียแล้ว รู้อีกทีก็ว่างเสียแล้วมัวคิดว่าไม่มีเวลาแม้แต่จะวางแผนว่าชีวิตควรจะทำอย่างไร ก็เหมือนคนที่ขึ้นแทกซี่แต่ไม่บอกจุดหมายกับคนขับตั้งแต่แรกแล้ว อยู่ไปวันๆ กินเงินเดือนไปเรื่อยๆ เก็บเงินเป็นก้อนๆ กว่าจะทำอะไรเองก็จะรอให้คนเห็นด้วยทั้งโลก ก็ค่อยลงมือทำ แล้วพอแก่ก็ป่วย แล้วเอาเงินก้อนที่เก็บมารักษา พอไม่หายก็ตายไป


=================================

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนรวย

1. เงินนั้นชั่วร้าย เงินคือซาตาน และปีศาจ เงินนั้นไม่ชั่วร้าย แต่ความคิดที่หลงในเงินนั้นแหละคือความชั่วร้ายคนบางคนคิดว่าความมีทางโลกคือสิ่งที่หนักอึ้ง แต่ตัวเองก็ยังไม่บวชเสียที แต่โทษว่าเงินไม่สำคัญ คุณไม่มีเงิน จะเอาอะไรมาสร้างวัด แค่สวดมนต์วัดมันจะมีปูนหล่นมาจากฟ้าหรืออย่างไรไม่มีเงินคุณจะซื้ออาหารอะไรมาถวายพระ? จะให้กับใครได้?

2. พอเพียง คนชอบคิดคำว่าพอเพียงแปลว่า ต้องเลี้ยงควายในทุ่งนา สร้างบ่อปลา ทำแปลงผักปลูกเอง แต่แท้จริงแล้ว พอเพียงแปลว่า"เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง" แล้วการพอใจแล้วกับการอยู่ไปวันๆ ให้เป็นภาระพ่อแม่แล้วก็ตายไป คือพอเพียงจึงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์

3. พร่ำบ่นว่าคนรวยเยอะไป น่าจะแบ่งปันบ้าง คนเหล่านี้หากมีความคิดแค่นี้ กำลังใช้ตรรกะโง่ๆมาคิด เพราะแค่คิดก็จนแล้ว"หากคนรวยน้อยกว่านี้ คนจนก็ต้องน้อยลงตาม" แล้วมันเกี่ยวกันได้อย่างไร?? หากคนรวยลดนั่นแปลว่าคนจนก้ยิ่งจนหนักไม่ใช่หรือ?

4. รอแต่รัฐอุ้มชู ไม่คิดช่วยตัวเอง คนที่คิดแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ"ภาระ" ประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศต้องคอยสูญเสียเงินจำนวนมากเพื่อมาดูแลคนที่วันๆ "งอมืองอเท้า" เหล่านี้ (ไม่นับคนขยันแต่จน) มิฉะนั้นแล้ว รัฐบาลจะชุดไหนชุดไหนมันก็ห่วย อยู่ดี

5. ผมมันโง่ ไม่รวยเหมือนมัน รอชาติหน้าดีกว่า ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะชาตินี้คุณก็โง่เหมือนเดิม และจะชาติไหนคุณก็ไม่รวย เพราะคุณไม่ได้ทำกุศลอะไรเพิ่มได้
ที่มา : fwd

11 สิงหาคม 2552

วิธีการป้องกันแก๊งค์ปาหินใส่รถยนต์



เนื่องจากปัจจุบันมีข่าวการปาหินใส่รถยนต์ตามถนนหลวงในหลายจังหวัด และดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของเพื่อนพนักงาน จึงขอเสนอวิธีการป้องกันดังนี้
1. หากท่านมีกำลังทรัพย์ อาจติดฟิลม์กรองแสงชนิดใสที่กระจกหน้าทั้งบาน ประโยชน์นอกจากกันความร้อนแล้ว ฟิลม์ยังช่วยดูดซับแรงกระแทกจากก้อนหินที่มากระทบได้ดี

2. ส่วนใหญ่การปาหินมักเกิดขึ้นตอนกลางคืนบนถนนสายเปลี่ยวและมืด หากท่านขับรถผ่านถนนที่มีลักษณะดังกล่าว ควรเปิดไฟสูง (เมื่อมีโอกาส) เพื่อสอดส่องดูว่ามีรถจักรยานยนต์กำลังขับขี่สวนทางมาหรือไม่ เนื่องจากคนร้ายมักซ้อยท้ายรถ จยย. ที่ไม่เปิดไฟหน้า หากท่านเปิดไฟสูงนอกจากจะช่วยให้ท่านมองเห็นคนร้ายแล้วยังจะช่วยบดบังสายตาของคนร้ายได้ด้วย (ทำให้คนร้ายตาพร่าจากแสงไฟของท่าน) นอกจากนั้นท่านไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูงบนถนนที่มีลักษณะนี้ ให้ระวังทางโค้งมากเป็นพิเศษ เพราะคนร้ายมักใช้ทางโค้งเป็นจุดดักซุ่มรอ

3. หากท่านสังเกตุเห็นว่ามีรถ จยย. กำลังขับขี่สวนทางมายังท่าน ท่านควรรีบชลอความเร็วและเปลี่ยนช่องการจราจรให้ออกห่างจากรถ จยย. ดังกล่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร) ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนช่องจราจรได้ ให้ลดความเร็วให้เหลือเพียง 40 – 60 พร้อมกับเปิดสัญญาณไฟกระพริบเพื่อเตือนรถที่ตามหลังท่านมาว่าท่านกำลังจะชลอตัว ความเร็วยิ่งช้าเท่าไร ความแรงของก้อนหินที่มากระทบรถของท่านก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

4. หากรถของท่านถูกปาหินใส่ได้รับความเสียหายแล้ว อย่าจอดรถในบริเวณนั้นทันที เพราะคนร้ายอาจตามมาปล้นทรัพย์สินของท่าน พยายามประคองรถช้าๆไปจนกว่าจะพบผู้คนและเข้าขอความช่วยเหลือ

At present, there is news of gangs throwing stones into cars on highways in Thailand with an increasing rate almost every day. As we care for your safety, please take our advice when you drive.

1. If you can afford, have a transparent type car film placed on your car’s wind shield. Besides reducing heat, it will help absorb the impact of any flying object.

2. Most of the cases occurred at night on dark highways. If you have to use such roads, pop up your car’s high beam (when appropriate) to scan out for any bike coming to you from the front. Because the gangs often use bikes coming to you from the opposite direction and don’t show up their lights. Your high beam will help you spot the bikes and also will blur their eyes. And you should not be driving at high speed in this circumstance. Beware every curve you take, the gangs often pop up from road curves and hit you with a surprise attack.

3. If you spot an incoming bike, reduce your speed to 40 – 60 km (also give cars behind you a signal that you’re slowing down), the lower speed the lower velocity of the rock when it hits you. Depending on the traffic condition, change to a far side lane away from the bike.

4. If you get hit, do not panic, do not pull over or do not stop at the spot, the gangs may come to rob you at the scene. You must try to control your car and drive slowly to a safe place and ask for help.

ที่มา : fwd

06 สิงหาคม 2552

ศาสตร์แห่งรัก

ศาสตร์แห่งรัก
พบกับ 12 วิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณได้พบคู่ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
โดย เมแกน เกรสเนอร์


ต่อไปนี้คือ 12 วิธีที่พิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพบคู่รักที่เหมาะเจาะที่สุดสำหรับคุณ (ใช่แล้ว นักวิชาการได้รับการว่าจ้างให้ทำการวิจัยศึกษาเรื่องความดึงดูดใจระหว่างคนสองคน หรือที่เราเรียกกันว่าความรัก) การค้นพบ นี้ลบล้างความเชื่อแบบนิยายรักหวานชื่นที่เคยมีมา ตั้งแต่เรื่องแรงดึงดูดของคนที่ตรงข้ามกัน หรือที่ว่ายิ่งห่างก็ยิ่งรัก ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ความเชื่ออื่นๆที่น่าจะเป็นจริงด้วย

คู่กันย่อมคล้ายคลึง
มองหาคนที่คล้ายคุณมากที่สุด เพราะเป็นไปได้ว่าเขาหรือเธอก็กำลังมองหาคุณเหมือนกัน เรานิยมคู่ที่มีภูมิหลังคล้ายๆกัน มีความสนใจคล้ายกัน มีค่านิยมความเชื่อคล้ายกัน เพราะสิ่งนั้นจะพิสูจน์มาตรฐานของตัวเราด้วย ยิ่งกว่านั้น ธรรมชาติจะดึงเราไปหาคู่ที่หน้าตาคล้ายเรา เซอร์ฟรานซิส กัลทัน นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญสนใจปรากฏการณ์นี้ตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว และนับแต่นั้นมา มีผลการวิจัยมากมายยืนยันเรื่องความคล้ายกันระหว่างคู่รักหลายคู่


ใกล้ตัวใกล้ใจ
ลืมเรื่องรักทางไกลไปได้เลย นี่คือกฎเหล็กอีกข้อ วางตัวให้อยู่ใกล้บุคคลที่เป็นเป้าหมายรักของเราเข้าไว้ ไม่ว่าเป็นโต๊ะทำงานที่ใกล้กัน หรือบ้านซอยถัดไปก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้พบกันอยู่เรื่อยๆ นี่จะช่วยได้มาก เพราะยิ่งเราเจอเขาบ่อยขึ้นเท่าไร เราก็จะชอบเขามากขึ้นเท่านั้น (นอกเสียจากว่าเราจะไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรก ในกรณีนี้ผลอาจเป็นตรงกันข้าม) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรามักจะลงเอยกับเพื่อนร่วมงานหรือหนุ่มสาวข้างบ้าน


เผยใจให้รู้แจ้ง
เลิกทำตัวเข้มแข็งและเงียบเฉยไปเลย เพราะ ดร. อาเทอร์ แอรอน นักจิตวิทยาสังคม บอกว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์นั้นคือการแค่ได้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังสนใจคุณอยู่ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดีต่อตัวเองจนเผื่อแผ่ออกมาเป็นความรู้สึกดีๆต่ออีกฝ่ายด้วย เราจะให้ความอบอุ่นต่อคนที่ชื่นชมเรา ดังนั้น การที่รักใครแต่กลับเก็บงำความรู้สึกไว้อย่างนิยายน้ำเน่าจึงไม่ค่อยได้ผลในชีวิตจริง


ดวงตามันฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่นักรักมักจะพูดถูกก็คือ สิ่งที่เราเรียกว่า "รักแรกพบ" อาจมีอยู่จริง กล่าวคือ ถ้าคู่ไหนมองตากันนานเท่าไรเวลาพบกัน คู่นั้นก็จะยิ่งชอบคนที่ตัวเองมองมากขึ้น ถ้าคุณมีรูม่านตาที่เปิดกว้างก็ยิ่งเป็นข้อดี เพราะนั่นคืออวัยวะที่ดึงดูดใจมากที่สุด ผลวิจัยโดยเอกคาร์ด เฮสส์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า เมื่อให้กลุ่มทดสอบดูรูปเพศตรงข้ามสองภาพซึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างยกเว้นขนาดม่านตา รูปคนที่มีรูม่านตาใหญ่กว่าหรือพูดง่ายๆว่าตาโตได้รับเลือกให้เป็นรูปที่มีเสน่ห์มากกว่าถึงสองเท่า แม้กลุ่มทดสอบจะดูเรื่องขนาดม่านตาไม่ออกเลย รูม่านตาที่ขยายกว้างคือสัญญาณของความตื่นเต้นเร้าใจที่รุนแรง


ภาษากาย
ไม่รู้จะใช้มายาเล่มเกวียนไหนแล้วใช่ไหม ลองกลับมาดูที่ภาษากายดีกว่า นี่คือรูปแบบของการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด แต่เข้าใจกันได้ทั้งสองเพศ ภาษากายที่เห็นได้ชัดที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ แค่จ้องตาอีกฝ่ายและยิ้ม จากนั้นก็จะมีท่าทาง "แต่งองค์ทรงเครื่อง" อย่างเช่น เล่นผมตัวเอง เป็นต้น
ตามคำบอกเล่าของอัลลัน พีซ ผู้เขียนหนังสือ ยอดคู่มือภาษากาย (The Definitive Guide to Body Language) กล่าวว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์ผู้ชายได้ดีก็คือท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามของผู้หญิง ซึ่งรวมถึงการเผยให้เห็นจุดอ่อนไหวในร่างกาย เช่น ข้อมือหรือช่วงคอ รวมทั้งท่านั่งไขว้ขา สังเกตได้จากท่วงท่าเด็ดของเจ้าหญิงไดอานาผู้ทรงเสน่ห์ก็คือท่านั่งไขว้ขาและสอดเท้าของขาบนไว้ใต้น่องล่าง)


ส่วนผู้ชายก็จะทำให้ตัวเองดูเด่นขึ้นจากการนั่งแผ่กินที่และอ้าขาทั้งสองออกกว้างเผยให้เห็น "หว่างขา" โดยที่นิ้วหัวแม่มือสอดไว้ในกระเป๋า และนิ้วชี้ชี้ไปที่อวัยวะเพศของตัวเอง (ท่านี้ใช้ได้สำหรับไมเคิล แจ็กสันอยู่พักใหญ่)


แต่งตัวสวยสะ
ลืมที่แม่เคยสอนไว้เรื่องความงามจากภายในได้เลย เกือบทุกคนบนโลกจะมองว่าคนที่ดูดี ฉลาด เซ็กซี จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ดูธรรมดาๆ
ตามมุมมองของนักทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม เราให้คุณค่าต่อคุณลักษณะบางอย่างที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสืบทอดเผ่าพันธุ์ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมชายถึงชอบหญิงที่อายุน้อยกว่า มีผมยาวเป็นเงางาม และมีขนาดสะโพกใหญ่กว่าเอวประมาณหนึ่งในสาม (ทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความเยาว์วัย สุขภาพ และความสมบูรณ์พร้อมของร่างกายที่จะมีลูก) ส่วนหญิงจะชอบผู้ชายที่สูงกว่าอายุมากกว่า เพราะพวกเขามีแนวโน้มจะมีทุกอย่างพร้อมที่เอื้อต่อการมีลูก


เลือกคำพูด
ความแตกต่างทางเพศที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนถึงการใช้คำในการโฆษณาหาคู่ด้วย ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าโฆษณาหาคู่ของผู้หญิงจะเน้นเรื่องรูปโฉม แต่ของผู้ชายจะเน้นเรื่องทรัพย์ และหญิงที่อายุมากหน่อยก็ยอมรับว่าได้รับการตอบรับน้อยกว่า ขณะชายที่อายุมากกลับตรงกันข้าม
แต่คุณผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆและชายผู้ไร้สมบัติทั้งหลายอย่างเพิ่งท้อใจ เพราะยังมีคำคำหนึ่งที่เหมาะจะใส่ลงไปในโฆษณาหาคู่ทุกรูปแบบคือคำว่า "อบอุ่น" คนที่ได้รับการกล่าวถึงว่าอบอุ่นนั้น เชื่อกันว่าเป็นคนที่มีความสุข เข้าสังคมได้ดี ฉลาด และเป็นที่ชื่นชอบ


เลี่ยงการเปรียบเทียบ
ถ้าถืองานวิจัยของซารา กูตีเรส และดักลาส เคนริกจากภาควิชาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนาเป็นเกณฑ์ ก็กล่าวได้ว่าเราชอบเอาคู่เราไปเปรียบกับมาตรฐานที่ค่อนข้างสูง นักวิจัยขอให้ผู้ชายให้คะแนนรูปโฉมของคู่นัดตัวเองหลังดูภาพหน้ากลางของนิตยสารเพลย์บอย หรือดูรายการโทรทัศน์ที่มีดาราสาวสวย เดาได้ไม่ยากว่าคะแนนของบรรดาคู่นัดหลังดูภาพและรายการจะต่ำกว่าเดิม
เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าผลกระทบจากสิ่งตรงกันข้าม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อการรับรู้ในความแตกต่างที่สัมพันธ์กันจะถูกบิดเบือนไปตามลำดับของสิ่งที่เราพบเห็น อย่างเช่น ถ้าคุณมองวัตถุสีทึบชิ้นหนึ่งหลังมองวัตถุสีสว่าง วัตถุสีทึบก็จะดูทึบกว่าเมื่อมองครั้งแรกโดยไม่เปรียบเทียบกับสิ่งอื่น



รักลิงโลด
ในฉากสุดท้ายของหนังปี 2537 เรื่อง Speed แซนดรา บูลล็อกบอกเคียนู รีฟส์ว่า "ฉันได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐาน มาจากประสบการณ์น่าตื่นเต้นที่มีร่วมกันนั้นจะไปไม่รอด" ซึ่งเขาก็ตอบว่า "งั้นเราคงต้องเริ่มจากเซ็กซ์เสียแล้ว" แต่ความจริงนั้นก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองประโยค เพราะประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจะนำไปสู่ความดึงดูดทางเพศ ยิ่งถูกปลุกเร้าจากอะไรก็ตาม ตั้งแต่จากความกลัวไปถึงความสุขที่เรามีร่วมกันกับคนที่เราคาดหมายไว้ เราก็รู้สึกว่าเขายิ่งน่าดึงดูดใจมากขึ้น จากผลการศึกษาของซินดี เมสทันและเพนนี ฟลอริก นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเมื่อขอให้กลุ่มทดสอบให้คะแนนเพศตรงข้ามก่อนและหลังการเล่นรถไฟเหาะด้วยกัน ผลกระทบจากสิ่งที่เราเรียกว่าการถ่ายโอนความตื่นเต้นนี้คือ ไม่ว่าหัวใจเราจะลิงโลดโดดเต้นจากเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราโยงกับคนที่เราร่วมประสบการณ์ด้วย เราก็จะรู้สึกติดใจเขาหรือเธอคนนั้น


ชื่อก็บอกอะไรได้
อัลเบิร์ต เมราเบียนจากภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ค้นพบว่าชื่อบางชื่อสามารถเชื่อมโยงกับคุณลักษณะในทางลบและถูกมองว่าเป็นชื่อที่มีศีลธรรมน้อยกว่า เป็นที่ชื่นชอบน้อยกว่า และประสบความสำเร็จน้อยกว่า และถ้าคุณมีชื่อแรกเหมือนคนมีชื่อเสียง คนอาจมองว่าคุณมีบางอย่างเหมือนคนเหล่านั้น นับเป็นข่าวร้ายของคนที่ชื่อ อะดอล์ฟ หรือโมนิกา


ฤทธิ์เบียร์
อ็อกเดน แนช นักกวี กล่าวว่า "น้ำตาลนั้นหวานกล่อมลิ้น แต่สุรากินแล้วใจแตกซ่าน" ผลวิจัยแสดงว่าคนโสดที่ไปหาคู่ในผับบาร์จะจู้จี้น้อยลงเมื่อใกล้เวลาบาร์ปิด การค้นพบนี้เรียกกันว่า "ฤทธิ์เบียร์พรางตา"
ผู้ค้นพบนี้คือศาสตราจารย์เจมี เพนนีเบเคอร์แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ซึ่งตัด- สินใจจะทดสอบเนื้อหาของเพลงลูกทุ่งที่ร้องว่า "ผู้หญิงสวยขึ้นเมื่อบาร์ใกล้ปิด" เขาขอให้ลูกค้าในบาร์ให้คะแนนเพศตรงข้าม ที่เป็นเป้าหมายสามครั้งในหนึ่งคืน (คือช่วง 21.00 น. 22.30 น. และเที่ยงคืน) แน่นอน ทั้งสองเพศดูดีที่สุดตอนเที่ยงคืน ไม่ได้หมายความว่าคุณเมาจนตาลาย แต่ยิ่งเวลาในการหาคู่เหลือน้อยลงเท่าไร ใครก็ตามที่อยู่รอบๆตัวก็จะเริ่มดูดีขึ้น



มีความสุขร่วมกัน
ยิ่งเรารู้สึกดีเท่าไร เราก็จะชอบคนที่เราอยู่ด้วยมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าคู่นัดของคุณอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่หัวค่ำก็ต้องช่วยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ไม่งั้นคุณอาจไม่มีหวัง ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรับผิดชอบกับทุกความสุขหรือทุกข์ของเขา แต่คุณควรจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งจะช่วย ห่อหุ้มคุณด้วยกลิ่นไอดีๆจากสถานที่นั้น นี่คือเหตุผลที่คุณควรพิถีพิถันในการเลือกสถานที่ซึ่งจะพาคู่นัดไป อย่าพาไปในที่เคร่งเครียด อย่างคลินิกฟัน หรือแดนสงคราม เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน ซึ่งจะพานติดตัวคุณตลอดไปในสายตาของอีกฝ่าย


...คราวนี้ก็ระดมทุกกลเม็ด
ถ้าคุณอยากจะได้แอ้มก็ต้องพาคู่นัดไปเล่นกระโดดบันจี แน่ใจได้เลยว่าต้องเร้าใจสุดๆ แล้วไปดูหนังที่นักแสดงหน้าตาน่าเกลียด ก่อนจะจบค่ำคืนที่บาร์แสงสลัว แม้ฤทธิ์เบียร์พรางตาจะยังไม่ทำงาน แต่ความมืดก็น่าจะช่วยขยายรูม่านตาและเพิ่มโอกาสให้คุณได้


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.readersdigest.co.th/

05 สิงหาคม 2552

28 เรื่องเข้าใจผิด ของคนใช้รถ (2)


16. "ควรเติม หัวเชื้อน้ำมันเครื่องเพื่อถนอมเครื่องยนต์"
...อาจจะหนืดไป แค่ใช้น้ำมันเครื่องดี มีคุณภาพ ก็เพียงพอแล้วเราแบ่งหัวเชื้อน้ำมันเครื่องได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของน้ำมันเครื่องและประเภทที่ช่วยเพิ่มความหนืดของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงในปัจจุบันมีส่วนผสมของสารต่างๆ อยู่ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม จึงไม่ควรใส่สารอื่นเข้าไปทำลายสัดส่วนสารเคมีเหล่านี้ให้เสียสมดุล และกลับให้โทษแก่เครื่องยนต์ ประเภทแรกจึงไม่จำเป็นส่วนหัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่ช่วยเพิ่มความหนืดอาจช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์ที่หมดสภาพแล้วได้บ้างแต่เมื่อคำนึงถึงราคาแล้ว ก็ไม่น่าจะช่วยประหยัดได้ และเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยวิธีที่ถูกต้องคือ การซ้อมใหญ่ หรือ โอเวอร์ฮอล เพื่อให้เครื่องยนต์กลับคืนสู่สภาพดีปกติ
17. "เติมน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงปนกับน้ำมันเครื่องทั่วไปจะได้คุณสมบัติที่ดีขึ้น"
...การผสมไม่ได้ช่วยให้คุณภาพดีขึ้น ใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพมาตรฐานจะดีกว่าการนำน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงสุดสักครึ่งลิตร มาผสมกับน้ำมันเครื่องคุณภาพปานกลางก็ไม่สามารถเพิ่มคุณภาพขึ้นมาได้ เอาเงินส่วนนี้ไปทำประโยชน์ส่วนอื่นจะดีกว่าเช่นเดียวกับการเอาน้ำมันเครื่องคุณภาพต่ำมาเติมผสมลงไปน้ำมันเครื่องชั้นดีราคาสูงซึ่งจะทำให้ส่วนผสมของสารเพิ่มคุณภาพในน้ำมันเครื่องเสียสมดุลไปเท่ากับน้ำมันเครื่องทั้งหมดคุณภาพต่ำไปการเติมน้ำมันเครื่องใหม่เมื่อน้ำมันเครื่องเดิมใกล้จะถึงกำหนดเปลี่ยนถ่ายนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเพราะไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไปเพื่อแลกกับการใช้งานเพียงระยะสั้นทางที่ดีเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเลยจะคุ้มกว่า
18. "ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องใหม่ทุกๆ 5,000 กม."
...ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำมันเครื่องและความต้องการของเครื่องยนต์ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละราย กำหนดมาตรฐานคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เครื่องยนต์แต่ละรุ่นต้องการใช้อยู่ในคู่มือประจำรถ และกำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไว้แตกต่างกันด้วยรถยนต์ของค่ายญี่ปุ่น จะมีกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นระยะทางที่สั้นกว่ารถยุโรป เช่น ทุกๆ 5,000กม. และ 10,000 กม. ส่วนรถค่ายยุโรปส่วนใหญ่ที่เครื่องยนต์ใหญ่ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำและมาตรฐานคุณภาพของน้ำมันเครื่องไว้สูง เช่น ระดับ SJ สำหรับเครื่องยนต์เบนซินจะกำหนดระยะทางถึง 15,000 กม. หรือมากกว่านั้นปัจจุบันกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่มีระยะมากที่สุด เป็นของรถ เปอโฌต์ คือ ทุกๆ 30,000 กม.แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนก่อนเวลาก็ไม่ได้ทำให้เสียหาย เพียงแต่เปลืองเงินกว่าที่ควร เท่านั้นเองผู้ใช้รถควรใช้วิจารณญาณในการร่นระยะเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามสภาพการใช้งาน เช่นกรณีที่ใช้งานในสภาพการจราจรติดขัดเป็นส่วนใหญ่ เหลือ 70 % ที่กำหนดในคู่มือหรือถ้าต้องสตาร์ทเครื่องยนต์บ่อยๆ และ "รถติด" เป็นประจำด้วย เหลือเพียง 50 %.ถ้าใช้น้ำมันเครื่อง "ธรรมดา" คุณภาพสูง แล้วใช้งานหนักมาก เปลี่ยนทุก 5,000 กม.Newsstand Limited.ถ้าใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % เปลี่ยนทุก 10,000 กม. หากใช้งานเบากว่านี้เพิ่มระยะทางได้ตามความเหมาะสม ไม่ใช่กำหนดที่ปั๊มน้ำมัน หรือศูนย์บริการ ฯ ลดทอนเพราะต้องการขายน้ำมันเครื่อง
19. "เครื่องยนต์ดีเซลมีระยะการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเท่ากับเบนซิน"
...อุณหภูมิภายในไม่เท่ากัน อายุการใช้งานก็ต่างกันด้วยการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซล ก่อให้เกิดเขม่ามากกว่าในเครื่องยนต์เบนซินผงเขม่าขนาดเล็กสามารถลอดผ่านกระดาษกรองของหม้อกรองน้ำมันเครื่องได้เมื่อสะสมแขวนลอยอยู่ในน้ำมันเครื่องมากขึ้น จะทำให้น้ำมันเครื่องมีค่าความหนืดสูงขึ้นคุณสมบัติในการหล่อลื่นจึงลดลงเครื่องยนต์ดีเซลระบบฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้หรือไดเรคท์อินเจคชันยุคใหม่มีเขม่าน้อยกว่าแบบพรีแชมเบอร์มาก เราจึงสังเกตได้ว่ากำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์แบบนี้ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์เบนซินแล้ว
20. "น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % คุ้มกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา"
...ราคาแพงกว่าใช้ได้นานกว่า แต่จะคุ้มหรือไม่อยู่ที่ใจจุดเด่นแรกของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์อยู่ที่ค่าความหนืดต่ำที่อุณหภูมิต่ำ จึงไหลไปหล่อลื่นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มติดเครื่องยนต์ในสภาพเย็นจัด เช่น ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสซึ่งสภาวะเช่นนี้ไม่มีในประเทศไทยข้อดีประการที่ 2 คือทนต่อความร้อนสูงที่ผนังกระบอกสูบได้ดีกว่าจึงมีอัตราการระเหยเป็นไอได้น้อยกว่าน้ำมันเครื่อง "ธรรมดา"อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องอาจน้อยกว่าเล็กน้อย.จุดเด่นอีกข้อของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ คือ การมีค่าดัชนีความหนืดสูง จึงไม่ "ใส"เกินไปเมื่อถูกความร้อนจัด น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จึงมีสารปรับดัชนีความหนืดผสมอยู่ในอัตราที่น้อยกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา เนื่องจากสารปรับดัชนีความหนืดนี้เสื่อมสภาพได้ง่ายตามอายุใช้งานน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จึงมีอายุใช้งานยาวนานกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดามากเมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % กับราคาน้ำมันเครื่อง "ธรรมดา"ระดับคุณภาพสูงสุดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีราคาสูงกว่าราว 2 ถึง 4 เท่า จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่า"คุ้มกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา" ยกเว้นพวกชอบใช้ของแพง ได้จ่ายเงินมากแล้วมีความสุขผู้ที่ต้องการถนอมให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยที่สุด โดยไม่คำนึงถึงราคาว่าคุ้มหรือไม่
21. "ใช้น้ำมันเครื่องราคาถูกแต่เปลี่ยนบ่อยๆ ช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด"
...ถ้าเจอน้ำมันเครื่องปลอม หรือไม่มีคุณภาพ อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายไม่ควรนำน้ำมันเครื่องราคาถูกมาเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น ทุก 3,000 หรือ 4,000 กม.แทนน้ำมันเครื่องมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด เพราะในประเทศเราที่ไม่มีหน่วยงานควบคุมNewsstand Limited.และตรวจสอบคุณภาพของน้ำมันเครื่องอยู่เลย แม้น้ำมันเครื่องระดับคุณภาพสูงที่เราซื้อมาก็อาจเป็นของปลอมที่กรองและฟอกสีมาจากกากน้ำมันเครื่องใช้แล้วได้วิธีถนอมเครื่องยนต์ที่ดีที่สุด คือ เลือกใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงสุด ก่อนอื่นต้องเลือก "ยี่ห้อ"และสถานที่จำหน่ายที่น่าไว้วางใจได้ เลือกระดับคุณภาพ แล้วจึงดูระดับความหนืดหรือความข้นของน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับอุณหภูมิเฉลี่ยของเมืองไทย เช่น 10W-40/15W-40/15W-50 หรือ 20W-50ระดับคุณภาพที่รู้จักกันแพร่หลายในประเทศไทย คือ ระดับคุณภาพตามมาตรฐานของ API(AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE) ถ้าเป็นรถใช้เครื่องยนต์เบนซิน ควรใช้น้ำมันเครื่องระดับคุณภาพ SJ หรือ อย่างน้อย SH ถ้าเป็นรถใช้เครื่องยนต์ดีเซล ควรเลือกระดับ CG - 4หรืออย่างน้อย CF - 4
22. "เปลี่ยนแบทเตอรีให้ลูกใหญ่ จะได้สตาร์ทง่าย"
...แบทเตอรีขนาดไหนก็ใช้ไฟเท่าเดิม ใหญ่ไปก็หนักรถการใช้แบทเตอรีที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ทั้งเครื่องยนต์ ไดสตาร์ท และไดชาร์จยังมีขนาดเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากจะเป็นความสิ้นเปลืองที่เกินกว่าความจำเป็นเพราะความต้องการไฟในการสตาร์ทเครื่องยนต์ยังเท่าเดิมแล้ว ยังอาจส่งผลเสียกับไดชาร์จในอนาคตแบทเตอรีที่มีขนาดใหญ่มากเกินไปไม่เพียงต้องทำให้เจ้าของรถต้องดัดแปลงแทนวางแบทเตอรีใหม่เท่านั้นยังอาจส่งผลให้ไดชาร์จทำงานเต็มกำลังตลอดเวลา เพื่อบรรจุไฟเข้าไปเก็บในแบทเตอรีซึ่งจะหยุดก็ต่อเมื่อไฟเต็ม
23. "ดับเครื่องยนต์ และปิดพัดลมแอร์ จะช่วยให้แอร์ไม่เสียเร็ว"
...ควรปิดคอมเพรสเซอร์แอร์ ก่อนดับเครื่อง ช่วยยืดอายุตู้แอร์ระบบทำความเย็นทั้งภายในรถและอาคาร อาศัยหลักการถ่ายเทความเย็น และระบายความร้อนซึ่งตู้แอร์ หรือคอยล์เย็น จะมีสารทำความเย็นบรรจุอยู่ภายใน โดยมีพัดลมทำหน้าที่เป่าลมการปิดพัดลมหลังดับเครื่อง ความเย็นยังคงอยู่ภายในระบบ ตู้แอร์จึงชื้นและกลายเป็นที่สะสมฝุ่นละออง ซึ่งจะทำให้ลมผ่านได้ไม่สะดวก เกิดการอุดตัน และตู้รั่วการปิดคอมเพรสเซอร์ หรือปิดสวิทช์ AC ก่อนดับเครื่องยนต์อย่างน้อย 5 -10 นาทีจะช่วยไล่ความชื้นในตู้แอร์ ไม่เป็นที่สะสมฝุ่น นอกจากจะช่วยยืดอายุตู้แอร์ยังช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ที่มักเกิดพร้อมๆ กับความชื้นอีกด้วย
24. "แกสโซฮอลสิ้นเปลืองกว่าเบนซิน 95 เพราะแอลกอฮอล์ระเหยได้ง่ายกว่า"
..แอลกอฮอล์มีความหนาแน่นของพลังงาน ต่ำกว่าของเบนซินการที่แกสโซฮอลสิ้นเปลืองกว่าเพราะแอลกอฮอล์มีพลังงานสะสมในตัวมันน้อยกว่าเมื่อเทียบมวลเท่ากัน เช่น มีพลังงานกี่กิโลแคลอรีต่อมวลหนึ่งกิโลกรัมเท่ากันหรือกล่าวได้ว่าแอลกอฮอล์มีความหนาแน่นของพลังงาน หรือ ค่าความร้อน (HEATING VALUE)ต่ำกว่าของเบนซิน เกี่ยวกับการระเหยง่ายอย่างที่หลายคนคิดตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ น้ำมันเบนซินซึ่งระเหยง่ายมาก และน้ำมันดีเซลซึ่งระเหยยากมากNewsstand Limited.แต่มีความหนาแน่นของพลังงานหรือค่าความร้อนพอๆ กันและมากกว่าของแอลกอฮอล์ประมาณเท่าตัว
25. "เติมน้ำยาหล่อเย็นจะทำให้หม้อน้ำรั่ว"
...น้ำยาเติมหม้อน้ำช่วยลดตะกอนและควบคุมอุณหภูมิของน้ำน้ำยาเติมหม้อ หรือน้ำยาหล่อเย็น (COOLANT)ถูกมองว่าเป็นตัวการทำให้หม้อน้ำและปั๊มน้ำรั่วอยู่เสมอนั่นก็เพราะผู้ใช้รถจะพบปัญหาเหล่านี้หลังจากที่ได้เติมน้ำยาหล่อเย็นซึ่งในความเป็นจริงเกิดจากระบบหล่อเย็นของรถขาดการบำรุงรักษามาเป็นเวลานานหรือใช้น้ำที่มีค่าเป็นกรดเป็นด่างมากเกินไป จนเกิดการผุกร่อนดังนั้นเราควรบำรุงรักษาหม้อน้ำด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาในระบบหล่อเย็นปีละครั้งรวมทั้งทำความสะอาดถังพักน้ำด้วย ส่วนการผสมน้ำยาหล่อเย็น ควรทำตามอัตราส่วนที่ผู้ผลิตระบุไว้
26. "รถที่ใช้จานเบรค 4 ล้อปลอดภัยกว่ารถที่ใช้ดุมเบรคหลัง"
...ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการใช้งานหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าจานเบรคใช้ได้ดีกับรถทุกรุ่นทุกขนาด แม้ว่าคุณสมบัติที่ดีของจานเบรคคือระบายความร้อนได้เร็ว ส่วนใหญ่ผู้ผลิตรถจึงใช้กับล้อหน้าที่ผ้าเบรคจับตัวจานเบรคแทบจะตลอดเวลาดุมเบรคที่ระบายความร้อนได้ช้ากว่าเพราะมีฝาครอบ แต่มีพื้นที่สัมผัสมากกว่าจานเบรคและไม่มีปัญหาเบรคลอคเหมือนจานเบรคใช้ในล้อหลัง รถที่ใช้งานแบบทั่วไป รวมทั้งรถที่มีระบบเอบีเอสซึ่งวิศวกรผู้ผลิตรถยนต์จะเลือกใช้จานเบรคตามความเหมาะสมการที่เจ้าของรถนำรถไปดัดแปลงใช้จานเบรคในล้อหลัง ต้องระวังเพราะหากล้อหลังหยุดก่อนล้อหน้าเมื่อเบรค อาจทำให้รถหมุนได้
27. "เปลี่ยนกรองเปลือย และหัวเทียน ทำให้รถแรงขึ้น"
...ช่วยอะไรไม่ได้มาก ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไปการเปลี่ยนกรองอากาศมาเป็นแบบกรองเปลือย ที่ไม่มีกล่องป้องกันฝุ่น และท่อนำอากาศอาจจะช่วยให้อากาศเข้าได้สะดวกขึ้น แต่ความหนาแน่นของมวลอากาศน้อยลงเพราะอุณหภูมิความร้อนภายในห้องเครื่องยนต์ ซึ่งปริมาณอากาศกับห้องเผาไหม้เท่าเดิม จึงให้กำลังตกลงเมื่อเครื่องร้อน อีกทั้งมีฝุ่นละอองมาก ทำให้ต้องล้างหรือทำความสะอาดบ่อยๆการใช้หัวเทียนใหม่ช่วยให้การจุดระเบิดสมบูรณ์แต่ไม่ได้เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงกว่ามาตรฐานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดไว้
28. "ใส่กรองอากาศไม่ต้องเปลี่ยน แค่เป่าลมก็ใช้ได้แล้ว"
..เปลี่ยนใหม่ จะช่วยให้ประหยัดค่าน้ำมันไปได้นับพันบาทการใช้ลมเป่าใสกรองอากาศที่นิยมทำกัน เมื่อมีฝุ่นติดเต็ม จนมองไม่เห็นสีเดิม วิธีนี้ช่วยให้ฝุ่นละอองเบาบางลง อากาศไหลผ่านได้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าเป่าแรงเกินไปแผ่นกรองอาจเสียหายจนใช้งานต่อไม่ได้เพราะมีรูกว้างจนฝุ่นขนาดใหญ่สามารถผ่านเข้าไปได้คิดแล้วไม่คุ้ม ยอมจ่ายเงินซื้อของใหม่มาใส่จะคุ้มกว่า การล้างคาร์บูเรเตอร์ หรือหัวฉีดแถมยังประหยัดค่าน้ำมันทางอ้อม อีกด้วย
Source - ฟอร์มูลา (Th)

04 สิงหาคม 2552

28 เรื่องเข้าใจผิด ของคนใช้รถ (1)

การใช้รถอย่างถูกต้อง และดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ช่วยให้ประหยัดและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น พฤติกรรมผิดๆ ของผู้ใช้รถ ซึ่งอาจส่งผลเสียกับรถยนต์ทันที หรือแสดงผลในภายหลัง ส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิด โดยเฉพาะใน 29 เรื่องต่อไปนี้

1. "สตาร์ทแล้วออกรถได้เลยไม่ต้องอุ่นเครื่อง"
...อุ่นเครื่องยนต์สักหน่อยก่อนออกรถจะดีกว่า เมื่อเครื่องยนต์ทำงานขณะที่ยัง "เย็น" อยู่ เช่น ขณะออกรถจากบ้านไปทำงานตอนเช้า หรือติดเครื่องยนต์เมื่องานเลิกเพื่อกลับบ้าน ไอของเชื้อเพลิงที่เข้มข้นจะเกาะผนังกระบอกสูบ และละลายปนกับฟีล์มน้ำมันเครื่องที่ฉาบผนังอยู่ ทำให้การหล่อลื่นแหวนลูกสูบกับผนังกระบอกสูบไม่เพียงพอ สร้างความสึกหรอในเครื่องยนต์มากกว่าปกติ นอกจากนี้ทั้งเชื้อเพลิงที่ระเหยไม่หมด และไอน้ำที่เกิดจากการเผาไหม้ขณะเครื่องยังเย็นนี้ ยังละลายปนอยู่ในน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย

2. "รถใหม่สมัยนี้ ไม่ต้อง รันอิน"
...รถใหม่ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ต้องรันอิน รถรุ่นใหม่ๆ แม้จะมีการควบคุมคุณภาพอย่างดีแล้วก็ตาม แต่เครื่องยนต์ใหม่ควรต้องผ่านการรันอิน และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสักครั้งก่อนที่จะใช้งานอย่างเต็มที่ เพราะเศษโลหะที่ตกค้างอยู่ในระบบจะได้ถูกชะล้างออกไป การรันอินนั้นทำได้ไม่ยาก โดยในช่วง 1,000 กม. แรก ไม่เร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง หรือใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงมากๆ ถ้าใช้รอบเครื่องไม่เกิน 3,000 รตน. ได้ก็จะดี และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนด พูดถึงเรื่องนี้ เคยมีผู้ใช้รถบางคน ไม่นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเชค โดยให้เหตุผลว่า เสียเวลา เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทำที่ไหนก็ได้
อย่างนี้ "น่าเสียดาย" แทนจริงๆ เพราะถ้าเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์จะเรียกร้องเอากับใคร

3. "ยกขาก้านปัดน้ำฝนขณะจอดช่วยยืดอายุใบปัด"
...สปริงในก้านที่ปัดน้ำฝนจะอ่อน และเสียเร็วขึ้น ส่วนสำคัญที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพประกอบด้วย ใบปัดแผ่นยางซึ่งทำหน้าที่รีดน้ำจากกระจกบังลมหน้า ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี หากใช้นานกว่านั้นเนื้อยางจะแข็งตัวหรือมีการฉีกขาด ไม่ว่าจะยกไว้หรือไม่ก็ตาม อีกส่วนคือก้านใบปัด ที่มีสปริงคอยดึงให้ใบปัดแนบสนิทกับกระจก ซึ่งรับแรงจากคันโยก และมอเตอร์ตัวนี้มีราคาสูงกว่าใบปัด การยกก้านเมื่อจอดตากแดด สปริงจะถูกดึงให้ยืดออกตลอดเวลา อายุการใช้งานสั้นลง ทำให้ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมหลายเท่าถ้าต้องเปลี่ยนทั้งชุด

4."รถติดไฟแดงค้างเกียร์ D ไว้ดีกว่าเปลี่ยนเกียร์ว่าง"
...หยุดรถก็โอเค แต่ถ้าติดไฟแดงนานก็ต้องระวังชนคันหน้า ในกรณีรถติดไฟแดง ผู้ขับรถที่ใช้เกียร์ธรรมดาจะปลดเกียร์ว่าง และเหยียบเบรคป้องกันรถไหล
คงจะไม่มีใครเหยียบคลัทช์ และเบรค ใส่เกียร์คาไว้ ให้เมื้อยขา ขณะที่ผู้ขับรถเกียร์อัตโนมัติกลับมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน กลุ่มแรก เหยียบเบรคโดยค้างเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง "D" กลุ่มที่ 2 เบรคเหมือนกัน แต่เลื่อนตำแหน่งคันเกียร์มาที่เกียร์ว่าง "N" กลุ่มสุดท้าย ดันคันเกียร์มาอยู่ที่ "P"
ไม่เหยียบเบรค ถ้าติดไฟแดงนานๆ กลุ่มแรก ต้องระวังมากที่สุด เพราะถ้าขยับตัวแล้วเท้าหลุดจากแป้นเบรค
รถอาจพุ่งไปชนคันหน้า กลุ่มที่ 2 เบาหน่อยแค่เมื่อย ส่วนกลุ่มสุดท้าย สบายใจได้ แต่อาจจะไม่สะดวกกับการใช้งาน วิธีดีที่สุด คือ ใช้เกียร์ว่าง และดึงเบรคมือ

5. "เดินทางไกลลมยางอ่อนดีกว่าแข็ง"
...ลมน้อย ยางมีโอกาสระเบิดได้มาก คู่มือการใช้และดูแลรักษายางรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นค่ายไหน ก็แนะนำตรงกันว่าผู้ใช้รถควรเติมลมยางตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ และให้เพิ่มแรงดันลมยางให้สูงขึ้นอีก 2- 3 ปอนด์ เมื่อต้องเดินทางไกล ลมยางที่อ่อนกว่ามาตรฐานกำหนด นอกจากจะทำให้หน้ายางด้านนอกสึกมากกว่าด้านในแล้ว ยังอาจส่งผลเสียกับโครงสร้างยางได้ และมีโอกาสเกิด "ยางระเบิด" มากกว่าหรือใกล้เคียงกับยางที่มีแรงดันลมยางเกินกำหนด
เพราะอุณหภูมิความร้อนที่เกิดจากการเสียดสี

6. "ฝนตกใส่ขับ 4 ล้อเกาะกว่า...2 ล้อ"
...อย่าใช้ระบบขับเคลื่อนผิดประเภท จะได้ไม่ต้องเสียใจ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นอาจจะช่วยให้รถเกาะถนนมากกว่าระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่สำหรับรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์หรือ "ตามต้องการ" ในรถพิคอัพ หรือพีพีวีที่มีชุดส่งกำลังแยกเพื่อส่งกำลังไปยังล้อหน้า กำลังจากล้อหลังจะถูกแบ่งมายังล้อหน้า อาการท้ายปัด หรือล้อหลังฟรีก็จะน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกาะถนนดี เมื่อต้องเลี้ยวในความเร็วสูงล้อหน้าที่ถูกลอคให้หมุนจะเลี้ยวได้น้อยลง ทำให้ต้องใช้วงเลี้ยวที่กว้างขึ้น จึงมีรถประเภทนี้หลุดโค้งให้เห็นกันเป็นประจำ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์มีไว้เพื่อช่วยให้รถสามารถผ่านทางทุรกันดานได้ง่ายขึ้น ต่างกับพวกที่เป็นฟูลล์ไทม์หรือ "ตลอดเวลา" ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการยึดเกาะถนน

7. "ตั้งศูนย์ล้อหน้าอย่างเดียวก็พอ"
ถูก...ทุกล้อมีความสำคัญ ตั้งศูนย์ล้อควรทำทั้ง 4 ล้อ เชื่อหรือไม่ว่า ศูนย์ล้อหลังมีความสำคัญพอๆ กับศูนย์ล้อหน้า หรืออาจจะมากกว่า เพราะมุมที่ล้อหลังเอียงไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้รถเสียสมดุลเมื่อเบรค หรือเลี้ยว และทำให้รถเลี้ยวไปมากกว่าที่คิดรถยนต์ส่วนใหญ่จะปรับตั้งศูนย์ล้อได้หน้า/หลัง ยกเว้นรถขับเคลื่อนหน้าบางรุ่นที่ปรับได้แต่เฉพาะล้อหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถตั้งศูนย์ล้อหลัง ก็ต้องทำใจ

8. "ต้องเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเวลาข้ามแยก"
...เวลาข้ามแยก รอให้รถว่าง และไม่ควรเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน ถ้าคุณเปิดไฟฉุกเฉิน รถทั้งด้านซ้าย/ขวา ต่างก็จะเห็นสัญญาณไฟเลี้ยวเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น รถทางขวาอาจจะจอดให้ไป แต่สำหรับทางซ้ายอาจคิดว่าคุณจะเลี้ยวซ้ายจึงไม่หยุดให้ อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้น ด้วยความเข้าใจผิด จากการใช้สัญญาณไฟแบบผิดที่...ผิดทาง

9. "ฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัดต้องเปิดไฟฉุกเฉิน"
...อาจสร้างความสับสนให้ผู้ร่วมทาง ไฟฉุกเฉินใช้เวลาจอดฉุกเฉินในสภาพอากาศที่ไม่ดี และมีทัศนวิสัยแย่มาก จนมองแทบไม่เห็นรถคันหน้า การชะลอความเร็ว เปิดไฟหน้า และทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้น เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน ทำให้ที่วิ่งสวนทางมาเข้าใจผิดคิดว่ามีรถจอดเสียอยู่ทางซ้ายริมถนน และหักหลบไปทางขวา ซึ่งเป็นไหลทาง กว่าจะเห็นอาจจะสายเกินไป ไม่ลงไปข้างทางก็อาจพุ่งข้ามช่องทางมาชน หรือถ้าหยุดรถก็ขวางทาง และเกิดอุบัติเหตุ
การใช้ สัญญาณไฟฉุกเฉิน หรือไฟผ่าหมาก ควรใช้เฉพาะเวลาที่รถเสีย และต้องจอดอยู่ริมถนน เพื่อบอกให้เพื่อนร่วมทางที่สัญจรผ่านไปมา ใช้ความระมัดระวัง และชะลอความเร็วในจุดที่รถจอดเสียอยู่

10. "ผ้าเบรคแข็ง หรือ ผ้าเบรคเนื้อแข็ง ไม่ดี"
...ไม่แน่เสมอไป ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความเข้าใจผิดๆ เรื่อง "ผ้าเบรค" ที่ว่าผ้าเบรคอ่อนดีกว่าแข็ง เกิดจากบรรดาช่างซ่อมรถที่ไม่ได้อธิบายให้เจ้าของรถเข้าใจ การผสมเนื้อผ้าเบรคให้ใช้งานได้ดี เป็นศาสตร์ชั้นสูง ใช้วัสดุนานาชนิด และมีสัดส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อคุณสมบัติของผ้าเบรค และมักจะขัดแย้งกันเอง ถ้าเน้นข้อดีข้อใดขึ้นมา ก็มักจะมีข้ออื่นด้อยลงไป เช่น การใช้ส่วนผสมที่เบรคหยุดดี ก็จะกินเนื้อจานเบรคมาก หรือร้อนจัด หรือไม่เนื้อผ้าเบรคก็สึกเร็ว พอทำให้สึกช้า ก็แข็ง เบรคไม่ค่อยอยู่ หรือมีเสียงรบกวน ส่วนผ้าเบรค "เนื้ออ่อน" ที่มีจุดเด่นเรื่องไม่กัดกินเนื้อจานเบรค ก็จะมีข้อด้อยตรงจุดอื่น

11. "เอนนอนขับแบบนักแข่ง...สบายที่สุด"
...นั่งขับแบบไม่ต้องชะเง้อ จะได้ไม่เมื่อย และไม่อันตราย
ท่าขับแบบนักแข่ง ตัวจริง ต่างกับการปรับเบาะเอนนอนขับมาก การนั่งท่านี้จะรู้สึกว่าจะหลุดจากเบาะนั่งทุกครั้งที่เบรคแรงๆ แขนที่เหยียดตึงตลอดเวลา นอกจากจะทำให้เมื่อยล้า ยังต้องยกตัวขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลี้ยว เพราะไม่มีแรงหมุนพวงมาลัย และมองทางข้างหน้าไม่เห็น เช่นเดียวกับเวลาถอยหลังจอด สายเข็มขัดนิรภัยที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าการนั่งขับแบบปกติ อาจจะรั้งคอ แทนที่จะเป็นไหล เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ท่านั่งที่ถูกต้องเอาหลังพิงพนักจนสนิทแล้วเหยียดแขนข้างใดข้างหนึ่ง
ไปวางบนส่วนบนสุดของพวงมาลัยแล้ว ตรงกับข้อมือ ขาต้องสามารถเหยียบแป้นคลัทช์จนจม โดยไม่ต้องเหยียดข้อเท้าสุดแบบนักบัลเลท์ ส่วนใต้ของขาอ่อนดันกับเบาะนั่งส่วนหน้า จนรู้สึกว่าน้ำหนักตัวที่ลงตรงสะโพกพอดี และยังสัมผัสกับพนักพิง

12. "นั่งชิดพวงมาลัยเพื่อให้มองเห็นหน้ารถ"
...อันตราย ตัวอาจกระแทกกับพวงมาลัยบาดเจ็บ ผู้ที่นั่งใกล้พวงมาลัยเกินไป มักเป็นผู้ที่ไม่ค่อยให้ความสนใจกับรถนัก และได้รับการสอนท่านั่งมาแบบผิดๆ ลำตัวที่อยู่ชิดกับพวงมาลัย นอกจากจะทำให้หมุนพวงมาลัยไม่ถนัดเพราะแขนงอมากเกินไป ยังเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ตัวผู้ขับ ที่อาจจะบาดเจ็บจากการที่ลำตัวกระแทกกับพวงมาลัย และแรงระเบิดจากถุงลมนิรภัย

13. "สอดมือหมุนพวงมาลัยถนัด เบาแรง และปลอดภัย"
...ไม่ถนัดจริง และอันตรายไม่ควรทำ การหงายมือล้วงหรือสอดมือจับพวงมาลัย เพื่อเลี้ยวรถ เป็นการออกแรงดึงเข้าหาตัว
จึงทำให้รู้สึกว่าออกแรงน้อยกว่าการจับแบบคว่ำมือหมุน แต่การทำแบบนั้นมี "อันตราย" มาก ถ้าหากล้อหน้าเกิดสะดุดก้อนหิน และเกิดมือหลุดจากพวงมาลัย ดึงมือออกมาไม่ทันก้านพวงมาลัยจะตีมืออย่างแรง การจับพวงมาลัยที่ถูกต้องควรจับในตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา ซึ่งแขนจะงออยู่เล็กน้อย และเพียงพอที่หมุนพวงมาลัยได้จนครบรอบ เมื่อต้องเลี้ยวรถมากกว่าหนึ่งรอบ จะปล่อยมือที่อยู่ด้านหลัง เพื่อมาจับในตำแหน่งเดิม โดยทำในลักษณะนี้ทั้งเลี้ยวซ้าย/ขวา

14. "เกียร์ ซีวีที ขับยากและกินน้ำมันกว่าเกียร์อัตโนมัติทั่วไป"
...ขับง่ายและประหยัดน้ำมันกว่าเกียร์อัตโนมัติทั่วไป การไม่สามารถเข้าใจเหตุผล ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้ที่ขับรถใช้เกียร์ ซีวีที บอกว่าขับแล้วรู้สึกเหมือนขับรถที่เกียร์ หรือระบบขับเคลื่อน "มีปัญหา" ให้ความรู้สึกที่ไม่ดี โดยเฉพาะตอนที่ขับด้วยความเร็วคงที่แล้วกดคันเร่งเพิ่ม เกียร์จะเลือกอัตราทดที่เหมาะ ทำให้ความเร็วเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นทันที แต่ความเร็วรถยังเท่าเดิม ให้ความรู้สึกเหมือนรถคลัทช์ลื่น การขับแบบประหยัดเชื้อเพลิง ให้เหยียบคันเร่งไม่ลึกนักขณะออกรถและรักษาระยะที่เหยียบไว้ ช่วงแรกเครื่องยนต์จะส่งกำลังผ่านทอร์คคอนเวอร์เตอร์ พอล้อรถหมุนเร็วพอสมควร และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากทอร์คคอนเวอร์เตอร์แล้ว ระบบต่อตรงส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังจานทรงกรวยตัวขับก็จะทำงาน จากนั้นระบบควบคุมจะลดระยะห่างของจานทรงกรวยคู่ที่เป็นตัวขับ เป็นการลดอัตราทด เพื่อเพิ่มความเร็วรถ โดยที่ความเร็วของเครื่องยนต์ ค่อนข้างคงที่ ยกตัวอย่างเช่น ประมาณ 1,800 รตน. ความเร็วจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเดียวกับที่อัตราทดของเกียร์ลดลง จนได้ความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดของการเหยียบคันเร่งของเราเท่านี้

15. "ต้องเปลี่ยนไส้กรองทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง"
...ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกครั้ง แต่ถ้าเปลี่ยนได้ก็ดี ผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรป แนะนำให้เปลี่ยนพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง แต่โรงงานผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น จำนวนไม่น้อย แนะนำให้เปลี่ยนไส้กรอง หรือหม้อกรองทุกๆ ครั้งที่ 2 ของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ถ้าคำนึงถึงคุณภาพของน้ำมันเครื่องยุคปัจจุบันแล้ว น้ำมันเครื่องหมดอายุแล้ว ในหม้อกรองน้ำมันเครื่องจำนวนหนึ่งปนเปื้อน ไม่ถึงกับให้โทษในด้านการหล่อลื่นหรือทำความสะอาดภายในเครื่องยนต์ แต่เมื่อคำนึงถึงราคาหม้อกรอง หรือไส้กรอง ซึ่งถูกกว่าราคาน้ำมันเครื่องแล้วควรเปลี่ยนทุกครั้งเพื่อให้น้ำมันเครื่องสะอาดที่สุด และทำหน้าที่รักษาเครื่องยนต์ของเราจะดีกว่า

Source - ฟอร์มูลา (Th)

03 สิงหาคม 2552

แรงบันดาลใจของ แทนคุณ จิตต์อิสระ

พลังแห่งแรงบันดาลใจ
พิธีกร แทนคุณ จิตต์อิสระ กับ
พุทธทาสภิกขุ

เมื่อเก้าปีที่แล้ว ตอนพ่อเสียชีวิต ผมไม่มีเวลาเตรียมใจเพราะพ่อล้มป่วยแล้วจากไปเร็วมาก ผมน้ำตาไหลตลอดเวลาที่อยู่ในงานศพ กระทั่งมีคนยื่นหนังสือ คู่มือมนุษย์ และ จิตว่าง ของท่านพุทธทาสมาให้ ผมอ่านจนหยุดร้องไห้ได้ในวันที่ห้า

แล้วก็เริ่มร้องไห้ใหม่ในวันที่หก แต่ร้องออกมาด้วยความปีติ ขณะที่มือซ้ายถือหนังสือ พุทธประวัติฉบับเยาวชน ของท่านพุทธทาส ผมนั่งอ่านไปแล้วมือขวาก็หย่อนกระดาษเงินกระดาษทองลงเตาเผาตามความเชื่อของบรรพบุรุษ ความสว่างทางปัญญาเกิดขึ้นเมื่อเผชิญความทุกข์ใจ ต้องวางทิ้งทุกข์ไปให้เร็วที่สุด โดยไม่รู้วิธีว่าทำอย่างไรจึงจะผ่านพ้นไปได้ ในวัย 21 ซึ่งมีภาระต้องดูแลแม่และพี่สาวแทนพ่อ

หลังจากนั้น ผมอ่านหนังสือธรรมมะของพุทธทาสหลายเล่มมาก ท่านสอนธรรมในแนววิทยาศาสตร์ ทุกตัวอักษรในแต่ละบรรทัดที่อ่านนั้นเข้าใจง่าย ถ้อยคำกระชับ และชัดเจน

ในหนังสือ พุทธประวัติฉบับเยาวชน เล่าถึงเรื่องของหญิงคนหนึ่งซึ่งสูญเสียลูกชาย ไปร้องไห้คร่ำครวญขอให้พระพุทธองค์ทำยาวิเศษ จนพระองค์รับปากว่าจะทำให้ แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาจากบ้านที่ไม่มีใครเคยเสียชีวิต เมื่อหาไม่ได้ เธอต้องย้อนกลับมาหาพระองค์ และยอมรับในท้ายที่สุดว่าได้รับยาวิเศษแล้ว นั่นคือธรรมมะที่ทำให้เข้าใจว่าความตายมีอยู่ในทุกที่ เกิดขึ้นกับทุกคน และเกิดได้ทุกเวลา

ผมหันหลังให้งานแสดงในวงการบันเทิงเพื่อมุ่งเรียนภาษาจีนตามที่พ่อเคยขอไว้ ผมบวชสองครั้ง ครั้งแรกเพื่อเป็นกุศลบุญให้คุณพ่อในทางโลก ครั้งที่สองด้วยศรัทธาท่านพุทธทาส คุณพ่อทางธรรม และเพื่อศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ให้เข้าใจลึกซึ้งทั้งทางหลักธรรมของศาสนาและฝึกรักษาศีล

พุทธทาสเคยกล่าวว่า ท่านยอมเป็นทาสรับใช้พระพุทธศาสนา ท่านเป็นปราชญ์ทางธรรมที่ยิ่งใหญ่ ท่านสร้าง "โรงมหรสพทางวิญญาณ" ไว้ที่สวนโมกข์เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนสติ และชี้แนะให้พวกเราเห็นกฎแห่งกรรมอันเป็นธรรมชาติ แนะให้นำหลักธรรมเป็นเครื่องนำทางชีวิต อย่ามองย้อนหลัง มองไปข้างหน้า ไม่มีใครย้อนอดีตได้ จะกลับไปหาอดีตก็ไม่ได้

ผมไม่ต้องการยึดติดกับชื่อเสียงในอดีต เปลี่ยนความคิดที่ว่าถ้ามีเงินมากแล้วจะมีความสุข เพราะเรียนรู้จากความสูญเสียว่ามันไม่ใช่ จากที่เคยหาเงินได้เดือนละแสนจากงานบันเทิง มารับงานครูผู้ช่วยสอนภาษาจีนได้ชั่วโมงละ 150 บาท ผมเปลี่ยนชื่อเอกชัย บูรณผาณิตเป็น แทนคุณ เพราะคิดถึงพระคุณของบิดาและใช้นามสกุลว่าจิตต์อิสระ คือใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือสิ่งที่มีอยู่ใด ผมหันมาใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นคนใหม่ จริงใจ และช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่โอกาสอำนวย

โดย คุณานันท์ แสงอาทิตย์ http://www.readersdigest.co.th