30 กรกฎาคม 2552

25 ความเชื่อตลก ๆ ในวัยเด็ก


1.เห็นคนโป๊จะเป็นตากุ้งยิง
2.คิดว่าด้วงเป็นแมลงสาบที่แข็งแรง
3.จิ้งจกคือตะพาบถอดกระดอง
4.ตุ๊กแกเป็นพ่อจิ้งจก
5.จิ้งจกโตขึ้นไปเรื่อยๆจะกลายเป็นจระเข้
6.ถ้าไม่ตั้งใจเรียนเขาจะงอกเป็นควาย
7.ถ้าเอากิ้งกือมาต่อกันจะได้กิ้งกือตัวยาวๆ
8.ถ้าดูดนิ้วไปเรื่อยๆนิ้วจะงอกขึ้นมาอีกนิ้ว
9.ถ้าถูกยุงกัดเยอะๆแล้วเลือดจะหมดตัว
10.เด็กผู้หญิงคือเด็กผู้ชายที่วิ่งซนแล้วช้างน้อยหล่นหาย
11.ถ้าชี้รุ้งกินน้ำแล้วนิ้วจะกุดต้องแก้เคล็ด
12.ถ้ากลืนเม็ดแตงโมเข้าไปมันจะงอกออกมาทางสะดือ
13.เอาไม้หนีบผ้าหนีบจมูกแล้วจมูกจะโด่ง
14.คิดว่าตุ๊กแกกินตับ
15.ยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ยืนหลับอยู่
16.คิดว่าแม่ชีเป็นเมียของพระ
17.แล้วลูกของพระคือเณร
18.คิดว่านอนเตียงเดียวกันแล้วจะท้อง
19.ถ้าไว้ผมยาวจะดูหล่อ
20.วันวาเลนไทน์ต้องติดสติกเกอร์รูปหัวใจ
21.เชื่อว่าฉีดยาเจ็บเท่ามดกัด
22. ถ้าได้เรียนสถาปัดจะดูหล่อๆเท่ๆ
23.เรอคือตดที่ออกจากปาก
24.ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก
25.อิจฉาที่ญี่ปุ่นมียอดมนุษย์เยอะ
ที่มา : thaiseoboard.com

28 กรกฎาคม 2552

เวลาคุณภาพ...



พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่าทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบกิจการงานต่าง ๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน

กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน

กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ

กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว

กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม

แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะหลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมองถึงบุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???

มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน พร้อมกับคิดว่าการกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วแต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเป็น ที่สุดทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับ งานโดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใดแม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลา เบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้

ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลาให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงินตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า ...ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอกเพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้ เหมาะสมเท่านั้น

8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต

8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่ การงานและอุปสรรคในวันพรุ่งนี้

5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ

2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง

59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคมและ

1 นาทีของคุณที่มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น

จงอย่ากล่าวว่า ' ไม่มีเวลา... 'เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน

ไม่มีใครมีเวลามากและไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจกมีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษ เสี้ยวของวินาที

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า ' ไม่มีเวลา 'จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า ' ไม่มีเวลา 'เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลามนุษย์
ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิตจึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงาน อย่างเดียวแต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จ ในชีวิตต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัววันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทางมิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต

นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก ' ใช้เวลา 'แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า' ไม่มีเวลา ' อีกหรือ? จงเปลี่ยนความคิดของคุณตั้งแต่บัดนี้

คนโง่...คนฉลาด...คนเจ้าปัญญา


ว่าด้วยความคิด
คนโง่ : ทำก่อนแล้วจึงคิด จึงผิดพลาดอยู่เนืองๆ ต้องเปลืองเวลาและความรู้สึก ตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด
คนฉลาด : คิดมากก่อนแล้วจึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีทากแต่ทำได้น้อย เพราะเขม่าความคิดปิดกั้นความกล้าหาญ
คนเจ้าปัญญา : คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความผิดพลาดขื่นขมและประสบความสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย
ว่าด้วยทัศนคติ
คนโง่ : ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจจึงพลาดโอกาสใหญ่
คนฉลาด : ชอบทำดีและคิดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้แต่สิ่งดีโดยมาก ครั้นพบสิ่งชั่วร้าย จะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก
คนเจ้าปัญญา : ละชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์ จึงเห็นที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่าทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกภาวการณ์
ว่าด้วยความโง่และความฉลาด
คนโง่ : ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของตนตามที่เป็น
คนฉลาด : ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด
คนเจ้าปัญญา : ย่อมเห็นความโง่และความฉลาด ที่ซ้อนกันอยู่ และวิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่งๆขึ้นไป จึงค่อยๆ หายโง่ และเลิกฉลาดโดยลำดับ
ว่าด้วยการพูดจา
คนโง่ : ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะ และความบาดหมางแทนความรู้
คนฉลาด : ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้ และมิตรภาพมากกว่าความแตกแยก
คนเจ้าปัญญา : ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่าง อย่างลึกซึ้งแล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม
ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา
คนโง่ : พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย......
คนฉลาด : พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา......
คนเจ้าปัญญา : พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น.......
ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง
คนโง่ : พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน
คนฉลาด : พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด
คนเจ้าปัญญา : พยายามบริหาระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี.....
ว่าด้วยความคิด
คนโง่ : เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย
คนฉลาด : เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ
คนเจ้าปัญญา : เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็น***ส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป......
ว่าด้วยการบริหารธรรม
คนโง่ : ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ
คนฉลาด : ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี
คนเจ้าปัญญา : ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!.......
ว่าด้วยการทำงาน
คนโง่ : ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆของงาน
คนฉลาด : ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และได้เงินตามมาโดยง่าย
คนเจ้าปัญญา : ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงและมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ......
ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ
คนโง่ : เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก
คนฉลาด : กตัญญูผู้มีพระคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รู้จบ
คนเจ้าปัญญา : ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่องทุกฝ่ายจึงได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง
ว่าด้วยความเพียร
คนโง่ : มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี
คนฉลาด : มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก
คนเจ้าปัญญา : ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป
ว่าด้วยความจริงจัง
คนโง่ : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า
คนฉลาด : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ
คนเจ้าปัญญา : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว
ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ
คนโง่ : รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง
คนฉลาด : เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
คนเจ้าปัญญา : ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า
ขอขอบคุณสาระ ดีดี จากธรรมะดิลิเวอร์รี่

27 กรกฎาคม 2552

คนที่มีความสุขตลอดชีวิต

เก็บมาฝากค่ะ เห็นด้วยอย่างยิ่งทุกข้อเลยอะ


ที่มา : teenee.com

26 กรกฎาคม 2552

สุขใจจากคำ 'รัก' มีค่ามากกว่าแสน


เดลิเมล์ - การได้ยินคนบอกรักเป็นหนึ่งในเสี้ยววินาทีอันมีค่าของชีวิต ที่อาจคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ที่ 163,424 ปอนด์ จำนวนดังกล่าวคำนวณมาจากการขอให้กลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน จัดลำดับ 50 เหตุการณ์ในชีวิต เช่น การมีลูก หรือการไปท่องเที่ยว และนำมาเปรียบเทียบกับความสุขจากการถูกล็อตเตอรี่

เบรนจุยเซอร์ บริษัทวิจัยตลาดเผยผลการสำรวจที่ระบุว่า
อันดับ 1 คือ การมีสุขภาพดีโดยผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่ามีค่าเท่ากับเงิน 181,105 ปอนด์
อันดับ 2 คือ การที่มีใครคนหนึ่งมาบอกว่า 'ฉัน (ผม) รักคุณ' มีค่าเท่ากับเงิน 163,424 ปอนด์
อันดับ 3 คือ ความสัมพันธ์ที่มั่นคงที่มีมูลค่า 154,849 ปอนด์
อันดับ 4 คือ การอยู่ในประเทศที่ปลอดภัยและสงบสุขถูกคำนวณออกมาเป็นตัวเงิน 129,448 ปอนด์
อันดับ 5 คือ การมีลูก 123,592 ปอนด์
อันดับ 6 คือ การหัวเราะเป็นประจำที่มีค่า 108,021 ปอนด์
อันดับ 7 คือ กิจกรรมใต้ผ้าห่มโดยมีค่า 105,210 ปอนด์
อันดับ 8 คือ การไปท่องเที่ยวมีค่าเท่ากับ 91,769 ปอนด์
อันดับ 9 คือ การอ่านหนังสือ 53,660 ปอนด์

สตีฟ เฮนรี ผู้เขียน 'ยู อาร์ เรียลลี ริช: ยู จัสต์ ดอนท์ โนว์ อิต' ที่มอบหมายให้เบรนจุยเซอร์ทำการสำรวจนี้ บอกว่าหนังสือของเขาเป็นเรื่องราวของระบบมูลค่าใหม่ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับระบบการเงิน "ผลลัพธ์โดยตรงจากวิกฤตสภาพคล่องก็คือ คนเราแสวงหาวิธีใช้ชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม และมองหาบางสิ่งที่จะมาแทนที่เงินในการใช้เป็นเกณฑ์การประเมินค่า"

เดวิด อัลเบิร์ตส์ นักเขียนร่วมของหนังสือดังกล่าวสำทับว่า "คุณอาจพบเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่รวยกว่านายแบงก์ ช่างประปาที่รวยกว่านักการเมือง "เราเริ่มมองสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างแท้จริงในชีวิตของผู้คน และพบว่าชีวิตมีอะไรมากมายกว่าการมัวกังวลกับการรัดเข็มขัดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย "คนพูดถึงเงินกันน้อยลง และหันไปให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกับครอบครัว ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ใช้เวลากับตัวเองเงียบๆ และไปสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนมากขึ้น"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

23 กรกฎาคม 2552

ชีวิตนี้มีแต่สุข


เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

ในยุคนี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของตํานานพูดไปด่าไปอันลือลั่น การที่คนคนหนึ่งซึ่งดูดุดัน ก้าวร้าวจะสามารถบรรจงสร้างงานศิลปะที่อ่อนช้อย งดงามราวเนรมิตได้นั้น มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร เรามารู้จักตัวตนของเขาให้ลึกซึ้งกว่าที่เคยกันดีกว่า

ขอเริ่มด้วยความสําเร็จของอาจารย์ในวันนี้ว่ามีที่มาอย่างไร
มีธรรมะและสติเป็นธงชัยนําชีวิต รู้ตลอดเวลาว่าเรากําลังทําอะไร ไม่หวังจะกอบโกย รักในสิ่งที่ทํา มุ่งมั่นตั้งใจจริง ธรรมะสอนให้มีเป้าหมาย ทําให้เราสามารถดํารงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในโลกนี้อย่างปราศจากทุกข์ เมื่อปราศจากทุกข์แล้ว เราจะมีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รู้จักให้เกียรติผู้อื่น ทําให้เจริญก้าวหน้า ทําอะไรก็สําเร็จ
ทราบมาว่าที่วัดมพนักงานเป็นร้อย แต่ไม่มีปัญหาในการทำงาน อาจารย์มีหลักในการบริหารจัดการอย่างไร
ง่าย! ใจ ต้องเป็นธรรมะมากที่สุด ใจต้องไม่มุ่งหวังให้เป็นของกู ไม่เอาเปรียบผู้อื่น วัดนี้ไม่เคยมีปัญหา ไม่มีใครย้ายไปทำงานที่อื่น ไม่มีใครทอดทิ้งเรา ทุกคนอยู่กันดี ทุกคนต้องอิ่ม ครอบครัวเขาต้องมีความสุข สวัสดิการเขาต้องดี ชีวิตครอบครัวเขาต้องดี ใจที่เป็นเมตตานั่นคือการบริหารที่ดีที่สุด


สวัสดิการมีอะไรบ้าง
ให้ทุกอย่าง ให้โบนัสเหมือนที่อื่น มีเงินให้ยืมฟรีในกรณีฉุกเฉิน ที่นี่เราประชุมกันทุกเดือน หลังจากประชุมเสร็จก็จะถามถึงปัญหาครอบครัว ใครมีปัญหาบอกมา ลูกเรียนหนังสือฟรี รักษาพยาบาลฟรี อยู่ดีกินดี ไม่ต้องเสียค่าน้ำค่าไฟ รักษาโรคทุกอย่าง ตายเผาให้ ที่นี่เลี้ยงจนตายไม่มีเกษียณอายุ แก่ลงก็กวาดใบไม้ไป นี่ตายมา 3 คน แล้ว เราก็เผาให้ ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์เรา ชาวบ้านเราก็ทำให้ ฟรีหมด รถขนศพ อาสนะ ไม่ต้องเสียเงินสักบาท ไม่ว่าใครตาย ไม่ว่ายากดีมีจน เราจ่ายให้ ศพละประมาณสองพันบาท อีกหน่อยเมรุเสร็จ คนงานก็เผาที่นี่เลย เผาฟรี
อาจารย์มีวิธีสอนลูกอย่างไร
กับลูกสอนประจำว่า “จงมีความสุข” ไม่มีคำสอนอะไรที่มากกว่านี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ให้เขาทำทุกอย่างที่เขามีความสุข แต่ไม่ต้องเบียดเบียนใคร

ทุกวันนี้สังคมไทยชอบพอกพูนกิเลสให้แก่ลูก เด็กถูกพ่อแม่ ถูกสังคมยัดกิเลสให้ไม่รู้จักพอ อยากได้ อยากดี อยากเด่น อยากทุกอย่าง แต่เราหยิบยื่นความสุขให้แก่ลูก บอกเขาว่าไม่ต้องเคร่งเครียดในการเรียนมาก ไม่เคี่ยวเข็ญ

ลูก ไม่จำเป็นต้องได้ที่หนึ่ง แต่จงเรียนอย่างมีความสุข ให้ผ่าน ให้รอดพอ ข้างหน้าจะเป็นยังไงลูกไม่ต้องใฝ่ฝัน ไม่ต้องอยากเป็นหมอ ไม่ต้องอยากเป็นอะไรที่คนอื่นเขาอยากเป็น ลูกจงถามใจของตัวเองว่าลูกปรารถนาอะไรที่เป็นความสุข แล้วจงทำสิ่งนั้น ลูกไม่ต้องไปสนใจว่าอาชีพอะไรที่ทำให้ลูกร่ำรวย อย่านึกถึงความร่ำรวย จงนึกถึงความสุขในใจของตัวเอง แล้วจงทำมัน ได้เงินน้อยไม่เป็นไร แต่ความสุขมีค่ามากกว่า จงแสวงหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิตให้มีความสุข แต่ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวยแล้วทุกข์ เสียชาติเกิดแล้วสอนให้เขารู้จักความทุกข์ด้วยหรือเปล่า

แน่นอน เมื่อเขามีความสุขแล้วเราก็จะพูดถึงความทุกข์ทันที จะบอกเขาว่า ขณะนี้ลูกมีความสุข แต่ลูกจะต้องมีความทุกข์ตามมา เป็นต้นว่า ทุกข์เมื่อเสียของรัก ถูกเพื่อนขโมยของ หรือโตขึ้นมามีแฟนแล้วแฟนทิ้ง เมื่อลูกมีความสุข จะพูดถึงความทุกข์ให้ฟังด้วย ไปงานศพต้องพูด ใครตายต้องพูด เพื่อให้เห็นการพลัดพราก ยิ่งเพื่อนตายยิ่งดีเลย เขาจะได้รู้จักว่า ดีเลว สุขทุกข์ คู่กันเสมอ

แล้วตัวอาจารย์เอง สมัยวัยรุ่นเป็นอย่างไร
เราก็บ้าบอคอแตกของเราไป กินเหล้าเมายา เที่ยวสำส่อน แต่โชคดีที่มีธรรมะมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่มนุษย์ต้องเป็นไปตามวัย แต่ว่าเรารู้ตัวตลอด เราบอกตัวเองว่า ต้องการรู้ถึงความเลวเพื่อปล่อยวางในอนาคต

อาจารย์เคยลองเสพยาไหม
ลองทุกอย่าง กัญชา ยากล่อมประสาท อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ไม่ติด เพราะต้องการศึกษา ต้องการเรียนรู้ ไม่ได้หลงใหลไปกับมัน แต่เด็กที่อ่อนแอ ไม่มีธรรมะนั้น

อย่าแตะต้องสิ่งเหล่านี้ เพราะมันไม่มีเป้าหมายอย่างเรา ว่าวันหนึ่งข้างหน้ากูต้องเป็นคนดีคนที่อ่อนแอ พอเสพก็ติดหลงใหลไปเลย แต่เรารู้จักเบรก มีสติ

รู้สึกว่าตัวเองมีธรรมะตั้งแต่เมื่อไร
ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าเรามีธรรมะ แต่ว่ามันถูกสติเบรกตลอดเวลา เช่นเมื่อวันที่เมาที่สุด กลับมาบ้านตอนตีสามตีสี่ น่าจะมีความสุขกับสิ่งที่เสพมาทั้งหมด กินเหล้า มีผู้หญิงสวยๆ คิดดูสิ มันน่าจะมีความสุขใช่ไหม กลับมาบ้านแฮ้ง เมาชิ_หาย นอนเอนหลังอยู่บนเตียง จิตมันถามเลยว่า “ไอ้เหลิม มึงสุขเหรอ มึงสุขจริงเหรอวะ” เมื่อมีคำถาม เราถึงมีความรู้สึกว่า “กู ไม่ได้สุข กูเป็นทุกข์ หนึ่ง กูปวดหัว สอง พรุ่งนี้กูต้องมีปัญหากับผู้หญิงแน่ ต้องมีเรื่องวุ่นวายกับสิ่งที่กูกระทำเมื่อคืนนี้ กูไม่ได้สุขเลย กูหลอกลวงตัวกูเอง” การตอบตัวเองนำไปสู่การเรียนธรรมะ เริ่มจากการอ่านงานเขียนของอาจารย์พุทธทาส “คู่มือมนุษย์

หลังจากเหตุการณ์นั้นเลยรู้ว่า เฮ้ย! ในใจกูมีธรรมะนี่หว่า

ทำไมถึงเลือกศึกษาธรรมะของท่านพุทธทาส
เพราะ เราไม่เชื่อเรื่องไร้สาระ เราเชื่อเรื่องเหตุและผล บังเอิญมีหนังสือ คู่มือมนุษย์ อยู่แล้วที่บ้าน แต่ไม่เคยอ่าน มีหนังสือธรรมะอยู่เต็มบ้าน เมื่อปี 2525 ศึกษา มาหมดนะ ศึกษามโนมยิทธิ ศึกษาพระธรรมกาย ศึกษายุบหนอพองหนอ ศึกษาทุกสาย เพื่อมุ่งหวังไปสู่ไสยศาสตร์ เดิมทีสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ ก็ละวางหมด

อาจารย์เชื่อเรื่องชาติภพไหม
เชื่อมาก และเชื่อว่าธรรมะปฏิบัติในภพชาตินี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่ภพชาติที่ เราปรารถนา ตอนนั้นศึกษาธรรมะของอาจารย์พุทธทาสจนเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็เริ่มด้วยการฆ่ากิเลสในใจตัวเอง คือ ก้าวข้ามกระโดดไปสู่การฆ่ากิเลสในใจตัวเอง ฝึกละกิเลส ตั้งแต่ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความหลง ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่าง มีขั้นตอนไหมว่าต้องเริ่มละกิเลสตัวไหนก่อน เริ่ม จากตัวที่ง่ายที่สุดก่อนเพื่อเป็นกำลังใจ สำหรับตัวเองที่ง่ายที่สุดคือ ฆ่าเรื่องวัตถุ บ้าบอคอแตก ความบ้าเพชร บ้าพลอย ฆ่าวัตถุ นำไปสู่การฆ่าความหลง ความยึดมั่นถือมั่น เหล่านี้ฆ่าก่อน เพราะมันเป็นตัวอ่อนที่สุดของตัวเรา แต่บางทีมันเป็นตัวแข็งที่สุดของคนอื่น

ฝึกตัวเองให้กินเหล้าน้อยลง กินอย่างมีสติ เจอผู้หญิงสวย ชอบ แต่หยุดยั้งตัวเอง ไม่ลามปามไปสู่การเอาเปรียบผู้อื่น บางคนสวยมาก ทนไม่ได้ พาไปกินข้าว กินข้าวแล้วไม่เอา ถึงแม้ผู้หญิงจะให้โอกาสก็ไม่ทำ สติเบรกตลอดเวลา ไม่ทำอะไรที่ล่วงเกินก้าวข้ามไปสู่สิ่งที่ผิดศีลธรรม

ตอนหลังถอดเครื่องเพชร ถอดนาฬิกาแพงๆ ทิ้ง ไม่ซื้ออีก ไม่ปรารถนา ใส่เสื้อม่อฮ่อม ในขณะที่เมื่อก่อนไปออกงานที่ไหนไม่ใส่เครื่องเพชรไม่ได้ ทุกคนยังไม่เชื่อ หาว่าตอแหล เดี๋ยวมันก็กลับมาใส่อีก

สำหรับอาจารย์ กิเลสตัวไหนฆ่ายากที่สุด
ความโกรธ ความโกรธนี่ยากที่สุด อันนี้ฝึกฆ่ามาตลอด จนเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่อยู่วัดมา สี่ปีแรกก็ยังมีความโกรธ มีความไม่พอใจ สติหยุดความโกรธได้ช้า แต่ไม่เหมือนสมัยหนุ่มนะ สมัยหนุ่มเนี่ยโหดเหี้ยมมาก ตัวนี้ยากที่สุด เหลืออยู่ตัวเดียว ทุกวันนี้ก็ พยายามแก้ แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมาก สามปีหลังนี้ดีมาก ไม่เคยโกรธ หรือถ้าโกรธขึ้นมาก็หยุดยั้งได้เร็วกว่า

แต่ก่อนกับคนที่เรารักนี่โกรธไหม โกรธ หมด รักเริกอะไร โกรธหมด ไม่พอใจกูโกรธหมด ตัวนี้ฆ่ามันทุกวัน ฆ่ามันทั้งภายนอกภายใน เมื่อภายนอกเกิดความโกรธ สติต้องกำหนดว่า มึงโกรธแล้ว หยุดความโกรธ คำสั่งจะออก แต่เมื่อก่อนนี้คำสั่งออก ทำเลย ไม่สน กะซวกทันทีเลย

ตอนหลังนั่งสมาธิ ย้อนรอบ ชอบนั่งสมาธิตอนตีสองตีสาม มันจะย้อนให้เราเห็น ภาพอย่างละเอียด ทำไมกูยั้งไม่อยู่ จิตกูทำไมพ่ายแพ้กับมัน จะเห็นภาพชัดมาก เอาละ รอบหน้า เราจะยั้งด้วยวิธีอะไร อย่างนี้เขาเรียกว่าแก้ภายนอกแล้วแก้ภายใน แต่ถ้าไม่แก้ภายใน ภายนอกยังไงก็แก้ไม่ได้

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า ก่อนตายถ้าจิตสุดท้ายคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เคยทำมา แม้จะเคยทำชั่วมาบ้าง แต่ถ้าจิตสุดท้ายกระหวัดไปถึงบุญกุศล ก็จะทำให้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ อาจารย์เชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า

การฝึกวิปัสสนาฆ่ากิเลสของตัวเองก็เพื่อมุ่งไปจิตสุดท้ายนี่แหละ เราจะได้ไม่ต้องไปกระซิบข้างหูคนที่กำลังจะตายให้คิดถึงวัด คิดถึงบุญกุศล เพราะเอาเข้าจริงมันคิดไม่ได้หรอก ตัวกิเลสมันมีอำนาจมากกว่า ความหวงผัว หวงทรัพย์สมบัติ ความกลัวตายมันมากกว่า กูจะตายจริงเหรอ โอ๊ย! กู ไม่อยากตาย กูไม่อยากตาย หลานกูยังเล็กอยู่ ผัวกูมันต้องไปมีเมียน้อยแน่ สมบัติที่ซ่อนไว้ยังไม่ได้บอกใคร อยากจะพูด อยากจะบอกสารพัด คิดเหรอว่าความคิดที่เพิ่งไปทำบุญมาสามร้อยห้าสิบบาทมันจะแวบขึ้นมา ไม่มีทาง

ดังนั้นต้องฝึกเพื่อที่ว่าก่อนตายจะได้คิดเรื่องดีๆ หรือไม่คิดเลย ซึ่งสุดยอด ต้องฝึกให้ไปสู่จุดนั้น

พูดถึงสุขภาพอาจารย์บ้าง เป็นอย่างไร ตรวจเช็คบ้างหรือเปล่า
ไม่ต้องเช็ค คนที่มีธรรมะแล้วเขาไม่อยากอยู่ในโลกนี้หรอก สำหรับตัวเองเมื่อป่วย บอกคนใกล้ชิดไว้แล้วว่าอย่าเป็นกังวล จงปล่อยให้ตายอย่าเอาหน้ากากมายัด อย่าเอาสายระโยงระยางมายัด จะทำอาการสำรวมสงบแล้วตาย จะเข้าสมาธิให้อยู่ในความว่างแล้วตาย ถ้าร่างกายไม่ดีเมื่อไหร่ จะเข้าสมาธิ พักผ่อน ไม่กินยา ก็หายทุกที ยกเว้นโรคอย่างมะเร็ง อัมพาต หรืออะไรที่สูงๆ นี่เป็นกรรม ต้องยอมรับด้วยความเบิกบาน ถือเป็นการชดใช้กันไป เมื่อป่วยก็จะเป็นสุข

ได้ยินว่าอาจารย์เคยมีปัญหาสุขภาพถึงขนาดจะสร้างวัดไม่สำเร็จจนต้องตั้งจิตอธิษฐาน
เป็นกระดูกทับเส้นประสาท เดี้ยง ชาทั้งตัว ปวด ทำงานไม่ได้ ตอนนั้นสร้างวัดมาได้ สักสามปี เดี้ยงหมดเลย นอนเจ็บทรมาน ไปหาหมอ หมอก็บอกต้องผ่าคอ ชาไปข้างหนึ่งแล้วเจ็บปวดทั้งตัว ปวดแขนร้าวลงมา คอก็ยกไม่ขึ้น นอนได้ท่าเดียวตลอด ต้องใส่ปลอกคอ

แต่ว่าเราเป็นคนที่เชื่อเรื่องกรรม เชื่อว่า เฮ้ย! เป็น เรื่องส่วนตัวของกู ถ้ามีกรรมทำให้ไม่สามารถสร้างวัดได้ จงเป็น แล้วตายไป หรือเป็นอัมพาตเดี้ยงไปเลย แต่ถ้าบุญกูยังมีอยู่ กูต้องชนะ กูต้องรอด เลือกเลย ยินดีทั้งสองทาง ยินดีในบุญ ยินดีในกรรม ยินดีในทุกข์ที่เกิดขึ้น ยินดีในสุขที่เกิดขึ้น ยินดีทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน เสร็จแล้วกลับมาวัด เข้าสมาธิ อดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดของตัวเองอยู่สามเดือน เอาชนะความเจ็บปวดทุกอย่างด้วยตัวเราเอง จนกระทั่งหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ไปหาหมอ ไปหาหมอ หมอจะผ่า หมอจะจัดการทุกอย่างตามระบบของแพทย์ แต่เราก็หลอกหมอว่า ขอกลับบ้านมาคิดดูก่อน เชื่อว่ามันเป็นสภาวะของกรรมซึ่งเข้ามาทดสอบใจเรา รู้เลยว่านี่เป็นเรื่องระหว่างกูกับกรรมเก่า ไม่เกี่ยวกับหมอ ไม่เกี่ยวกับใคร

ตอนนั้นกลัวไหมว่าจะสร้างวัดไม่เสร็จ
ไม่ สร้างได้ เรื่องทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ถ้าเราเชื่อในตัวเราเชื่อว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ชีวิตเราจะมีแต่ความสุข โคตรความสุข เราจะมองว่าสรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลกล้วนกระจอกงอกง่อย ไร้สาระ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร โลกมนุษย์นี้กูเดินทางมาแค่แวบเดียว เพื่อมาดูมันแล้วกูก็จะไป มันไม่มีค่าอะไรเลยสักอย่าง ป่วยก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยว เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์กูก็ยินดี กูจะนั่งรถเข็นด้วยใจที่เบิกบาน บอกเมียเตรียมรถเข็นไว้เลย ไม่ต้องห่วง ถ้าเดี้ยงก็จะบอกลูกศิษย์ลูกหาให้เข็นมาดูวัด แล้วกูสั่งการมึง กูนั่งรถเข็น กูเดี้ยงข้างหนึ่ง ถึงปากกูเบี้ยวหน้ากูยังยิ้ม (ทำท่าประกอบสมจริงมาก) กูก็ยังมีความสุข แล้วกูก็ป่วยไปเรื่อยๆ แล้วกูก็ตาย จบที่สุดของวิบากกรรม ไม่เห็นเป็นไรเลย วัดนี่สร้างได้อยู่ดี

แล้วอาจารย์หายได้อย่างไร
นั่งสมาธิอย่างเดียว นั่งมากที่สุด เป็นความว่างอย่างเดียว ดับสมอง ดับทุกอย่าง แล้วก็จี้ไปตรงความเจ็บปวด จนกระทั่งไร้ความเจ็บปวด เวลาออกสมาธิกลับมาปวดอย่างเดิม ก็ไม่เป็นไร ไม่สน ไม่ไปจ้องที่ความเจ็บปวด ไม่ไปคิดว่า “ทำไมกูถึงมีกรรมขนาดนี้” ทนรับกรรมด้วยความเบิกบาน ไม่หดหู่ใจ ไม่เศร้าหมอง ไม่เสียใจ ไม่รู้สึกรำคาญ ไม่ อยากฆ่าตัวตาย พอเรายินดีเบิกบานในความเจ็บปวด ความเจ็บปวดนั้นก็เบาลง จำไว้ว่า คนที่สุขจริงคือสุขได้แม้กายเป็นทุกข์ สองสิ่งนี้คู่กันเสมอ ฉะนั้น จงยินดีรับทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เท่ากับยินดีในสุขที่เกิดขึ้น ในการสร้างวัดร่องขุ่น คนพูดกันว่ามีปาฏิหาริย์หรือมีเทวดามาช่วย อาจารย์รู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า อย่าไปสนใจ ไร้สาระ บุญถึงมันก็สร้างได้ บุญคืออะไร คือธรรมะในใจของตัวเราเอง คือมีความเมตตา นำไปสู่ความสำเร็จทุกอย่าง ประหนึ่งเทวดามาดูแลปกปักรักษา มาคุ้มครองคุ้มภัย มนุษย์ถ้าสร้างบุญมาก ทำอะไรก็สำเร็จง่ายดาย

จุดประสงค์ที่อาจารย์สร้างวัดร่องขุ่น
แท้จริงแล้วคืออะไร ภายนอกเป็นเรื่องของรูปธรรม ว่าสร้างเพื่อค้ำจุนศาสนา เพื่อที่จะมอบให้แก่ชาติบ้านเมือง และเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นศิลปะสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ไม่ ลอกเลียนใคร เป็นความกตัญญูในบ้านเกิด ต้องการให้เกิดประโยชน์ในแง่ของเศรษฐกิจ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ระดับโลก ส่วนภายในเป็นเรื่องนามธรรม เพื่อเป็นสัมภาระในการเดินทางของจิตวิญญาณไปสู่สภาวะแห่งการไม่กลับมาเกิด

สมมุติถ้าเกิดอะไรขึ้นกับวัด อาจารย์ทำใจได้หรือ
ศึกษาธรรมะมาขนาดนี้ จะไปยึดมั่นอะไรเล่า สร้างก็สร้างไป ตายก็ตายไป ก็บอกแล้วว่าความตายก็ไม่สนใจ จะสนใจวัตถุพวกนี้ได้ไง มันไม่มีค่าอะไร ค่าเหล่านี้มันเป็นค่าจากการปรุงแต่งของมนุษย์ตัวอื่น ไม่ใช่สัตว์อย่างกู ช่วยเขียนไปด้วย มนุษย์ตัวอื่นมันยินดี มันยึดติดถือมั่น แต่คน อย่างเราไม่ใช่ เราสร้างเพื่อปล่อยวาง สร้างเพื่อฆ่ากิเลสของตัวเอง สร้างเพื่อเป็นสารประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติที่มันยังยึดติดและหลงใหลในสิ่งนี้อยู่

จากจุดนี้แล้วอาจารย์ตั้งใจจะทำอะไรต่อคะ
สร้างความเมตตาให้แก่กล้า หยิบยื่นทุกอย่างให้แก่ประชาชน ประเทศชาติ และศาสนา จะทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์คนอื่นจนลมหายใจสุดท้าย เมตตาคือสิ่งที่สูงที่สุดของบุญบารมี นี่คือการสร้างบุญบารมีในรอบสุดท้ายของตัวเอง

ว่าไปแล้วก็เป็นการทำเพื่อหลุดพ้นของตัวเอง แปลว่ายังมีตัณหาใช่หรือไม่
ใช่ สิ ต้องเข้าใจว่าตัณหาของมนุษย์มีทั้งฝ่ายดีแหละฝ่ายเลว ฝ่ายดีต้องมีความทะเยอทะยาน มุ่งไปสู่ความหลุดพ้น ถ้าไม่มีตัณหา จะพยายามเหรอ ทุกอย่างมันต้องมีตัณหาหมด เขาเรียกว่าตัณหาฝ่ายดี ก่อนหลุดพ้นต้องมีตัณหาทั้งนั้น ตัณหาในที่นี้คือมีความอยากที่จะหลุดพ้น คนไม่มีความมุ่งมั่น ไม่อยาก มันจะเป็นอะไรได้ ไม่งั้นจะมีศาสดามาได้ไง จะมีผู้หลุดพ้นมาได้ไง

การเป็นมนุษย์มันดีตรงนี้ สัตว์มันไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีแรงทะเยอทะยาน การเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นการพัฒนาธรรมะของตัวเอง พัฒนาภพชาติของตัวเอง การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นโชคดีที่สุด เพราะมนุษย์มีความทะเยอทะยาน มีเป้าหมาย

บั้นปลายชีวิตอาจารย์คิดจะบวชไหม
ไม่ต้องการบวช เพราะเชื่อว่าไม่ต้องบวชก็สามารถละภพชาติได้ เราบวชภายใน ไม่ต้องบวชภายนอก เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ช่วยเหลือ เมตตา ไม่ เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดอย่างมีคุณธรรม คำถามสุดท้าย อาจารย์คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะหรือเปล่า ไม่เลย อัจฉริยะเป็นเพียงคำจำกัดความของคนที่เหนือกว่าผู้อื่น เราไม่ได้เหนือกว่าผู้อื่น เรามองค่าของใจมากกว่าวัตถุ ไม่มองวัตถุเหนือใจ คนอาจมองว่าเราเหนือกว่าคนอื่นในเรื่องวัตถุ แต่เรากลับเห็นว่าตัวเองกระจอก ไม่มีค่าเลย ใจของเราที่ต่อสู้มา ที่ฝึกฝนมานั้นสำคัญกว่า วัตถุเดี๋ยวนี้ผุพังไปตามกาลเวลา มันไม่คนทน ไม่ได้งดงามอย่างนี้ไปตลอด สุดท้ายมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่เที่ยง แต่สิ่งสำคัญคือใจเรา ดังนั้นใครจะบอกเป็นอัจฉริยะอะไร ไม่สนใจ ไม่เคยเย่อหยิ่งทรนงว่าพิเศษเหนือกว่าคนอื่น
สิ่งเดียวที่พิเศษกว่าคือ “กูไม่มีทุกข์”
ที่มา : fwd

22 กรกฎาคม 2552

This is love...


You know, love is just like someone waiting for a bus.
คุณรู้ไหม ความรักมันก็เหมือนกับการรอรถเมล์

when the bus comes, you look at it and you said to yourself.
เมื่อรถเมล์มา คุณมองไปที่มัน และบ่นกับตัวเองว่า

"eee....so full....cannot sit down one". "
อี๋... คนเพียบเลย ไม่มีที่นั่งด้วย"

so you said to yourself, "i'll wait for the next one".
และคุณก็พูดกับตัวเองว่า "ฉันรอคันต่อไปดีกว่า"

"so you let the bus go and waited for the second bus.
และคุณก็ปล่อยให้รถเมล์คันนั้นผ่านคุณไปแล้วรอรถเมล์คันที่ 2

then the second bus came, you looked at it and you said,
เมื่อรถคันที่ 2นั้นมา คุณมองไปที่รถเมล์นั่นแล้วบ่นว่า

"eee...this bus so old..surely very uncomfortable one." "
อี๋... รถเก๊าเก่า มันต้องนั่งไม่สบายแน่เลย"

so you let the bus go and again, decided to wait for the next bus.
แล้วคุณก็ปล่อยให้รถเมล์คันนั้นผ่านไปอีกครั้ง และตัดสินใจที่จะรอรถเมล์คันต่อไป

after a while another bus came,
และแล้วรถเมล์อีกคันก็มาถึง

it's not crowded, not old but you said,
คราวนี้มัน คนไม่เยอะ และรถก็ไม่เก่าแต่คุณก็ยังบ่นอีกว่า

"eee..no air-con one..and the weather is so warm,better wait for the next one" "
อี๋... แอร์ก็ไม่มี ตอนนี้อากาศร้อนจะตาย รอรถคันใหม่ดีกว่า"

so again you let the bus go and decided to wait for the next bus.
อีกครั้งหนึ่งที่คุณปล่อยให้รถเมล์ ผ่านคุณไป และตัดสินใจที่จะรอรถอีกคัน

then the sky started to get dark as it is getting late.
ท้องฟ้าชักเริ่มครึ้มๆ และก็มันก็เริ่มสายแล้ว

you panicked and jump on to the next on coming bus.
คุณชักเริ่มกระวนกระวายในการรอรถเมล์

it is not until much later that you found out
จนแล้วจนรอดรถเมล์ก็ยังไม่สักที

that you had boarded on to the wrong bus!
นั่นแหล่ะคุณจึงเริ่มรู้แล้วว่าคิดผิดที่ไม่ขึ้นรถคันก่อนหน้านี้...

so you wasted your time and money waiting for what you want!
คล้ายๆกับคุณยอมที่จะเสียเงินและเวลา เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

even if an airson bus came, can you ensure that the aircon bus
ถ้าหากว่าคุณคิดว่ารถเมล์ธรรมดาที่ผ่านมาเป็นรถแอร์ไม่ได้เหรอไง

won't break down or whether will the aircon be too cold for you?
แอร์อาจจะเสีย หรือไม่ก็คิดว่ามันเป็นแอร์ที่เย็นพอสำหรับคุณ

so people wanting to get what you want is not wrong.
การที่คนมากมาย ต้องการที่จะได้อย่างที่เราต้องการมันไม่ผิดหรอก

but it wouldn't hurt to give other people a chance right?
แต่คุณจะไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ที่คุณหยิบยื่นโอกาสที่ตัวเองควรจะได้ให้คนอื่นไป

if you found that the "bus" doesn't suit you,
ถ้าหากว่าคุณเจอรถเมล์คันนั้น คันที่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณต้องการ

just press the redbutton and get off the bus.
ก็เพียงแค่ กดปุ่มเรียกรถเมล์(โบกรถ) แล้วขึ้นรถเมล์ เท่านั้นก็จบ

but wait...i'm sure you have this experience before.
แต่เดี๋ยวก่อน ผมแน่ใจเลย ว่าคุณต้องเคยเจออย่างนี้มาก่อน

you saw a bus coming (th e bus you want of course)
คุณเห็นรถเมล์กำลังวิ่งมา (แน่นอนว่ามันเป็นรถเมล์คันที่คุณต้องการ)

you flagged it but the driver act blur
คุณโบกมือเรียกให้รถหยุด แต่คนขับดันเบลอ

by pretending not seeing you and zoomed pass you!
ไม่เห็นว่าคุณโบกมือ แล้วรถคันนั้น .... รถคันนั้นที่คุณรอมาตั้งนานก็ผ่านคุณไปต่อหน้าต่อตา

well, and when the bus zoomed pass, what you may have to do is WALK!!!!
ดีแล้ว เมื่อรถเมล์ที่คุณต้องการผ่านไปแล้ว สิ่งที่คุณต้องทำคราวนี้คือการเดิน

the bottom line is being loved is like waiting for a bus whether you want.
มันก็คล้ายกับชีวิตรักของเราๆ เหมือนกับที่เรารอรถที่เราต้องการ

to get on the bus and give the bus a chance depends totally on you.
เพียงแค่ขึ้นไปบนรถ ให้โอกาสรถนั้นได้โอบอุ้มความรักคุณไว้

and walking is like being out of love.
และการที่ คุณเดินนั้นแหล่ะที่คุณปล่อยให้ความรักหลุดลอยไป

you never lose by loving.
คุณจะไม่มีวันเสียอะไรถ้าคุณคิดจะรัก

you always lose by holding back.
แต่ถ้าคุณไม่ดึงรักที่ผ่านเข้ามาไว้ คุณก็จะเสียโอกาสที่คุณควรจะมี.
--------------------------------------------------------------------------------
อย่า!.. อย่าปล่อยให้คนที่เข้ามา "หลงชอบคุณ" แต่เขาเป็นคนที่คุณไม่สนใจ ไม่ใช่คนที่คุณต้องการ
อาจจะไม่สวย ไม่หล่อไม่ใช่สเป็กคุณ แล้วปล่อยให้เขาผ่านไป หรือจากคุณไป.. เมื่อเขาออกไปจากชีวิตคุณ คุณอาจจะเพิ่งเริ่มรู้สึกก็ได้ว่า.. เขามีความสำคัญต่อคุณแค่ไหนและในตอนนั้น คุณอาจจะไม่มีโอกาส ที่จะดึงเขากลับมาอีกแล้ว....
ที่มา : teenee.com

21 กรกฎาคม 2552

ข้อคิดดี ๆ เพื่อครอบครัว

** การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ**

1. ข้อสำคัญของการเลือกคู่ คือ เราไม่ได้เลือกใครเพราะเขาสมบูรณ์แบบ แต่เพราะเขามีจุดดีหลัก ๆ ที่เราประทับใจ ส่วนจุดอ่อนด้อยนั้นเป็นส่วนปลีกย่อยที่เราสามารถยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็น
2. ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์แบบ ถ้าเรามองไม่เห็นจุดอ่อนด้อยของเขาเลย นั่นแสดงว่า เรายังไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง หรือไม่ เราก็กำลังตกอยู่ในความหลงใหล ..จนไม่ลืมหูลืมตา

3. การแต่งงาน คือ การผูกพันกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพียงร่างกายและยิ่งไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เชิงธุรกิจ

4. คนที่แต่งงานเพราะความเหงา จะยิ่งเหงาหนักเป็น 2 เท่า แต่งงานแบบคลุมถุงชน ก็มีแนวโน้มว่า ชีวิตจะมืดมนไปอีกนาน

5. ความสุข ความทุกข์ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ชีวิตหลังแต่งงาน คิดให้ดีก่อนที่จะเลือกใคร มาเป็นคู่ชีวิต…

6. บ้านจะเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญ แต่ “ความรัก” ต้องใหญ่ที่สุดในบ้าน

7. คำว่า “รัก” พูดมากไป ย่อมดีกว่า พูดน้อยไป…

8. เมื่อเรา ทำผิด….จง “ขอโทษ” เมื่อเขา ทำผิด ….จง “ให้อภัย”

9. ชีวิตแต่งงาน คือ ชีวิตแห่งการปรับตัว ถ้าไม่คิดจะปรับตัวเข้าหาใคร อยู่เป็นโสดไป ก็ดีกว่า…

10. ยอมเป็นผู้แพ้ ดีกว่า เป็นผู้ชนะที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากชีวิตสมรสที่หักพัง…

11. “แก้ตัว” …. ช่วยอะไรไม่ได้ “แก้ไข” …….ช่วยได้ทุกอย่าง…

12. เมื่อมีปัญหาในครอบครัว อย่าลืมใช้ความรักและหลักเหตุผลเป็นกรรมการตัดสิน ไม่ใช้ อารมณ์ หรืออาวุธ..

13. งอนแต่พองาม…ก็งามดี แต่งอนเกินพอดี ก็เกินงาม…

14. ต่างคนต่างแข็ง ไม่มีใครยอมอ่อนข้อต่อกัน…บ้าน…ก็คงไม่ต่างอะไรกับสนามรบ

15. เมื่อสามีอ่อนแอ ไม่รับบทบาทผู้นำ ความสับสนวุ่นวาย ก็ตามมา หรือเมื่อภรรยา พยายามแย่งบทบาทการนำจากสามี ชีวิตครอบครัวก็รอดยาก

16. ความไม่ซื่อสัตย์ ต่อกันเพียงครั้งเดียว ก็อาจสั่นคลอนความไว้วางใจที่มีให้กันได้ ท้ายที่สุด ชีวิตคู่ก็จบลงด้วยความแตกร้าว ยากเยียวยา

17. ความเห็นแก่ตัว สนใจแต่ปัญหา อารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจของตัวเองชีวิตคู่ ก็อยู่ด้วยกันยาก
18. ก่อหนี้สินจนล้นพ้นตัว ครอบครัวก็มีแต่ความตึงเครียดทุกเช้าเย็น

19. เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายเรียกร้องและคาดหวังจากกันและกันมากเกินพอดี ปัญหาก็จะมีเรื่อยไป…ไม่สิ้นสุด

20. ควรตระหนักว่า…ภรรยา ไม่ใช่ผู้ปรนนิบัติรับใช้สามี แท้จริงแล้ว สามีภรรยา ควรเอาใจใส่ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุด…ย่อมดีกว่า

21. ไม่มีอะไร ทำให้ภรรยาปวดร้าวใจ มากเท่าการค้นพบว่า สามีมีหญิงอื่นในหัวใจ (กลับกันถ้าสามีพบว่าภรรยามีคนอื่นอยู่ในใจ สามีก็ปวดร้าวใจเช่นกัน)

22. รักเดียว …ใจเดียว ไม่ใช่เรื่องเชย แต่เป็นเรื่องดีที่สามีทุกคนในโลกควรกระทำ

23. การขอโทษภรรยาเมื่อทำผิด ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี แต่เป็นศักดิ์ศรีของสามี…ที่แท้จริง (ภรรยาก็ต้องรู้จักขอโทษสามีเช่นกัน ไม่มีคำว่าศักดิ์ศรีหรอกเมื่อคุนผิด)

24. ไม่ควรมองว่า งานดูแลบ้าน เป็นความรับผิดชอบของภรรยา สามีควรมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระอย่างสุดความสามารถเสมอ

25. สรีระรูปร่างหน้าตา ที่เปลี่ยนไปของภรรยา ไม่ควรเป็นเหตุให้ความรักในหัวใจของสามีจืดจางลงแม้แต่น้อย (สารีระของสามีก็เช่นกัน)

26. ควรระลึกอยู่เสมอว่า …การนำครอบครัวนั้น คือ การนำโดยเห็นผลประโยชน์ของครอบครัวเป็นหลักไม่ใช่ เพื่อความสุข ความพึงพอใจของตนเอง

27. ภรรยาที่ดี ควรสนับสนุนสามีให้ก้าวไกลในชีวิต ไม่ใช่ดึงรั้งให้หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลัง (สามีก็เช่นกัน ควรสนับสนุนภรรยาให้เจริก้าวหน้าในชีวิต ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน)

28. ภรรยาที่ดี ไม่ควรใช้วิธีการบับบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้สามีตัดสินใจตามความคิดของตน (สามีที่ดีก็เช่นกันอย่าไปบังคับ)

29. ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน สามี/ภรรยา ต้องการภรรยา/สามี ที่สงบนิ่ง ช่วยกันคิดหาทางออก ไม่ใช่ภรรยาที่เอาแต่โวยวาย ตีโพย ตีพายหรือร้องไห้ฟูมฟาย โดยปล่อยให้เขาต้องแบกภาระหนักอึ้งเพียงลำพัง

30. การไม่ตีลูก เพราะกลัวลูกเจ็บ เมื่อยังเป็นเด็ก กลับจะทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างปัญหา และถูกลงโทษ… จากสังคม (ตีได้ แต่ต้องมีเหตุผล คุยกับเค้าก่อนที่จะตีว่าเค้าผิดหรือไม่ บางครั้งการมองเห็นเหตุตอนปลาย อาจไม่ใช่บทสรุปก็ได้)

31. ช่องว่างระหว่างวัย…ระหว่างรุ่น…ย่อมไม่มี ถ้าพ่อแม่ตระหนักถึงความสำคัญ และใช้ความพยายามที่มากพอ วิธีที่ดีที่สุด คือ พ่อแม่ควรวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับลูก ไม่ใช่ตามแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว

32. พึงตระหนักว่า ลูกไม่ใช่ดินน้ำมัน ที่พ่อแม่ อยากจะปั้นให้เขาเป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เขาย่อมมีจิตใจที่มีเอกลักษณ์แห่งความชอบ ความสนใจที่แตกต่างไปจากพ่อแม่ได้เสมอ
ที่มา : fwd

20 กรกฎาคม 2552

สูตรแห่งความสุขแบบที่ 3(ทัศนคติ)

...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ

๒. จงหาอะไรดี ๆให้คนอื่นทุกวัน

๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ

๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า คนที่เราร่วมงานด้วย....get up, dress up and show up.

๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ....ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

ที่มา : fwd

สูตรแห่งความสุขแบบที่ 1(สุขภาพ)

...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้


๑. ดื่มน้ำให้มาก

๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆตอนเที่ยง และตกเย็นแล้วทำตัวเป็นยาจก ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)

๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ
- energy หรือพลังงาน
- enthusiasmหรือกระตือตือร้น
- empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

ที่มา : fwd

สูตรแห่งความสุขแบบที่ 2 (บุคลิก)

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ
๑.อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น
คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒.อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้
แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓.อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้
...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก
เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ
....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖.จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗.ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ม ๆ
...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย
และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร
...จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น,
จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน
คุณมาเพื่อเรียนรู้และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓.จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔.คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก

ที่มา : fwd

18 กรกฎาคม 2552

รวมเด็ด เกร็ดชีวิต

^_^ ..

เกร็ดที่ 1 ... เจ็ดทะเลาะ
ทะเลาะกับเมีย เพลียที่สุด
ทะเลาะกับผัว ปวดหัวที่สุด
ทะเลาะกับแฟน แค้นใจที่สุด
ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน รำคาญที่สุด
ทะเลาะกับผู้ร่วมประชุม กลุ้มที่สุด
ทะเลาะกับลูกน้อง มัวหมองที่สุด
ทะเลาะกับนาย ฉิบหายที่สุด
เกร็ดที่ 2 ... ความสุขตามกาลเวลา

- อยากมีความสุข 3 ชั่วโมง ให้ตั้งวงดื่มเหล้า/เม้าท์
- อยากมีความสุข 3 วัน ให้ใส่เสื้อใหม่
- อยากมีความสุข 3 เดือน ให้มีแฟนใหม่
- อยากมีความสุข 3 ปี ให้ปลูกบ้านใหม่
- อยากมีความสุขตลอดไป *ให้รักษาสุขภาพ*

เกร็ดที่ 3 ... จงจำไว้

- ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด คือ *ตัวเราเอง*
- ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุด คือ *สุขภาพที่ดีทั้งใจและกาย*
- ของขวัญที่มีค่ามากที่สุด คือ *การให้อภัย*
- สิ่งที่น่าสังเวชมากที่สุด คือ *ความถดถอย*
- การกระทำที่โง่เขลาที่สุด คือ *การติดยาเสพติด*
- สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุด คือ *การหลอกตัวเอง*

เกร็ดที่ 4 ... โอวาท ท่านพุทธทาส *

"ก็ขัดแย้งกันบ้างในบางครั้ง ก็ชิงชังกันบ้างเป็นบางหนก็เจ็บปวดกันบ้างเป็นบางคน ต้องสู้ทนรู้รักสามัคคีด้วยไม่มีที่ใดไร้ปัญหา จึงอุตส่าห์ทนสู้อยู่ที่นี่ ต้องยึดถือคุณธรรมนำชีวี จึงต้องมีความจริงใจให้แก่กัน"

* เกร็ดที่ 5 ... การทำงาน (จาก ดร.ไชย ณ พล)

*คนโง่* ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆของงาน
*คนฉลาด* ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และ ได้เงินมาโดยง่าย
*คนเจ้าปัญญา* ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงแลมิตรมหาศาล ย่อมตามมาเสมอ

เกร็ดที่ 6 ... เตือนตน

ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด

ใครชู ใครเชิด ช่างเขา

ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา

ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

เกร็ดที่ 7 ... คาถา 3 ช

1. ชอบ - ทำให้เขาชอบก่อน รักเขาให้มากๆ/รักกันๆ

2. เชื่อ - เมื่อเขาชอบเรา เขาจะเชื่อเรา/ทำดีทำถูก

3. ช่วย - ช่วยเขาก่อนแล้ว เขาจะช่วยเราทำงาน หรือเมื่อเขาชอบเราเขาเชื่อเรา / เขาจะช่วยเราเองอัตโนมัติ

ทำงาน 20% ได้ผลงาน 80% ตามกฎพาเรโต

เกร็ดที่ 8 .. สันดานเดิมอันเป็นชั่วร้าย (พระพิพิธธรรมสุนทร)

เร็วก็หาว่าล้ำหน้า ช้าก็หาว่าอืดอาดโง่ก็ถูกตวาด

ที่มา : fwd

16 กรกฎาคม 2552

10 วิธีดูแลสมอง


เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปไกลมาก วิวัฒนาการใหม่ๆ เข้ามามีส่วนช่วยให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น แต่การที่คนเราสะดวกสบายมากขึ้น ก็ทำให้ใช้สมองน้อยลงและพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น แต่สมองนั้นเหมือนมีดที่ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งไม่ได้ใช้ยิ่งทื่อ สุขภาพกายฉบับนี้จึงมีวิธีดูแลสมองของเราให้พัฒนาอยู่ตลอดเวลามาฝากกัน

1. กินเพื่อสมองดี
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้งๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด

2. คิดเพื่อสมองดี
ลองสังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อๆ หรือเจอเรื่องแย่ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็ลืมมันซะ
3. พักผ่อนหันหาอากาศบริสุทธิ์
การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมากๆ และเรื่องราวความเครียดต่างๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบายๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง

4. เรียนรู้สิ่งใหม่
การพัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อยๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549)

5. เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด
การเขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย

6. ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้
เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดีๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย

7. หายใจช่วยให้สมองใส
การหายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้าๆ ลึกๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม

8. เข้านอนแต่หัวค่ำ
ภายในร่ายกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

9. นั่นสมาธิ จิตมีพลัง
การนั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุดๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์

10. เสริมวัตามิน กินไขมันดี
กินไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่นๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า
ขอขอบคุณ : Mix Magazine

13 กรกฎาคม 2552

ปริญญา 2 ใบของไมเคิล แจ็คสัน

"ไมเคิล แจ็กสัน" ราชาเพลงป๊อปของโลกจากไปพร้อมกับความเสียใจของแฟนเพลงมากมายทั่วโลก
มีรายงานข่าวบางกระแสระบุอีกว่า มีคนฆ่าตัวตายตามเขาไปแล้ว 12 คน บทสัมภาษณ์ของแฟนเพลงหลายคนที่เป็นชาวต่างชาติพูดถึงเขาในลักษณะรับไม่ได้กับการจากไปในลักษณะ “ก่อนเวลาอันควร” ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ปุถุชนจะรู้สึกเช่นนั้น แต่ในมุมมองของพุทธศาสนา การจากไปของไมเคิล แจ็กสัน ไม่ใช่วันเวลาของความโศกเศร้า หรือร่ำหาอาลัยไม่จบสิ้น แต่ควรเป็นวันเวลาของการเรียนรู้สัจธรรมของชีวิต

ชีวิตของไมเคิล ควรให้คุณค่าแก่เราผู้ยังอยู่มากไปกว่าการเที่ยวตามสะสมผลงาน หนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึก เสื้อผ้า ที่เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งไม่มีคุณค่าแท้แต่อย่างใด เพราะสิ่งของเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมคลายมนต์ขลังลงไป ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางใดๆ ขึ้นมาแก่ชีวิตของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นเพียง “รอยอาลัย” เล็กๆ น้อยๆ ที่จะค่อยๆ เลือนหายไปกับกาลเวลาเท่านั้นเอง

ที่ถูกนั้นเราควรได้ประโยชน์จากมรณกรรมของเขาในทางจิตใจ หรือในทางสติปัญญามากกว่าทางวัตถุ โดยเราควรถือว่า “หนึ่งคนตาย เพื่อให้ล้านคนตื่น”
การตายของไมเคิล แจ็กสัน ควรทำให้เราตื่นในหลายประเด็นด้วยกัน

ประการที่หนึ่ง
รำลึกถึงด้านที่งดงามของตัวเขา เช่น การที่เขาเป็น “อัจฉริยศิลปิน” ซึ่งคนอย่างนี้ร้อยปีจึงจะมีสักคนหนึ่ง เมื่อมองในแง่ดี ไมเคิล แจ็กสัน จึงนับเป็น “มงกุฎแห่งดนตรีกาล” ที่เป็นเกียรติยศแก่ประชาคมโลก เป็นเกียรติแก่เราทุกคนที่ได้ดำรงชีวิตอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับเขา ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง

ประการที่สอง
รำลึกถึงแบบอย่างแห่งการมีจิตสำนึกสากลในการร่วมรับผิดชอบต่อชะตากรรมของมนุษยชาติอันงดงามที่เขารังสรรค์ “ประดับไว้ในโลกา” ให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักว่า ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตอันแสนรุ่งโรจน์ของเขานั้น เขาก็ได้เคยทำสิ่งดีๆ ที่มีคุณูปการแก่มนุษยชาติอย่างน่าสรรเสริญควรเจริญรอยตามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ เขาได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงร่วมกับเครือข่ายคนดนตรีอีกหลายคนรังสรรค์บทเพลงพิเศษที่ชื่อ “We are the world” อันแสนไพเราะเพื่อหาทุนช่วยเหลือเด็กในทวีปแอฟริกา และเพลงต่อมาของเขาอีกเพลงหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึง “ความรักต่อมนุษยชาติ” อย่างสูงยิ่งที่เขาบรรจงขับขานฝากไว้ในยุคสมัยของเรา เพื่อสร้างกระแสแห่งการตื่นรู้ร่วมกันของชาวโลกให้หันกลับมาร่วมกันยุติสงครามที่ระอุอยู่ทั่วทุกมุมโลก นั่นก็คือเพลง “Heal the world”

บทเพลงแห่งการุณยธรรมทั้งสองเพลงนี้ ได้รับการขับขานอย่างกึกก้องทั้งในยามที่เขายังคงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์เหมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ และถูกขับขานต่อมาอย่างไม่เสื่อมคลายนับครั้งไม่ถ้วนในงานต่างๆ มากมายที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกสากลของผู้คนในระดับโลกให้ตระหนักรู้ว่า โลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน และสงครามไม่ใช่สิ่งอันพึงประสงค์ในทุกกรณี ไมเคิล คือ บุคคลตัวอย่างคนหนึ่งที่รู้จักใช้ “ความดัง” ของตัวเองมาสร้าง “ความเด่น” ในทางดีงามเพื่อเกื้อกูลสังคมและมนุษยชาติ ในลักษณะ “ยืมแสงดาวมาสกาวแสงธรรม” ได้อย่างน่ายกย่องยิ่งนัก
โลกนี้มีคนดังมากมายที่ใช้ความดังของตัวเองต่อยอดไปหาผลประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว โดยไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมแม้แต่น้อย ทว่าสำหรับไมเคิลแล้ว เขาไม่เคยหลงลืมความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกของเขา และเขาแสดงออกซึ่งจิตสำนึกด้านนี้ด้วยศักยภาพด้านดนตรีของเขาให้เราได้เห็นประจักษ์มาแล้ว

ประการที่สาม
ใครๆ มักพูดถึงไมเคิลว่า เขาเป็นอัจฉริยศิลปิน ที่มีเยาวภาพในหัวใจสูงมาก เสียงร้องของเขานั้นสดใส กังวานดังหนึ่งเสียงระฆังเงิน ทั้งยังมีมนต์เสน่ห์เหมือนหนึ่งจะสะกดให้คนทั้งโลกต้องเงี่ยโสตลงสดับอย่างไม่มีทางขัดขืน แต่แล้ว อัจฉริยภาพและเยาวภาพที่ซื่อใสของเขาก็เริ่มเลือนรางจางหายไป และมีความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง รวมทั้งเรื่องราวอื้อฉาวมากมาย ถึงขนาดเคยถูกตำรวจจับกุมใส่กุญแจมือ และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายครั้งเข้ามาแทนที่

คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา อัจฉริยภาพของเขาหายไปไหนหมด ?

ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้อย่างหมดจด เพราะคงไม่มีใครรู้จักเขาดีที่สุดเท่าตัวเขาเอง แต่จากข่าวคราวที่เราได้ทราบ และจากฐานข้อมูลที่เราพอจะสืบค้นได้ ทำให้เราพอจะสันนิษฐานได้ว่า ความยุ่งเหยิงมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขานั้น คงหนีไม่พ้นเกิดจากการขาด “ทักษะในการดำเนินชีวิต” นั่นเอง

“ทักษะในการดำเนินชีวิต” ก็คือ ธรรมะที่จะใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการชีวิตทั้งในยามสุขยามทุกข์ ยามรุ่งโรจน์และยามร่วงโรย

ทักษณะในการดำเนินชีวิต ก็คือ หนึ่งในปริญญาสองใบที่ผู้เขียนพูดถึงอยู่เสมอ

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า คนเรานั้นจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีตาครบทั้งสองข้าง
-ตาข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในการดำเนินชีวิตทางโลกเพื่อทำให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตรอดอย่างมีความสุข
-ตาอีกข้างหนึ่งเป็นความจัดเจนในทางธรรมเพื่อทำให้บุคคลสามารถบริหารจัดการชีวิตได้เป็นอย่างดีเวลามีความสุข (โด่งดังประสบความสำเร็จมีเงินทองมากมาย) และเวลาที่ความทุกข์เคลื่อนตัวเข้ามาสู่ชีวิตทั้งโดยคาดฝันและโดยไม่คาดฝันมาก่อน

ตาสองข้างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปริญญา 2 ใบ”
ปริญญาใบที่หนึ่ง เป็นปริญญาวิชาชีพ (ทำงานเป็น, ตั้งตัวได้)
ปริญญาใบที่สอง เป็นปริญญาวิชาชีวิต (ปัญหาเกิดขึ้นมา แก้ปัญหาได้)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไมเคิล แจ็กสัน สอบผ่านได้ปริญญาเอก เกียรตินิยมเหรียญทองในแง่ปริญญาวิชาชีพ เพราะเขาได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า เขาคือ “อัจฉริยศิลปิน” ที่โลกไม่ลืม และไม่มีทางหาอะไหล่สำรองได้อีกแล้ว

แต่ในแง่ปริญญาวิชาชีวิตนั้น เขาคงสอบผ่านเพียงปริญญาตรีแบบคาบเส้นเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตให้เกิดความสมดุลได้ ชีวิตของเขาตกอยู่ในภาวะ “งานสัมฤทธิ์ แต่ชีวิตไม่รื่นรมย์”

ไมเคิล แจ็กสัน จากพวกเราสู่สวรรค์ชั้นดนตรีรุจีรัตน์เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เราทั้งหลายที่ยังคงอยู่ ซึ่งจะต้องเรียนรู้จากชีวิตของไมเคิลอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิตของไมเคิล สิ่งนั้นเราจะต้องหามาเติมให้เต็มให้ได้ในช่วงชีวิตของเรา

ปริญญาวิชาชีพ ปริญญาวิชาชีวิต
เราทุกคนควรพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนได้ปริญญาเอกทั้งสองสาขานี้ให้ได้ด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้ว เราทั้งหลายก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียวเหมือนไมเคิล ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ไมเคิลจากไปแล้ว จึงหมดเวลาแก้ตัว แต่เราทุกคนที่ยังคงอยู่ ยังไม่สายเกินไปที่จะแสวงหาปริญญาทั้งสองใบนี้มาประดับชีวิตให้เกริกเกียรติ มีคุณค่า น่าภูมิใจ และจากไปอย่างคนที่สมบูรณ์ด้วยปริญญาทั้งสองใบ
ที่มา : ว.วชิรเวธี www.posttoday.com

สร้างสุขง่าย ๆ สไตล์ "หนูดี"


งานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด “อัจฉริยะสร้างสุข” ของ หนูดี-วนิษา เรซ เจ้าของหนังสือขายดีหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น อัจฉริยะสร้างได้ อัจฉริยะเรียนสนุก ฯลฯ บอกว่า ผลงานจากห้องวิจัยเกี่ยวกับความสุขและความสำเร็จในชีวิตยืนยันว่า การมีความสุขเป็นเรื่องที่สร้างได้ ทดลองได้ พิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แถมความสุขนั้นยังเป็นเรื่องที่มีผลต่อความสำเร็จระยะยาวของชีวิตโดยตรงอีกด้วย

ภายในงานหนูดีได้มาบอกเคล็ดลับที่จะช่วยทำให้คุณเกิดความสุขได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวัน แต่ถ้าทำได้ความสุขก็จะอยู่กับเราอย่างถาวร

1.คนที่มีความสุขเป็นพิเศษในสังคม
หนูดีเล่าให้ฟังว่า มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง คือ ดร.เซลิกแมน และดร.ไดเนอร์ ได้ไปสัมภาษณ์และสังเกตอย่างใกล้ชิดกับคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่จัดการชีวิตได้ดีมาก และมีความสุขมากเป็นพิเศษ และพบว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากคนทั่วไป นอกจากวิธีการตีความปัญหาและวิธีการพลิกฟื้นเยียวยา สำหรับวิธีการตีความปัญหานั้น อย่างเช่น เมื่อคนกลุ่มนี้ถูกโกงขึ้นมา เขาจะไม่ฟูมฟาย แต่จะมองว่าเราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนเวลาในการพลิกฟื้นเยียวยานั้น กลุ่มนี้จะมีเวลาพลิกฟื้นเยียวยาตัวเองที่เร็วกว่าคนทั่วไป อย่างเช่น คนปกติเวลาเกิดเรื่องเสียใจ อาจจะต้องใช้เวลาการพลิกฟื้นเยียวยาสัก 3 เดือน แต่คนกลุ่มนี้จะใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น และศึกษาคนกลุ่มนี้แล้วนำมาปฏิบัติตาม ซึ่งถ้าเกิดปฏิบัติตามนี้ได้ก็มีแนวโน้มว่าเราก็จะมีความสุขได้เช่นกัน

2.สุข ทุกข์ อยู่ที่สมอง
หลายคนบอกว่า สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ แต่สำหรับหนูดีแล้วเธอบอกว่า สิ่งที่ได้ศึกษามานั้นบอกว่าคนเราสุข ทุกข์ อยู่ที่สมอง คนเรามีหน่วยบัญชาการอารมณ์อยู่ในสมองของเรา ซึ่งเรียกส่วนนี้ว่า ลิมบิก ซิสเต็ม (Limbic System) เพราะฉะนั้นทุกอารมณ์ที่คนเรารู้สึกตั้งแต่เด็ก สุข ทุกข์ ดีใจ เศร้า เสียใจ สมหวัง ผิดหวัง อยู่ที่สมอง และสมองเป็นตัวบงการหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็ว ช้า ตามอารมณ์ เพราะฉะนั้นถ้าแต่ละคนดูแลสมองให้ดี หัวใจก็จะดูแลตัวเองได้ดีเช่นกัน

3.ภารกิจลับสุดยอดของสมอง
หลายคนอาจจะคิดว่าภารกิจสำคัญของสมองก็คือการ คิด คิด และคิด แต่หนูดีกลับบอกว่า ภารกิจสำคัญและลับสุดยอดของสมองที่สำคัญที่สุด คือ การเอาตัวรอด เอาชีวิตรอด ให้นานที่สุด ในสถานการณ์ที่หลากหลายที่สุด เพราะถ้าเราเสียชีวิตสมองจะไม่เหลือคุณค่าใดๆ นอกจากส่วนประกอบอย่างไขมัน น้ำ และโปรตีนเท่านั้น เพราะฉะนั้นสมองจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อทำให้มีเรามีชีวิตรอดให้นานที่สุดนั่นเอง

4.ความทุกข์เป็นสิ่งจำเป็น
ความทุกข์เป็นกลไกที่จำเป็นของสมองในการที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดได้นานที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ หนูดี บอกว่า
“บางเรื่องเราอยากจะจำกลับลืม แต่บางเรื่องที่เราอยากจะลืมก็กลับจำได้ ถ้าเราสังเกตเรื่องที่เราอยากจำมักจะเป็นข้อมูลการเรียน การสอบ แต่กลับจำไม่ได้ แต่เรื่องที่เราอยากลืม เช่น อกหัก เสียใจ มักจะไม่ค่อยลืม แต่กลไกทางสมองไม่ได้ปล่อยให้เราลืมเรื่องที่เป็นความทุกข์ได้ง่ายขนาดนั้น

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ถ้าเกิดสิ่งที่เจ็บปวดขึ้นกับเราขึ้นมาสักครั้ง สมองจะเก็บเข้าไปในไฟล์เลยว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อันตราย ไม่ควรเข้าใกล้อีก ไม่ใช่เพราะสมองต้องการทำร้ายเรา แต่เป็นเพราะสมองต้องการจำให้แม่น เพื่อไม่ให้เราต้องเดินเข้าไปหาสิ่งนั้นอีก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่คุณกำลังมีความทุกข์ นั่นก็คือสมองกำลังบอกรักคุณอยู่ เพราะอยากให้คุณมีชีวิตที่ดี มีชีวิตรอด ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ได้เราจะไม่โกรธตัวเอง ไม่ตื่นเต้นตกใจเลยเวลาที่เรามีความทุกข์ เพราะเราจะรู้ว่านี่คือกลไกทางธรรมชาติที่จะปกป้องเรา”

5.ความทุกข์ช่วยประหยัดพลังงาน
หลายครั้งที่เราเกิดความทุกข์ เกิดความล้มเหลวในการทำงาน จนอยากจะนอนอยู่เฉยๆ ไม่อยากลุกจากเตียงไปไหน ไม่อยากเจอใคร พูดกับใคร ซึ่งเรื่องนี้ หนูดีบอกว่าเป็นวิธีการของสมองที่จะตัดระบบจ่ายพลังงานของเราทั้งหมด เพื่อไม่ให้เราออกไปพบเจอกับเหตุการณ์นั้นอีก ทำให้คุณรู้สึกไม่มีแรง ไม่อยากออกไปไหน

“เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ทันวิธีการของสมองก็จะทำให้เราอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ออกไปไหน อยู่จนความคิดตกตะกอน และเมื่อรู้สึกว่าความคิดนิ่งพอแล้วก็พร้อมที่จะออกมาเผชิญกับสังคมและปัญหาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร นักวิจัยจะแนะนำว่าให้เราหากิจกรรมที่เป็นขั้นเป็นตอนทำ แต่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป เช่น ทำความสะอาดบ้าน ออกไปช็อปปิ้งของเข้าบ้านมาทำอาหารสัก 2-3 วัน จนรู้สึกว่าใจพร้อมค่อยออกไปทำงานต่างๆ ที่คั่งค้างเอาไว้ต่อ แต่ถ้าคนไหนที่รู้สึกว่ามีความทุกข์แล้วพักจนพอแล้วสามารถเข้าทำงานที่ค้างได้ต่อเลย เพราะจะเป็นการบำบัดเยียวยาที่ดีที่สุด”

6.วิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสมอง
อย่างที่รู้ว่าภารกิจหลักของสมองของคนเรานั้นคือการเอาตัวรอด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์กลัวและโกรธ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสมองของตัวเอง ไม่ทำงานที่เครียดเกินไป ไม่อยู่ในภาวะที่กลัวหรือโกรธเกินไป ทำได้ง่ายๆ เช่น การวางแผนเส้นทางก่อนจะออกเดินทางไปไหน และถ้าเราสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้ ความฉลาดก็เป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัว

“เวลาที่เราเครียดฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งออกมาจากร่างกายและเป็นฮอร์โมนที่อันตราย และถ้าหลั่งออกมาเป็นระยะเวลานานก็จะยิ่งเป็นอันตราย เพราะในสมองของเรามีอวัยวะเล็กๆ ที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส ที่ช่วยบันทึกความจำ และในช่วงที่คนเรานอนหลับ อวัยวะส่วนนี้จะทำหน้าที่ย้ายความทรงจำระยะสั้นไปสู่ความทรงจำระยะยาว แต่ถ้าคืนไหนที่นอนน้อย หรือนอนไม่หลับ การย้ายก็จะไม่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ

และถ้าฮอร์โมนคอร์ติซอลในสมองหลั่งออกมาเยอะก็จะไปทำลายสมอง และจะไปทำลายฮิปโปแคมปัสด้วย เพราะฉะนั้นคนที่มีความเครียดระยะยาวความจำจึงมักไม่ค่อยดี เพราะส่วนที่บันทึกความจำถูกทำลาย

วิธีที่จะช่วยฟื้นฟูสมองก็คือ การออกกำลังกายด้วยวิธีอะไรก็ได้ที่เทียบเท่ากับการเดินเร็ว สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที และมีงานวิจัยออกมาว่าถ้าออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องจะสามารถสร้างเซลล์ใหม่ในฮิปโปแคมปัสได้ด้วย เพราะจะมีออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองได้เยอะมาก และเมื่อความทุกข์ทำลายสมองได้ ความสุขก็สามารถบำรุงสมองได้ เพราะเมื่อคนเรามีความสุขจะมีสารเคมีที่เป็นประโยชน์กับสมองหลั่งออกมามากมาย อย่างเช่น เอนดอร์ฟิน

7.หัวเราะ บำบัดโรคซึมเศร้า
การหัวเราะเป็นเรื่องที่มีการวิจัยและการรองรับค่อนข้างมากว่ามีประโยชน์ เพราะทุกครั้งที่คนเราหัวเราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา นอกจากนั้นหลังจากที่ได้หัวเราะออกไป คนเรามักจะรู้สึกว่ามีความพร้อมเรียนรู้มากกว่าก่อนที่จะหัวเราะเสียอีก

“มีเคสหนึ่งที่ตัวคุณหมอเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นมา และรู้ว่ายาที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้านั้นอันตรายมาก จึงจัดยาให้ตัวเองด้วยการหัวเราะทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมงก่อนนอน โดยไม่กินยาเลยแม้แต่เม็ดเดียว ซึ่งปรากฏว่าผ่านไปประมาณ 6 เดือน สามารถบำบัดโรคซึมเศร้าได้อย่างหายขาด เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามหัวเราะให้ได้ทุกวัน”

เหล่านี้คือวิธีง่ายๆ (ส่วนหนึ่ง) ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญช่วยสร้างความสุขให้กับเราได้... ไม่มากก็น้อย แต่ก็เรียกว่า สุข (นะ)

ที่มา: โพสต์ทูเดย์

4 ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนในร้านกาแฟ เราได้หยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเป็นปกสีดำ มีรูปการ์ตูนเด็กผู้ชายหน้าตาตื่นเต้นเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ วาดด้วยลายเส้นสมัยใหม่ชื่อ “ข้างในนั้น” ในนี้มีอะไร

เราเปิดอ่านด้วยความสนใจ โดยไม่คาดหวังว่าจะได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้แต่เรากลับพบว่าเนื้อหาภายในคล้ายตำราข้อสอบฉบับแหวกแนวแต่เข้าใจง่ายเล่มนี้ ทำให้เราสะดุดและฉุกคิดอะไรหลายอย่างถึงสิ่งที่คนไทย เรียนรู้มาแต่เกิด นั่นคือเรื่องพระพุทธศาสนา ความเข้าใจ แนวคิดและวิธีปฏิบัติหลายๆ อย่างในชีวิตประจำวัน ฝังอยู่ในสายเลือดให้รู้จัก ความอดทน อดกลั้น การให้อภัย ความเมตตา ที่สำคัญคนไทยเคยรู้จักความมีสติคิดก่อนทำ นับเป็นเรื่องที่ดี แต่ยังมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายอย่าง ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง

1.การนั่งสมาธิคือการบังคับจิตให้นิ่งจริงหรือ?
การนั่งสมาธิ เป็นเรื่องพื้นฐานของการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญ สมาธิ สติ และปัญญา แต่ทำไมเราถึงไม่สามารถนั่งสมาธิได้เป็นเวลานานๆ ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงรู้สึกว่านั่งสมาธิแล้วไม่ได้รู้สึกสงบ เหมือนที่หนังสือธรรมะหลายๆ เล่มบอกกล่าว ผลสุดท้ายการนั่งสมาธิกลายเป็นของแสลงสำหรับคนที่นั่งสมาธิไม่ได้

ศุภฤกษ์ สกุลชัยพรเลิศ อดีตตัวแทน คณิตศาสตร์โอลิมปิก 2 สมัย และเป็นเจ้าของสถาบันกวดวิชาคณิตศาสตร์ Sup'k Center และเจ้าของหนังสือ “ข้างในนั้น” ซึ่งเป็นหนังสือธรรมะสมัยใหม่ เผยความจริงง่ายๆ ของการปฏิบัติธรรม ที่หลายๆ คน ผู้ไม่รู้เข้าใจผิดมาโดยตลอดเกี่ยวกับการนั่งสมาธิว่า การนั่งสมาธิควรจะนั่งด้วยความรู้สึกตัว เวลานั่งๆ อยู่ จิตเผลอไปคิด ก็รู้ทัน จิตเผลอไปเบื่อ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้อยากเบื่อ ก็รู้ทัน ท้ายสุดจิตเกิด ความสุข ก็แค่รู้ทัน แล้วก็จะเห็นเองว่า จิตเกิดความสุขได้เอง (เนอะ) ทั้งๆ ที่ตอนเราสั่งให้สุข มันก็ ไม่เห็นจะสุขทันทีตามใจอยาก แต่พอเหตุถึงพร้อม มันก็เกิดความสุขได้เอง นั่นก็จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ว่า ความสุขที่เกิดก็เป็นอนัตตา

“คนทั่วไปต้องการนั่งเพื่อให้ได้ความนิ่งๆ และนานๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด คนทั่วไปจะหลงคิดผิดๆ ไปเองว่า หากเรานั่งสมาธิจนกระทั่งจิตนิ่งถาวรคง จะดีบรรลุได้ง่าย
การที่เรานั่งสมาธิเพื่อเอาความนิ่ง จะได้เรียนรู้อะไร นอกจากเรียนรู้ความนิ่ง? ไม่ได้บรรลุนิพพาน ไม่ได้เข้าใจความจริงอะไร หรืออีกกรณี หากนั่งเพ่งจ้องจิตให้นิ่ง อาจจะเครียดได้

การนั่งสมาธิที่ถูกต้องตามพุทธพจน์ คือ นั่งด้วยความรู้สึกตัว นั่งเพื่อเรียนรู้ความจริงของกายใจตนเองในแง่ไตรลักษณ์ เพราะเมื่อเรียนรู้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ด้วยสัมมาทิฐิ จิตจะค่อยๆ เกิดปัญญา เข้าใจตนเอง เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ถอดถอนจากความยึดมั่นในตัวกูของกู และพ้นจากทุกข์ พบความสุขที่แท้ได้ในที่สุด

2.ธรรมะสอนให้เรารู้จักอดทนอดกลั้น ให้อภัย แต่ไม่ใช่ให้จมอยู่ในกองทุกข์
สำหรับคนไทยเมื่อมีปัญหาเรามักจะยอมกันได้เสมอ แต่ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นการกดขี่ข่มเหง รังแก เป็นเรื่องที่ไม่ควรยอมให้อภัย จะต้องอดทนให้เขากดขี่ข่มเหงไปตลอดหรือ

พระศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก ได้ให้คำตอบว่า เป็นเรื่องถูกต้องแล้วเพราะพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้คนเราเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เอาชนะความ ตระหนี่ด้วยการให้ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ไม่ต้องเข้าไปพัวพันอยู่ในบ่วงกรรม

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนสั่ง เพราะถ้าเมื่อเราถูกกระทำแล้วโต้ตอบด้วยวิธีการเดียวกัน จะกลายเป็นความแค้นผูกพยาบาทต่อกันข้ามภพข้ามชาติไม่มีจบสิ้น คำถามก็คือ แล้วต้องยอมเสมอไปหรือเปล่า คำตอบคือเปล่า พระธรรมสอนให้รู้จักความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัย แต่ไม่ได้บอกว่าให้ยอมแพ้

เมื่อเกิดปัญหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ต้องรู้จักวิธีการแก้ด้วยสติสัมปชัญญะ แก้ด้วยวิธีการที่เหนือชั้นกว่า คนอื่นทำแย่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องใช้วิธีการแย่ๆ โต้ตอบกลับไป ใช้สติตริตรองหาทางออกที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

3.ห้ามโกหก ทำได้ยากจริงหรือ?
“มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ” การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่คนเราก็มักจะโกหก เพื่อการเอาตัวรอดอยู่เสมอ ทำให้ใครหลายๆ คนมักมองศีลข้อนี้เป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ

พระศรีญาณโสภณ ได้ให้คำอธิบายถึงเรื่องการโกหกที่หลายๆ คนมักปฏิบัติไม่ได้ไว้ว่า การโกหกนั้นไม่ว่ามองในมุมไหนก็เป็นเรื่องไม่ดีทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ให้โทษแก่ผู้อื่น แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้วไม่ได้โกหกเพื่อความอยู่รอด แต่โกหกเพราะเกิดความโลภ เกิดกิเลส เราถึงได้โกหกเพื่อให้ได้มา หรือโกหกเพื่อปกปิดความจริง

แต่การโกหกก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน เช่น การพูดโดยเจตนาที่ดี อย่างกรณีผู้ป่วยหนัก แต่ญาติไม่อยากให้รู้ความจริง เพราะรู้ไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมา มีแต่คนไข้จะเสียกำลังใจ พาให้อาการทรุดหนักลงกว่าเดิม ก็ต้องพูดโดยใช้กุศโลบาย ซึ่งเป็นอุบายที่ดี ทำให้คนไข้หรือผู้ฟังมีความสบายใจ จนเมื่อถึงเวลาที่เห็นว่าคนไข้รับความจริงได้แล้ว จึงค่อยบอกออกไปอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นการโกหก ไม่ผิดศีลเพราะทำด้วยเจตนาที่ดี การตีความจึงมองที่เจตนาเป็นหลัก

หรืออย่างเรื่องข้อมูลความมั่นคงของประเทศ ถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องเอามาเปิดเผยให้รู้ทั้งหมด คำถามต่อมาก็คือรู้แล้วมีประโยชน์อะไร ถ้ารู้แล้วไม่มีประโยชน์มีแต่โทษถึงความมั่นคงของชาติ ก็ไม่จำเป็นต้องเอามาเปิดเผย อาจจะตอบแบบเลี่ยงๆ แต่อย่าบิดเบือนไปจากความจริง เพราะถ้าบิดเบือนไปจากความจริงแล้วเกิดโทษต่อประชาชน อย่างนี้ผิดศีลไม่ควรทำ

ที่สำคัญศีลที่ว่าด้วยการห้ามพูดปด ไม่ได้จำเพาะอยู่เพียงการโกหกเท่านั้น ยังหมายความรวมถึง การนินทาลับหลัง การใส่ร้าย การพูดจาด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งล้วนแต่เป็นคำพูดที่ให้โทษแก่ผู้อื่นล้วนผิดศีลข้อนี้ ทั้งสิ้น

4.บริจาคมาก ได้บุญมาก ?
เป็นความเชื่อที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็น เช่นนั้น บริจาคเงินแสนได้บุญมากกว่าเงินร้อย ความจริงแล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

“ในเรื่องของการทำบุญ เราต้องเข้าใจก่อนว่าบุญคืออะไร การทำบุญเป็นเครื่องมือชำระจิตใจให้รู้จักการลดละกิเลส รู้จัก การเสียสละ การให้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตน มีมากก็ชำระมาก มีน้อยก็ชำระน้อย ตามแต่กำลังของแต่ละคน แต่การวัดว่าใครได้บุญมากบุญน้อยนั้นวัดกันไม่ได้

เพราะท้ายที่สุดเมื่อทำบุญแล้วความสุขก็บังเกิดแก่ผู้ที่ทำบุญทุกคน แต่ถ้าถามว่าแล้วคนที่ได้เงินมาโดยไม่สุจริตเป็นพวกค้ายา หรือร่ำรวยโดยไม่ชอบ มาทำบุญบริจาคเป็นแสนเป็นล้านแล้วจะได้บุญมากหรือเปล่า ต้องตอบว่า ได้แต่ไม่เต็มที่ เขาทำบุญคนก็อนุโมทนาสาธุ แต่ที่มาของเงินนั้นไม่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์เขาก็ได้บุญไม่เต็มที่ ด้วยในใจเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจเองว่า เขาควรได้ผลบุญนั้นหรือไม่ เหมือนเราเล่นฟุตบอลใช้กลโกงทำผิดกติกาเพื่อให้ได้ประตู ถามว่าเขาจะได้คะแนนจากการทำประตูนั้นไหม ตัวเขานั้นย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าควรได้ประตูนั้นหรือเปล่า

ดังนั้น การทำบุญต้องทำด้วยเจตนาที่ดี ไม่ได้จำกัดว่าทำบุญมากทำบุญน้อย ต้องไม่หวังผลหรือสิ่งตอบแทน เราก็จะได้รับผลบุญนั้นอย่างเต็มที่” พระศรีญาณโสภณ ตอบคำถามทางธรรมที่มีผู้คนสงสัยกันมากที่สุด

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสอน และแนวทางปฏิบัติของพระพุทธศาสนา จะด้วยความไม่รู้หรือการ ตีความจากประสบการณ์ของแต่ละคนก็แล้วแต่สิ่งสำคัญคือ การรู้จักใช้สติ ปัญญา คิดพิจารณา ศึกษาจากการอ่านพระไตรปิฎกโดยตรง และลงมือปฏิบัติอาจจะดีกว่าการศึกษาหาอ่านจากตำราที่ผ่านการตีความจนผิดเพี้ยนไปจากความจริงอีกไม่รู้กี่ช่วง ทำให้เราจะไม่มีวันเข้าใจถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้เลย

ที่มา : โพสต์ทูเดย์

12 กรกฎาคม 2552

22 Tips ในการใช้งาน computer


1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น

2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น

3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ

4. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย

5. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop

6. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก

7. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว

8. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter

9. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar

10. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้

11. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น

12. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu

13. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก

14. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น

15. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send

14. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้

15. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน

16. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา

17. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ

18. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete

19. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา

20. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้

21. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ

22.ลบไฟล์ขยะ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า c:\WINDOWS\Prefetch แล้ว enter ไอ้ที่ขึ้นๆมา


ที่มา : http://piconets.exteen.com/category/Article

11 กรกฎาคม 2552

เคล็ดลับในการใช้ประกันสังคมให้คุ้ม


จากกระทู้สวนลุมพินีใน pantip น่าสนใจมากเลยเก็บมาฝากค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8067388/L8067388.html

ผมมีความเชื่อว่า หลาย ๆ คนในบอร์ดนี้อยู่ในระบบประกันสังคมครับ ซึ่งแต่ละเดือนนั้น จะต้องถูกหัก 5% ของรายได้ (ไม่เกิน 15,000 บาท) พูดง่าย ๆ ก็คือ
ถ้ามีเงินเดือนตั้
งแต่ 15,000 บาท ขึ้นไป ก็จะถูกหักเดือนละ 750 บาทครับ หรือปีละ 9,000 บาท
แม้ว่าขณะนี้จะมีการปรับลดเงินสมทบลงเหลือ 3% ตั้งแต่เดือน ก.ค. - ธ.ค. 52 แต่ 3% = 450 บาทต่อเดือน หรือปีละ 5,400 บาท

ซึ่งวงเงิน 5,400 บาท หรือ 9,000 บาทต่อปี นั้นเป็นเงินที่สูงมาก ๆ ครับ ซึ่งเราไปซื้อประกันจากบริษัทประกันต่าง ๆ ได้เลยครับ หลาย ๆ คนที่เคยใช้ประกันสังคม มักจะบ่น ๆ ๆ ๆ ว่าบริการไม่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ผมมีเคล็ดลับในการใช้ประกันสังคม ในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของการรักษาพยาบาล และ
ดูแลรักษาสุขภาพ ดังนี้ครับ

เรา รู้หรือเปล่าครับ เวลาที่เราเลือกโรงพยาบาลประกันสังคม ตามบัตรรับรองสิทธินั้น โรงพยาบาลที่เราเลือกจะได้รับเงินเหมารายหัวจากประกันสังคม หัวละ 1,938 บาทต่อปีครับ

ดังนั้นถ้าเราเลือกโรงพยาบาลเอกชน ที่มุ่งแสวงหากำไร เพราะเป็นธุรกิจนั่นหมายความว่า ถ้าเราไม่มารักษา
เลยในปีนั้น หรือมีจิตใจที่มุ่งมั่นว่าจะไม่ใช้ประกันสังคมเด็ดขาดนั้น จะเท่ากับว่าโรงพยาบาลนั้นจะได้รับเงินกินเปล่า 1,938 บาท ต่อปีทันทีครับ แต่ถ้าเกิดเราไปใช้นั่นก็หมายความว่า ถ้าค่ารักษาพยาบาลที่เรามารักษามีมูลค่ามากกว่า 1,938 บาท ก็เท่ากับว่าโรงพยาบาลขาดทุนทันทีใช่ไหมครับ

*** หลาย ๆ คน ที่มีจิตใจมุ่งมั่น แน่วแน่วว่ายังไงก็ไม่เข้ารับรักษาตามสิทธิประกันสังคมแน่ ๆ ผมก็ขอแนะนำให้เลือกโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ เป็น "โรงพยาบาลของรัฐ" ครับ เพื่อให้เงินทองของเราตกไปสู่
โรงพยาบาลรัฐ ซึ่งจะได้นำเงินนี้ไปรักษาคนที่เขาขาดแคลนครับผม ถือว่าเป็นการทำบุญทางอ้อม ซึ่งเราช่วยได้ง่าย ๆ เลยครับ ***

ดังนั้นบางโรงพยาบาลก็ต้องมีการควบคุมค่าใช้จ่าย กับคนไข้ประกันสังคมอย่างใกล้ชิดครับ เพื่อให้โรงพยาบาลยังคงผลกำไรอยู่ได้ เช่น

- การจ่ายยาที่มีราคาไม่แพงนัก

- ให้พบแพทย์ทั่วไป (General Physician: GP) จนคิดว่าไม่ไหวจริง ๆ จึงค่อยส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทาง

- ที่สำคัญที่สุด กรณีเราเจ็บป่วยหนัก ๆ ที่ต้องมีการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทาง เช่น หัวใจ ปอด ตับ ลำไส้ ฯลฯ
ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่เราเลือกเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ ไม่มีเครื่องมือเพียงพอ หรือไม่มีแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ เขาก็อาจจะดิ้นรนรักษา โดยไม่ยอมส่งต่อครับ เพราะสมมติว่าเขาส่งต่อโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์การแพทย์ต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์ ศิริราชพยาบาล หรือรามาธิบดี โรงพยาบาลเอกชนตามบัตรรับรองสิทธิ จะต้องตามไปชำระค่ารักษาพยาบาลให้เราครับ


คิดแบบเข้าใจนะครับ (แต่อย่าเหมารวมทุก ๆ โรงพยาบาลนะครับ) เขาคงไม่ทำอะไรที่ทำให้เขา "ขาดทุน" อยู่แล้วใช่ไหมครับ หรือถ้าจะยอมก็ต้องคิดว่า "ไม่ไหวจริง ๆ" ซึ่งบางครั้งเวลาส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ คุณหมอก็มักจะบอกว่า "น่าจะมาให้เร็วกว่านี้" นี่คือปัญหา

สิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนบางโรง ทำให้เราอยากเลือกโรงพยาบาลเขาเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ ก็คือ การบริการที่รวดเร็วกว่าโรงพยาบาลรัฐครับ ซึ่งถ้าเราเจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ เช่น ป่วยเป็นหวัด หรือเจ็บคอ แล้วไปหาโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เราเลือกในประกันสังคม จะได้รับการบริการที่ดีครับ เพราะ "ค่ารักษาไม่แพงมาก" แต่ถ้าเราต้องรักษาที่ต้องมีการผ่าตัด หรือใช้กระบวนการในการวินิจฉัยเฉพาะแล้วล่ะก็ เราอาจจะถูกบ่ายเบี่ยงได้ครับ หรือดึงเกมให้ช้าลง

ดังนั้น ผมจึงแนะนำว่า เราควรเลือกโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิเป็นโรงพยาบาลของรัฐใกล้ ๆ บ้านครับ ซึ่งโรงพยาบาลของรัฐนั้น เขาไม่ค่อยคำนึงผลกำไร อาจจะบริการไม่ดีนัก เพราะมีคนไข้เยอะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับการบริการที่เสมอภาค ได้รับยาตามบัญชียาแห่งชาติครับ ที่สำคัญเวลาที่โรงพยาบาลรัฐตามบัตรฯ ของเรา ไม่มีแพทย์เฉพาะทางในการรักษา คุณหมอก็จะไม่ลังเลใจที่จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่มีอาจารย์ หมอที่มีความรู้ทันทีครับ

อย่างคุณพ่อของเพื่อนท่านหนึ่งท่านป่วย เป็นโรคหัวใจครับ พอคุณหมอคิดว่าน่าจะใช้ และโรงพยาบาลรัฐแห่งนั้นก็ไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ คุณหมอเจ้าของไข้ก็ทำเรื่องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันทีครับ ซึ่งได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายถูกมาก ๆ ครับ เสียเฉพาะลิ้นหัวใจเทียม (ซึ่งเบิกไม่ได้) และค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้าจำไม่ผิดราคาไม่ถึง 40,000 บาทด้วยซ้ำครับ ซึ่งถ้าเราเสียเงินไปผ่าตัดเอง เราต้องเสียเงินอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมี 300,000 บาท หรือมากกว่านะครับ

แต่บางครั้ง คุณหมอเองก็มักจะไม่ยอมเขียนหนังสือส่งตัวให้ เพราะอาจจะเกรงโดนผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพ่งเล็ง ก็ให้เราใช้สูตรนี้ครับ คือการอ้อนวอนคุณหมอ ผมเชื่อว่าคนเป็นหมอโรงพยาบาลรัฐ ส่วนใหญ่มีเมตตาครับ พอได้รับคำอ้อนวอน หรือขอร้องก็มักจะทำหนังสือส่งตัวให้ครับ (แต่ขอให้เรา
ใจกล้า ๆ เอ่ยปากขอร้องครับ) เพราะถ้าคนไข้เป็นอะไรไป โดยมีสาเหตุจากการส่งตัวที่ช้าเกินไป ท่านอาจจะได้รับผลกระทบในทางลบมากกว่า

บางราย....ไปรักษาโรคลำไส้อยู่แล้วที่ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ เช่น จุฬาลงกรณ์ หรือศิริราชพยาบาล รักษาแบบจ่ายเงินเองนะครับ มีเวชระเบียนเรียบร้อย สมมติว่าไปรักษาด้วยการจ่ายเงินเองสัก 3 ครั้ง ...

ถ้าเรามีบัตร ประกันสังคม ระบุว่าเป็นโรงพยาบาล A เราสามารถเอาเวชระเบียนที่เรารักษาอยู่ก่อนเดิม มาพบคุณหมอเพื่อให้คุณหมอโรงพยาบาล A ทำหนังสือส่งตัวไปได้นะครับ
- ถ้าโรงพยาบาล A เป็นโรงพยาบาลรัฐ และไม่มีหมอเฉพาะทางด้านที่เรารักษาอยู่ ถ้าเราขอร้องคุณหมอก็จะทำหนังสือส่งตัวให้ เพื่อให้เราได้รับการรักษาต่อเนื่องครับ ซึ่งเมื่อเราเอาหนังสือส่งตัวนี้ไปให้โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่เรารักษา อยู่ เราก็จะไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลอีกเลยครับ แต่ถ้าโรงพยาบาล A มีหมอเฉพาะทาง เราก็มาเอายารักษาที่โรงพยาบาล A ได้ครับ เช่น ถ้าเป็นโรคความดัน เบาหวาน ฯลฯ ที่ต้องรักษาระยะยาวน่ะครับ เราก็จะได้รับการรักษาฟรี ตามสิทธิประกันสังคมทันทีครับ
- ถ้าโรงพยาบาล A เป็นโรงพยาบาลเอกชน ก็ยากมาก ๆ ทีเดียว

อีก กรณีหนึ่ง ... หลาย ๆ คนมักจะบ่นว่ากระบวนการในการวินิจฉัยของโรงพยาบาลรัฐนั้นช้าใช่ไหมครับ กว่าจะได้ทำ CT Scan หรือ ตัดชิ้นเนื้อนั้นก็ต้องรอคิวนานเหลือเกิน ผมแนะนำว่า ...

สมมติว่าโรงพยาบาลตามสิทธิของเราเป็นโรงพยาบาลรัฐ กขค. ซึ่งก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนครับว่า โรงพยาบาลแม่ข่ายของโรงพยาบาล กขค. คืออะไร สมมติว่าคือ โรงพยาบาลศิริราช ครับ เริ่มเลยนะครับ

ผม ว่ากระบวนการวินิจฉัยว่าเป็นอะไร นั้นสำคัญที่สุดครับ ผมจะแนะนำว่า ผมจะไปตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลเอกชนครับ (จ่ายเงินเอง) เพื่อให้เราทราบว่าเราป่วยเป็นอะไรให้เร็วที่สุด จ่ายครั้งเดียวครับ แต่เคล็ดลับมันมีอยู่ว่า ... สมมติว่าผมสืบได้ว่า คุณหมอXYX ท่านเป็นอาจารย์หมออยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชและท่านยังรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล เอกชน A ผมก็จะไปหาหมอ XYZ ที่โรงพยาบาล A ครับ เพื่อตรวจวินิจฉัย X-Ray หรือ CT Scan จนทำให้ทราบว่าเป็นอะไรกันแน่ ก่อนครับ แล้วขออนุญาตคุณหมอ (ขอร้องเลยครับ) เพื่อจะไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช กับคุณหมอ ซึ่งคุณหมอส่วนใหญ่อนุญาตครับ

- จากนั้นเราก็เอาผลการตรวจ ไปให้หมอในโรงพยาบาล กขค. ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามบัตรฯ รับทราบ สมมติว่าป่วยเป็นลำไส้อักเสบ ในกรณีที่โรงพยาบาล กขค. ที่เป็นบัตรประกันสังคมของเราไม่มีหมอเฉพาะทางด้านนี้ (ส่วนใหญ่จะไม่มีครับ ตอนนี้เราหาหมอเฉพาะทางตามโรงพยาบาลรัฐเล็ก ๆ ได้ยากจริง ๆ ครับ) เราก็ขอให้เขาส่งตัวไปโรงพยาบาลศิริราชครับผม อันนี้ทำได้ เพราะโรงพยาบาลศิริราชนั้นเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายครับ ทำหนังสือส่งตัวได้ไม่ยาก

แต่ในกรณีที่ต้องการโอนไปโรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลแม่ข่าย นั้นทำได้ค่อนข้างยากครับ แต่ก็ทำได้ แต่ต้องอ้อนวอนและเดินเอกสารมากหน่อยครับ เบื้องต้นผมว่าเช็คก่อนครับว่า โรงพยาบาลอะไรเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายจะดีที่สุด การส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลแม่ข่าย นั้นมีกระบวนการที่ง่ายกว่าครับผม

แค่ นี้แม้ว่าจะยุ่งยากสักนิด แต่เราก็ได้รักษากับหมอเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ ด้วยเครื่องมือที่ดี โดยที่เราได้รับการรักษาฟรี เพียงแต่ค่าวินิจฉัยต้องจ่ายเงินเองเท่านั้นเองครับ

อีักอย่าง...การที่จะเช็คว่าโรงพยาบาลไหนเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายนั้น เราสามารถเช็คได้ที่เบอร์ 1506 นะครับ

สิ่ง ที่ผมกังวลมาก ๆ นะครับ โรงพยาบาลเอกชนหลาย ๆ แห่ง พยายามทำให้การรักษาโดยการจ่ายเงินเอง แตกต่างจากการใช้ประกันสังคม เพื่อดึงดูดให้เราในฐานะผู้ประกันตน จ่ายเงินเอง!!! ด้วยการถ้าจ่ายเงินเอง จะให้ยาแรง!!!!

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราหลอดลมอักเสบนั้น ยาแก้อักเสบจะมีแบบเบา จนกระทั่งไปถึงแรงครับ ตามหลักแล้วคุณหมอจะให้แบบเบาก่อนครับ เพื่อทำให้ร่างกายเราปรับตัว สร้างภูมิเข้ามาสู้กับเชื้อโรคได้เอง และจะเลื่อนระดับความแรงของยา เมื่อพบว่ามีอาการดื้อยา คือกินยาไปสักพักแล้วไม่หาย แต่บางโรงพยาบาล อาจจะมีการให้ยาแรงโดยทันที ข้อดีคือ "หายเร็วครับ" ทำให้เรารู้สึกว่า เออออออ....... จ่ายเงินเองได้ยาดี หายเร็ว แต่ข้อเสียที่สำคัญ ๆ ก็คือ

"อีกหน่อย ถ้าเราให้ยาเบา เราจะไม่หายเลยครับ ต้องใช้ยาแรงไปตลอด"
- ยาแรงก็มักจะมีผลข้างเคียงแรงครับ
- ถ้าเราดื้อยาแรงอีกล่ะ ทีนี้จะทำไง???

ดังนั้นเราต้องพิจารณาให้ดี ๆ นะครับ .... ไม่ใช่ว่าหายเร็วจะดีเสมอไป

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมเคยแนะนำก็คือ

สมมติว่าเราเลือกโรงพยาบาลเอกชน A เป็นโรงพยาบาลตามบัตรฯ แล้วเราไม่แน่ใจว่า จะได้พบหมอเฉพาะทางหรือไม่ ผมจะดำเนินการดังนี้ครับ

1. วันแรกที่ไปหาหมอ จะไม่แจ้งให้ทราบว่าเป็นคนไข้ประกันสังคม จ่ายเงินเองเลยครับ แต่ขอพบหมอเฉพาะทาง ... ถ้ารักษาภายในครั้งเดียวแล้วหาย ก็โอเคครับ แต่ถ้าต้องมีการรักษาต่อเนื่อง ก็....

2. ครั้งต่อไปเราค่อยแจ้งว่าเราจะใช้สิทธิประกันสังคมครับ คราวนี้เราก็จะได้พบหมอเฉพาะทาง และได้รับการรักษาต่อเนื่อง ได้ยาแบบเดิมครับผม ยกเว้นว่ายาที่หมอให้เดิมเป็นยานอกบัญชี ก็อาจจะทำให้เราต้องจ่ายค่ายาพิเศษเพิ่มบางตัวเท่านั้นครับ

ประกัน สังคมลองคิดดูนะครับ ตลอดชีวิตการเป็นลูกจ้าง บางคนเป็นลูกจ้างมากกว่า 20 ปี ต้องจ่ายอย่างน้อย ๆ ก็มี 200,000 บาท โดยประมาณ ดังนั้นผมจึงคิดว่าเราต้องพยายามใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่ สำคัญที่สุด กรณีที่เราไม่พอใจในการให้บริการ เราอย่ากลัวครับ เราสามารถขอเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ครับ และสามารถร้องเรียนไปได้ที่ 1506 ซึ่งเขาพร้อมช่วยเราอยู่แล้วครับ เพียงแต่คนส่วนมากมักไม่ค่อย Fight

สิ่ง ที่ผมนำมาเล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมเคย Fight ให้กับคุณพ่อเพื่อน และคนในครอบครัวมาแล้วครับ ในรายละเอียดปลีกย่อยอาจจะเอามาเล่าไม่หมด แต่ผมเชือว่าถ้าเรา Fight เราจะได้สิทธิในการรักษาที่คุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปครับผม

อีก อย่างประกันสังคม เป็นประกันฯ ที่ดีที่สุด เพราะต่อให้เราเป็นโรคประจำตัวอะไร เราก็สามารถประกันตนได้ รักษาโรคเดิมที่เป็นมาแต่กำเนิดก็ได้ แม้ว่าจะเกษียณไปแล้ว ก็สามารถประกันตนเองต่อตามมาตรา 39 ได้ครับ ซึ่งคุ้มมาก ๆ

ถ้าไม่ เป็นอะไรปุบปับ ที่ต้องการการกู้ชีวิตอย่างเร่งด่วน ผมว่าการ Fight วิ่งเรื่อง ขอส่งตัวเราทำได้ครับ เพื่อให้เราได้รับการบริการทางการแพทย์ที่ดี และคุ้มค่าครับ

ขอบคุณข้อมูล จากกระทู้พันทิพ