29 ตุลาคม 2552

7 เทคนิคทำให้ชีวิตผ่อนคลาย

ใน โลกปัจจุบันนี้ หลายๆคนคงต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การหาหนทางที่จะผ่อนคลายตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน้ต่อร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างมาก บางคนอาจเข้าสปา ไปนวดหน้านวดตัว บางคนไปเที่ยว ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ความลับของการผ่อนคลายที่แท้จริงก็คือ การควบคุมภาวะจิตใจของเรานั้นเอง ถ้าคุณขาดการควบคุมจิตใจแล้ว การเข้าสปาที่ดีที่ การเที่ยวที่ที่สวยที่สุด ก็ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้เลย

เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง
1. ปัจจุบัน คือสิ่งที่สำคัญที่สุด - บ่อยแค่ไหนที่คุณมักจะพบว่าคุณเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนส่วนมากมักจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วการวิตกกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะอยู่ในโลกแห่งอดีตหรืออนาคต คุณก็จะไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย ฉะนั้นถ้าคุณต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริงคุณจะต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราเท่าทันตนเองอยู่เสมอ

2. สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ - ที่ที่คุณอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุณต้องเจอก็ส่งผลต่อจิตใจของคุณเช่นเดียวกัน หลายๆคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยนี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี การอยู่มรบางที่ มันก็ยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายได้ คราวนี้ เริ่มมองไปที่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเห็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้คุณทำโน่นทำนี้ คุณคงต้องลงมือทำอะไสักอย่างกับห้องของคุณแล้ว เจ้าพวกของที่คอยกวน ใจคุณเป็นเหมือนภาระ หนักของจิตใจคุณ จัดการจัดห้องให้เป็นระเบียบและเก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตา หาของประดับห้องให้มีความรื่นรมณ์มากขึ้น คุณอาจยอมเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง หรือเทียนหอมมาจุด ก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นการเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงานของคุณอีกด้วย

3. การทำสมาธิ - ระหว่างที่เรามีสมาธิ จิตของเราจะอยู่ในความเงียบ สงบ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง การทำสมาธิสอนให้เรารู้จักจัดระเบียบของความคิดที่ยุ่งเหยิงของเรา ขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะหยุดนิ่ง ซึ่งนำมาซึ่งความสงบและความเบิกบาน การทำสมาธิจึงเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด คุณลองหาเวลาวันละ 10 - 15 นาทีเพื่อทำสมาธิ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกแห่งความสงบและผ่อนคลายที่แท้จริงเป็นอย่างไร

4. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม - การ ผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปล่อยกายปล่อบใจอยู่ในสปา หรือบนชายหาดตลอดทั้งวัน เราจะต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายท่านกลางกิจกรรมปกติของเรา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำอย่างเป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้คุณทำงานสบายขึ้น และได้ผลงานที่มากขึ้น ในขณะที่คุญทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ความสบสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึกถึงการผ่อนคลายได้เลย เริ่มทำงานที่สำคัญมากที่สุดและเร่งที่สุดก่อน และวค่อยๆทำงานที่สำคัญลอองลงมา ค่อยๆทำอย่างรอบคอบ อย่ากดดันตัวเองให้ต้องทำงานให้มากที่สุด การทำวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานถูกต้องมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความสบายใจมีมากขึ้น นี่แหละคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ

5. อย่าขึ้นผูกติดกับความคิดเห็นของคนอื่น - บ่อย แค่ไหนที่คุณยึดติดกับความคิดของคนอื่น ตอนที่เรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะพูดอน่างไร นั้นก็คือเราได้สร้างภารทางใจให้กับตัวเอง เพราะลึกๆแล้ว เราพยายามต้องสนองความต้องการของคนอื่นอยู่ เราก็จะกดดันตัวเองและก็จะไม่มีทางที่จะผ่อนคลายเลย คุณรู้ไหมว่า คนอื่นก็มักจะคอยจับผิดเรา เราจะไม่มีทางดีพอสำหรับคนอื่นได้ ดังนั้น จงอย่าผูกติดตัวเองกับคำวิภากษ์วิจารณ์ของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ ไม่ ได้หมายความว่าเราจะไม่สนใจความคิด เห็นของคนอื่น แต่หมายความว่า เราอย่าาทำให้ตัวเราต้องรู้สึกสนวุ่นวายใจเพียงเพราะความเห็นของคนอื่น เรารับฟังและนำมาคิดด้วยสติอย่างมีเหตุมีผล มันอาจจะทำยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่าคุณยึดติดกับความคิดผู้อื่นน้อยลงเรื่อยๆ

6. ให้เวลากับตัวเอง - แบ่ง เวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะว่างตลอด 24 ชั่วดมงเพื่อใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า หรือแม้กระทั่งเพื่อน จงรับโทรศัพท์หรือตอบ email ลูกค้า หรือหัวหน้าในเวลทำงานเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกวนใจ และบั่นทอนพลังกายและใจของคุณ

7. การเปลี่ยนแปลงก็ดีไม่แพ้การพักผ่อน - ชีวิต เราคงไม่ดีแน่ถ้าเหมืนละครที่เล่นซ่ำไปซ่ำมา ถ้าคุณพบว่าคุณติดอยู่ในบ่วงของการทำสิ่งที่จำเจทุกวัน ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้สหล่ะ เช่น ถ้าคุณดูโทรทัศน์หรือท่องอินเตอร์เน็ตหลังอาหารเย็นทุกวัน วันนี้คุณลองเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบหมู่บ้านดูบ้าง การได้ทำสิ่งอะไรใหม่ๆ พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว การผ่อนคลายง่ายเหมือนแค่การหายใจ เมื่อ ใดที่คุณรู้สึกเครียดหรือกดดัน คุณลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ แค่นี้คุณก็จะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ไม่ยาก

ขอบคุณข้อมูล : hbwellness

22 ตุลาคม 2552

15 วิธีโจรกรรมรถยนต์


สำหรับคนวัยทำงาน เมื่อกล่าวถึงปัจจัยที่ 5 ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตแล้ว เชื่อว่ากล่าวร้อยละ 70-80 ต้องนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า "ยานพาหนะ" (เด็กรุ่นใหม่บางคนสมัยนี้บอกว่า โทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่ 5 คอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่ 6 และ อินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยที่ 7 ต่างหาก) และก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง นอกจากบ้าน-ที่อยู่อาศัยแล้วสิ่งที่เรียกว่า "ยานพาหนะ" นั้นถือเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาค่างวดสูงติดอันดับต้นๆ โดยคนส่วนใหญ่จำเป็นต้องเก็บหอมรอมริบ ใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อเก็บเงินหรือผ่อนส่งรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อ "รถยนต์-รถจักรยานยนต์" กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งยังเป็นสังหาริมทรัพย์ที่สามารถเคลื่อนที่ไปยังแห่งและหนต่างๆ ได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ "สังหาริมทรัพย์" ประเภทนี้จึงตกเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของเหล่ามิจฉาชีพทั้งหลาย

ทุกวันนี้ การโจรกรรมรถยนต์ดูจะเป็นปัญหาอาชญากรรมสำคัญอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ยี่ห้อรถที่มีสถิติสูญหายมากที่สุด ในหมวดของรถยนต์ ได้แก่ "ฮอนด้า แจ๊ซ" รองลงมาคือ "ฮอนด้า ซิตี้" ส่วนรถกระบะ ได้แก่ "โตโยต้า วีโก้" ขณะที่รถจักรยานยนต์ได้แก่ "ฮอนด้า เวฟ" รองลงมาคือ "ฮอนด้า คลิก" และพื้นที่ที่มีรถหายมากที่สุดก็คือกรุงเทพมหานคร โดยเขตที่มีสถิติรถหายมากที่สุด ได้แก่ เขตบางกะปิ รองลงมาคือ ดินแดง ตามด้วย จตุจักร วังทองหลาง และคลองเตย ตามลำดับ

โดยสถานที่จอดประจำที่มีอัตราเสี่ยงรถหาย

อันดับ 1 ได้แก่ ที่จอดรถริมถนนและหน้าบ้านพักอาศัย
อันดับ 2 ได้แก่ ลานจอดรถของอาคารที่พักอาศัย ประเภท หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโด และแมนชั่น
อันดับ 3 ได้แก่ ลานจอดรถของการเคหะฯ

และแม้สถานที่จอดรถชั่วคราวจะมีอัตราการโจรกรรมรถน้อยกว่านั้นก็ไม่ควรประมาท โดยจากสถิติพบว่า สถานที่จอดรถชั่วคราวที่ว่าจัดเป็นพื้นที่เสี่ยง

อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถของตลาดสด
อันดับ 2 ได้แก่ ลานจอดรถห้างสรรพสินค้า
อันดับ 3 ได้แก่ ลานจอดรถของสถานบันเทิง และร้านอาหาร
อันดับ 4 ได้แก่ ลานจอดรถของศาสนสถาน เช่น วัด ศาลหลักเมือง
อันดับ 5 ได้แก่ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง หรือปั้มน้ำมัน
อันดับ 6 ได้แก่ สถานที่พักผ่อน ท่องเที่ยว สวนหย่อม และสวนสาธารณะ

นอกจากนี้ยังพบว่า มีสถานที่เสี่ยงซึ่งคนส่วนใหญ่คิดไม่ถึงว่าคนร้ายจะกล้าลงมือโจรกรรมรถยนต์ไป ได้แก่ ศูนย์บริการ อู่ซ่อมรถยนต์ สถาบันการศึกษา สมาคม บริเวณริมถนนซึ่งผู้ขับขี่จอดรถนอนหลับพักสายตา หรือแม้กระทั่งลานจอดรถใต้ทางด่วนฯ สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ รวมถึงโรงแรม

15 วิธีโจรกรรมยอดฮิต

สำหรับวิธีการที่คนร้ายใช้ในการโจรกรรมรถนั้น หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ ระบุว่าจากการรวบรวมข้อมูลพบว่าปัจจุบันคนร้ายมีวิธีการที่หลากหลายถึงประมาณ 70 วิธีเลยทีเดียว โดย 15 วิธีการโจรกรรมยอดนิยม ได้แก่

1.งัดหูช้าง คนร้ายจะใช้เครื่องมืองัดหูช้างออก แล้วเอามือล้วงเข้าไปเปิดสลักหรือค้นล็อกประตู เปิดประตูรถเข้าไป แล้วใช้ไขควงงัดกระปุกกุญแจสตาร์ทออก ต่อไฟตรง เพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

2.ใช้กุญแจปลอม คนร้ายจะทำกุญแจเลียนแบบกุญแจของรถชนิดที่ต้องการลักไว้หลายๆ ขนาด (รอยหยัก) แล้วเลือกลองใช้ทุกดอกที่ทำไว้ ถ้าเปิดประตูรถได้ คนร้ายก็จะเปิดประตูแล้วติดเครื่องยนต์ขับหลบหนีไป

3.ลอกแบบกุญแจ คนร้ายจะใช้วิธีสร้างความสนิทสนมกับเด็กบริการล้างอัดฉีดรถตามสถานบริการจำหน่ายน้ำมัน แล้วว่าจ้างให้เอาดินน้ำมันพิมพ์แบบกุญแจรถของจริงตามที่มีผู้สั่งซื้อไว้ โดยมีค่าจ้างในการจัดทำ คันละ 200-250 บาท โดยเด็กบริการล้างอัดฉีดจะเก็บแบบพิมพ์กุญแจดินน้ำมัน พร้อมจดหมายเลขทะเบียนรถคันนั้นไว้ให้ด้วย ต่อจากนั้นคนร้ายจะไปว่าจ้างร้านทำกุญแจทั่วไปทำกุญแจปลอมตามแบบพิมพ์ในราคาดอกละ 10-20 บาท เมื่อได้กุญแจแล้วก็จะออกตระเวนติดตามรถคันดังกล่าวเพื่อโจรกรรม

4.สร้างกุญแจ คนร้ายจะทำกุญแจในแบบและรูปทรงต่างๆ โดยไม่มีรอยหยัก ของรถตามชนิดที่ต้องการ (ระบุไว้ในใบสั่งซื้อ) แล้วเอาน้ำหมึกอินเดียอิงค์สีดำทาไว้ปล่อยให้แห้งสนิท เมื่อพบรถที่ต้องการคนร้ายจะเอากุญแจแบบรูปทรงที่ทำไว้สอดเข้าไปในรูกุญแจประตูรถแล้วบิดหมุน เพื่อให้เกิดร่องรอยที่น้ำหมึกอินเดียอิงค์ ดึงเอากุญแจออก นำไปเซาะร่องตามรอยที่ปรากฏอยู่ เมื่อวัดทำกุญแจเรียบร้อยแล้วคนร้ายก็จะออกติดตามรถคันนั้น เมื่อสบโอกาสก็จะทำการโจรกรรมทันที

5.ใช้ลวดเกี่ยวปุ่มล็อกประตูรถ รถบางชนิดที่ไม่มีหูช้าง คนร้ายจะใช้วิธีดึงกระจกที่บานประตูให้เผยอเพียงเล็กน้อย และถ้าเจ้าของปิดกระจกไม่สนิทก็ยิ่งเป็นโอกาสให้เกิดความสะดวกแก่คนร้ายมากขึ้น ต่อจากนั้นคนร้ายจะใช้ลวดทำเป็นห่วงที่ปลาย สอดเข้าไปดึงปุ่มล็อกประตูออก เปิดประตูเข้าไปในรถ ต่อไฟฟ้าสายตรง สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

6.ใช้ไขควงฉาก คนร้ายจะทำไขควงชนิดหน้าแบน ขนาดยาวประมาณ 1 ฟุต (รวมความยาวของด้าม) ที่ตอนปลายไขควง ตรงความยาวประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวไขควง ดัดงอเป็นมุมฉาก ใช้ปลายไขควงสอดเข้าไปในรูกุญแจประตูรถ งัดอย่างแรง กระปุกกุญแจประตูจะแตกและหลุดออกมา สามารถเปิดประตูรถ เข้าไปต่อไฟฟ้าสายตรง เพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

7.งัดฝาถังน้ำมัน มีรถหลายชนิดฝาถังน้ำมันอยู่ภายนอกและกุญแจเปิดฝาถังน้ำมัน กุญแจเปิดประตูรถ และกุญแจติดเครื่องยนต์ ใช้ดอกเดียวกัน คนร้ายจะใช้กุญแจเลื่อนขนาดใหญ่งัดเอาฝาน้ำมันไปทำกุญแจ โดยอาศัยร่องรอยจากรูกุญแจของฝาถังน้ำมัน เมื่อทำเสร็จแล้วจะได้ทั้งกุญแจสำหรับไขประตูรถ และติดเครื่องยนต์

8.ใช้น้ำกรด คนร้ายจะใช้น้ำกรดใส่ขวด และมีลูกยางหรือเข็มฉีดยาพร้อมหลอด ดูดน้ำกรดจากขวดน้ำไปหยอดหรือฉีดเข้าไปในรูกุญแจประตูรถ น้ำกรดจะเข้าไปทำลายช่องกุญแจ ทำให้สามารถเปิดประตูเข้าไปในรถได้ แล้วใช้วิธีต่อไฟฟ้าสายตรงเพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

9.เปิดกระจกหลังรถ คนร้ายจะใช้ไขควงงัดยางขอบกระจกหลังรถออก แล้วเปิดกระจกออกด้วยแรงดึงซึ่งกระทำด้วยความชำนาญ คนร้ายหรือลูกมือที่ใช้วิธีการนี้ส่วนใหญ่จะเคยเป็นช่างถอดหรือใส่กระจกมาก่อน เมื่อถอดกระจกออกได้แล้วจะมุดตัวเข้าไปในรถ แล้วใช้วิธีต่อไฟฟ้าสายตรง เพื่อติดเครื่องยนต์ แล้วขับรถหลบหนีไป

10.ใช้เหล็กเขี่ยสลักล็อกประตู คนร้ายจะทำเหล็กเป็นลักษณะแบนหรือกลม หรือใช้ไขควงตัวเล็กๆ แหย่เข้าไปในรูใต้หูจับเปิดรถ แล้วเขี่ยสลักล็อกประตูรถ เปิดประตูเข้าไปในรถ ใช้วิธีต่อไฟฟ้าสายตรง เพื่อติดเครื่องยนต์ ขับหลบหนีไป

11.ใช้กุญแจพิเศษ คนร้ายจะใช้เหล็กที่แข็งเป็นพิเศษทำเป็นหยักหรือร่องถี่ๆ มีขนาดความหนาเท่ากับกุญแจรถทั่วๆไป กุญแจพิเศษนี้มีความแข็งมากเป็นพิเศษ เมื่อใส่เข้าไปในรูกุญแจประตูรถแล้วบิดด้วยความแรง ความแข็งของกุญแจพิเศษจะงัดร่องในกุญแจประตูรถให้หักหรือไม่อยู่ในสภาพเดิม สามารถเปิดประตูเข้าไปในรถได้ ต่อไฟฟ้าสายตรงเพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

12.ใช้คีมบิดยวงกุญแจ คนร้ายจะใช้คีมคีบยวงกุญแจประตู อาศัยแรงบีบที่แน่นและมั่นคง บิดด้วยความแรงดึงเอายวงกุญแจประตูรถออกไป แล้วนำไปจ้างช่างทำกุญแจปลอม เพื่อโจรกรรมรถคันนี้ต่อไป

13.ใช้กลอุบายรับจ้างขับรถ คนร้ายจะใช้วิธีการง่ายๆ โดยไปรับจ้างเป็นคนขับรถตามสำนักงานจัดหางาน เมื่อได้รถแล้วก็จะขับรถให้นายจ้างประมาณ 6-7 วัน ได้โอกาสก็จะขับรถหลบหนีไป

14.จี้หรือชิงรถซึ่งหน้า คนร้ายประเภทนี้จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ปฏิบัติการครั้งละ 2 คน (ขับขี่ 1 คน และซ้อนท้าย 1 คน) ติดตามสะกดรอยรถตามใบสั่ง เมื่อเจ้าของรถหรือเหยื่อขับรถคนเดียวไปจอดหรือผ่านไปในเส้นทางที่เปลี่ยวหรือลับตาคน คนร้ายก็จะใช้วิธีขับรถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวรถของเหยื่อ เมื่อเหยื่อซึ่งเป็นเจ้าของรถหยุดรถเพื่อตรวจสอบความเสียหาย คนร้ายจะใช้อาวุธปืนหรือมีดปลายแหลมจี้ให้ลงจากรถ และส่งกุญแจรถให้ คนร้ายก็จะขับขี่รถเอาไปซึ่งหน้า ทิ้งผู้เสียหายไว้ในที่ เกิดเหตุ

15.มอมยาคนขับรถยนต์รับจ้าง คนร้ายจะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นแรก คนร้ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง จำนวน 4 - 5 คน จะไปว่าจ้างรถยนต์ (ตามใบสั่งที่ต้องการ) เพื่อไปเที่ยวในต่างอำเภอหรือจังหวัด เสร็จงานก็จะจ่ายเงินให้คนขับตามปกติ ขั้นที่สอง เป็นห้วงระยะเวลา 4 - 5 วันจากขั้นแรก คนร้ายชุดเดิมจะว่าจ้างรถไปเที่ยวเหมือนเดิมแต่จะนัดหมายกับคนร้ายพวกเดียวกัน 1 - 2 คน ไปรอ ณ. จุดที่กำหนดเพื่อรอรับรถ ขณะที่คนร้ายซึ่งเป็นผู้หญิงจะพยายามหาโอกาสในช่วงที่คนขับรถรับประทานอาหารร่วมกันใส่ยานอนหลับหรือยาชนิดอื่นที่ทำให้มึนเมาหมดสติลงไปในเครื่องดื่มหรืออาหาร เพื่อมอมคนขับรถให้หมดสติ ต่อจากนั้นก็จะส่งคนขับรถไปนอนที่โรงแรมซึ่งได้จองไว้ล่วงหน้า แล้วนำกุญแจรถให้กับคนร้ายซึ่งรออยู่แล้วขับรถหลบหนีไป ซึ่งวิธีการนี้ค่อนข้างจะเป็นวิธีใหม่ในการโจรกรรมรถ

http://www.manager.co.th/

21 ตุลาคม 2552

พระตรีมูรติเทวรูปแห่งความรัก

คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าหากบูชา ?พระตรีมูรติ? จะมีความหมายที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทั้งในชีวิต ความรัก และการงาน แต่ในปัจจุบัน ได้รับการเทิดทูนจนกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ ของการประทานความรัก โดยเทวรูป ?ตรีมูรติ? ที่อยู่หัวมุมด้านซ้ายของห้างเซ็นทรัลเวิลด์(เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เก่า) ตรงข้ามกับพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ มักจะมีหนุ่มสาวจำนวนมากไปสักการบูชาและขอพรเกี่ยวกับความรัก หรือการขอพรให้มีบุตร

การสักการะบูชา
เวลาในการสักการะ คือ ทุกวันพฤหัสฯ ช่วงเช้า 9.30 น. และอีกครั้งในช่วงกลางคืน 21.30 น. การสักการะให้นำเทียนสีแดงหรือสีเหลือง 1 เล่ม ธูปสีแดง 9 ดอก พร้อม พวงมาลัยดอกกุหลาบสีแดงไปด้วย อาจจะมีของสักการะอย่างอื่นไปเพิ่มก็ได้ แต่เน้นสีแดง ในขณะที่ขอพรให้เตรียมกระดาษจดสิ่งที่ต้องการขอพรจากท่านตรีมูรติลงไปอย่างละเอียด พร้อมกล่าวชื่อ นามสกุล รวมทั้งที่อยู่ของตนเองไปด้วย
บทสวดขอพรพระตรีมูรติ
สาธุ สาธุ สาธุ อุกาสะ
ข้าแต่องค์พระตรีมูรติที่ยิ่งใหญ่ข้าพเจ้านาย,นาง............................( บอกชื่อ นามสกุล และที่อยู่ )

กราบเบื้องบาทแด่องค์ท่านแล้ว พระองค์เคยประทานพรแด่ทวยเทพทั้งหลาย ผู้ปฎิบัติดี ผู้ปฎิบัติชอบทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้ามากราบเบื้องบาทแด่พระองค์ท่านแล้ว จึงขอพรจากพระองค์ซึ่งประทานไว้ ณ บัดนี้ ( .....ขอพร..... )

เตสัง อัมหากัง พรใดอันประเสริฐจงมาบังเกิดแด่ข้าพเจ้า

ตุมหากัง และจงบังเกิดแด่ผู้คุ้มครองข้าพเจ้าฑีฆายุกา มหาเดชา มหาปัญญา มหาโภคา มหายะสา มหาลาภา ปัญจวีสติภยันจะ ทวัตติงสะ ฉันนะวุฒิติโรคัญจะ โสระสะ อุบัติอันตรายยัญจะ อัยยัญติกะอันตรายยัญจะ พาหิระ อันตรายยัญจะ วิระหิตะวา โหตุ ยาวะชีวัง พระวิสตีติ( พระตรีมูรติ )

ควรขอพรจากองค์พระตรีมูรติในเรื่องที่ดีงาม ถูกต้องตามทำนองครองธรรม พรนั้นก็จะสัมฤทธิ์ผลตามต้องการ
ที่มา : http://www.naitam.com

19 ตุลาคม 2552

เพิ่มเนื้อที่ความจำให้สมอง


1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมอง ประกอบด้วยน้ำ 85 % เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ทำงานอยู่กับบ้าน

2. กินไขมันดี คน ไม่ค่อยรู้ว่าสมอง คือ ก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลัง จากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การ ตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรม เราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริง กับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่าง จึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุก ครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่ง ใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงาน และเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมอง ใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอา ออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%

ที่มา ladinaclub

16 ตุลาคม 2552

ธาตุใหม่ที่เพิ่งค้นพบ woman VS man

ชื่อธาตุ : WOMAN

สูตรทางเคมี : Wo + Ma + N

ผู้ค้นพบ : MAN

มวลอะตอม : มาตรฐาน 50 Kg แต่อาจแปรเปลี่ยนได้จาก 40-80 Kg

ลักษณะทั่วไป : คล้ายกันหมดหากอยู่ในเขตเมือง

คุณสมบัติทางฟิสิกส์

1. พื้นผิวส่วนใหญ่เคลือบด้วยสารหอมระเหย และน้ำมันบำรุงผิว
2. เดือดที่อุณหภูมิต่าง ๆ เอาแน่ไม่ได้
3. ถึงจุดเยือกแข็งทันทีทันใดโดยไม่รู้สาเหตุ และอาจอยู่ที่จุดเยือกแข็งได้เป็นอาทิตย์
4. หลอมละลายหากได้รับการเอาอกเอาใจถูกวิธี
5. มีรสเผ็ดและขมถ้าใช้ผิดวิธี
6. แปรเปลี่ยนได้หลายสถานะตั้งแต่แข็งเป็นหินจนถึงอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ
7. ไม่ทนต่อการเสียดสี กระแทก กระทั้น

คุณสมบัติทางเคมี

1. บ้างมีฤทธิ์เป็นกรด บ้างหวานกว่าน้ำตาล บ้างเปรี้ยวกว่ามะนาวบ้างเปรี้ยวอมหวาน
2. ทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับเพชร พลอย ทับทิม ทอง ดอกไม้ และสิ่งสวยงามทุกชนิด
3. ดูดซึมข่าวสารรอบตัวได้มากมายมหาศาล และคายข้อมูลข่าวสารได้รอบทิศทาง
4. อาจระเบิดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเหตุผลและอาการเตือนล่วงหน้า
5. มีคุณสมบัติละลายเงินในกระเป๋าเมื่อเดินผ่านห้างสรรพสินค้า
6. เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกับผลไม้รสเปรี้ยว ผัก สลัด และไม่เข้ากับไขมันทุกประเภท

ผลการทดลอง

1. วัตถุตัวอย่างจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเมื่อได้รับการสัมผัสอย่างถูกที่
2. วัตถุตัวอย่างจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อมีวัตถุตัวอย่างที่สวยกว่าวางอยู่ใกล้
3. วัตถุตัวอย่างจะส่งเสียงไม่หยุดเมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

ประโยชน์

1. แบกโลกไว้ครึ่งหนึ่ง
2. ดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์
3. ทำให้โลกสดใส
4. สร้างความอ่อนโยนให้เกิดในสังคมมนุษย์
5. สร้างความตึงเครียดให้เกิดในสังคมด้วย

ข้อควรระวัง

1. สัมผัสด้วยความประณีตและให้เกียรติ มิฉะนั้นอาจได้รับอันตราย
2. ครอบครองได้เพียงชิ้นเดียว ใครฝ่าฝืนจะเกิดอาการ สามเส้าดีซีส ทำให้ทุรนทุราย( โปรดใช้วิจารณญาณเป็นอย่างสูง ในการฝ่าฝืน เพราะไม่เพียงทุรนทุราย แต่ อาจมีอันตรายถึงชีวิต )
3. ระวังของปลอมซึ่งขณะนี้ได้ระบาดอยู่ทุกพื้นที่


ชื่อธาตุ : MAN

ลักษณะทั่วไป : มีความยาวโดยเฉลี่ย 170 ซ.ม แต่อาจแปรเปลี่ยนได้จาก 150-200 แล้วแต่ว่าพบในภาคใด

คุณสมบัติทางพันธุศาสตร์

1. เจริญเติบโตได้ดีในนิโคตินและแอลกอฮอล์
2. นิยมความรุนแรง
3. มีกลิ่นเหม็น ตามธรรมชาติ
4. เฉาง่าย หากไม่ได้รับการเอาอกเอาใจ
5. อยู่ไม่เป็นที่ หาตัวยาก
6. อาจเปลี่ยนไปได้หลายบุคลิก แล้วแต่สถานการณ์(ในทางภาษาศาตร์เรียกว่า \\\'กะล่อน\\\' )
7. การตอบสนองช้า ทนต่อการเสียดสีได้ดี
8. ความจำสั้น จดจำเรื่องในอดีตไม่ค่อยได้

คุณสมบัติทางเคมี

1. มีสารประกอบใช้ทำยาระบาย และยาเบื่อได้ดี
2. ทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับสิ่งสวยงามที่ผ่านหน้า
3. เปลี่ยนได้หลายสีตามแต่ถิ่นที่อยู่อาศัย
4. คุณสมบัติเปลี่ยนรูปทรงได้เมื่อพบตระกุลใกล้เคียง

การทดสอบ

1. ตัดเนื้อเยื่อมาวิเคราะห์ พบว่าส่วนใบหน้ามีความหนามากว่าส่วนอื่นๆ
2. เมื่อสุ่มจากตัวอย่างทดลองเลี้ยงพบว่า ชอบเกาะยึดกันและกันมากกว่า จะเจริญเติบโตด้วยตัวเอง
3. มีปฏิกิริยาหวาดกลัวต่อสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า \\\'เมีย\\\' แต่ถ้ามีพวกเดียวกันอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จะแสดงอาการต่อสู้ไม่ยอมแพ้เมียทันที
4. จะมีความสุขมาก เมื่อได้ส่งเสียงโอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง
5. กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง จะอ่อนตัวพ่ายแพ้ทันที ที่ประสาท ตาส่งสัณญาณภาพเพศตรงข้ามมาให้

ประโยชน์

1. สายพันธุ์ที่ดีหากนำมาไว้ในบ้าน เชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่ค่อยพบในประเทศไทย
2. เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา
3. เป็นยามเฝ้าบ้านที่ดี เอาไว้ป้องกันตัวก็ได้
4. เป็นพาหนะใช้แบกขนสัมภาระได้ดีในยามช็อปปิ้ง

ข้อควรระวัง

1. ควรเลี้ยงด้วยความระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจนอกลู่นอกทางได้
2. ไม่ควรให้อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เพราะจะยิ่งช่วยเร่งคุณสมบัติทางพันธุศาสตร์
3. ในตัวทดลองที่อายุมาก พบว่า มักมีอวัยวะลักษณะคล้ายงูยื่นออกมาจากศีรษะ และจะฉกอย่างว่องไวเมื่อมีสิ่งสวยงามอายุน้อยเดินผ่านมา
4. แพ้สารลลายบาง ชนิดได้แก่ คำพูดหวานๆ น้ำตา กิริยาออดอ้อนออเซาะ และสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า\\\'พริตตี้\\\'

08 ตุลาคม 2552

ความสุขกับเงิน


คุณทราบหรือไม่ว่า คน ๓ กลุ่มต่อไปนี้ ได้แก่

เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ มีอะไรบ้างที่เหมือนกันหรือเท่ากัน ?

ก)อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด

ข)สัดส่วนการมีโทรศัพท์มือถือต่อประชากร ๑,๐๐๐ คน

ค)อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน

ง)ความสุข

ถ้าคุณตอบข้อ ก)-ค) คุณก็ตอบผิดแล้ว คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ ง)

จากการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว พบว่าคนทั้ง ๓ กลุ่มข้างต้นมีความสุขกับชีวิตคิดเป็นคะแนนเท่ากัน คือ ๕.๘ (จากคะแนนเต็ม ๗) โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗

ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว

การค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า ความร่ำรวยมิใช่ปัจจัยหลักของความสุข จริงอยู่คนเราจะมีความสุขก็ต้องมีเงินหรือทรัพย์สมบัติ อย่างน้อยก็ต้องเกินระดับความยากจน ถ้ายังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น ก็ยากจะมีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้คนเร่ร่อนไร้บ้านในแคลิฟอร์เนียกับคนเร่ร่อนในกัลกัตตาจึงมีความ สุขแค่ ๒.๙ นั่นคือมีความสุขเพียงครึ่งเดียวของเศรษฐีอเมริกัน มองในแง่นี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า คนรวยมีความสุขมากกว่าคนจน

แต่เมื่อมีเงินหรือทรัพย์สมบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย คนอเมริกันและคนญี่ปุ่นมีรายได้สูงขึ้นและมีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วหลายเท่าตัว แต่น่าสังเกตว่าอัตราส่วนของคนที่บอกว่า “มีความสุขมาก” ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

ทำไมมีเงินมากขึ้นจึงไม่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น? เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เราชินชากับความร่ำรวยหรือสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วมาก วันแรกที่คุณได้รถคันใหม่ที่ขับนิ่มกว่าเดิมหรูหรากว่าเดิม แน่นอนคุณย่อมมีความสุข แต่เมื่อผ่านไปสัก ๓ เดือนหรือครึ่งปี คุณก็จะรู้สึกเฉย ๆ กับรถคันนั้นแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่ง ความสุขที่เคยเพิ่มขึ้นได้ลดมาสู่ระดับเดิมก่อนที่จะได้รถคันนั้น

คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว ถ้าให้ถูกจริง ๆ น่าจะพูดว่า “เงินเช่าความสุขได้” อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

มีความสุขอีกมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินเลย และสามารถอยู่ได้ยั่งยืนกว่า เช่น ความสุขท่ามกลางครอบครัวอันอบอุ่น ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตร ความสุขจากการชื่นชมธรรมชาติ ความสุขจากการเอื้อเฟื้อผู้อื่น รวมถึงความสุขจากการทำสมาธิภาวนาชาวอามิช ชาวอินุยต์ และชาวมาไซ อาจไม่มีโอกาสเสพสุขจากวัตถุได้มากเท่าเศรษฐีอเมริกัน แต่สิ่งที่ให้ความสุขแก่พวกเขาอย่างมากมายคือ สัมพันธภาพอันงดงามทั้งกับผู้อื่นและกับธรรมชาติ รวมทั้ง

ความสุขจากใจที่สงบเย็นความสุขจากเงินนั้นมีเสน่ห์ตรงที่เข้าถึงได้ง่าย แต่อะไรที่ได้มาง่ายนั้นไม่ค่อยยั่งยืน (ลองนึกถึงความสุขจากเซ็กส์และยาเสพติดเป็นตัวอย่าง) แต่ความสุขจากสัมพันธภาพและความสุขจากจิตใจอันสงบนั้น แม้จะเข้าถึงยาก แต่อยู่ได้ยั่งยืนกว่าอย่างไรก็ตามมีวิธีหนึ่งที่เงินสามารถให้ความสุขอย่างรวดเร็วและยั่งยืน (อย่างน้อยก็นานกว่าการเที่ยวห้าง) นั่นคือ บริจาคเงินให้แก่คนจนหรือผู้ทุกข์ยาก รอยยิ้มของเขาสามารถทำให้คุณอิ่มเอิบไปได้นานทีเดียว
ที่มา : teenee.com

06 ตุลาคม 2552

9 วิธีรู้สึกดีกับตัวเอง

มีเคล็ดลับอยู่หลายข้อที่จะช่วยให้ผู้หญิงเรารู้สึกดีๆ กับตัวเองได้ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะสูงต่ำดำขาวประการใด มาดูกันค่ะ

1.หยุดพูดถึงความอ้วน
คนเราถ้าเริ่มต้นคิดถึงเรื่องไหนๆ ในด้านลบ ก็มักจะจบลงด้วยความไม่ดีของตัวเอง อย่าย้ำเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไมฉันอ้วนอย่างนี้นะ อย่าเสียเวลาบ่นซ้ำซาก มันจะฝังลงในใจจนเรารู้สึกไม่ชอบตัวเอง สนใจในเรื่องสบายอกสบายใจดีกว่า เวลาทักกันเลิกทักว่าทำไมดูอ้วนขึ้นหรือผอมลงเสียทีก็ดีค่ะ

2.อย่าส่องกระจกนานไป
นักเขียนวัย 36 ปีคนหนึ่งบอกว่าชอบทำโยคะ เพราะไม่มีกระจกในห้องโยคะ จะได้ไม่ต้องเห็นรูปร่างของตัวเอง เธอไม่ได้ออกกำลังเพื่อลดความอ้วน แต่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีขึ้น ถ้ายังมีกระจกอยู่ก็คงมัวแต่มองหุ่นของตัวเองว่าอ้วนแค่ไหน

3.เลิกอดอาหาร
วันที่ 6 พฤษภาคม เป็นวัน No Diet Day สากล มีสโลแกนว่า "การคิดถึงเอวเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับจิตใจ" และ "ชีวิตคืองานเลี้ยงฉลอง ไยฉันจึงต้องมาอดอยาก"

4.มองโลกในแง่ผอม
งานวิจัยหนึ่งของมหาวิทยาลัย Brock ใน Ontario สหรัฐฯ บอกว่า ผู้หญิง 31 เปอร์เซ็นต์ที่น้ำหนักปกติดีสุขภาพสมบูรณ์ คิดว่าตัวเองหนักเกินไป เปรียบเทียบกับผู้ชาย มีอยู่แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ที่คิดว่าตัวเองมีน้ำหนักเกิน เราต้องหยุดวิเคราะห์รูปร่างใครๆ รวมทั้งตัวเองเสียที

5.ใส่เสื้อผ้าที่ให้ความมั่นใจ
ผู้หญิงวัยร้อยปีคนหนึ่งบอกว่า การสร้างความประทับใจไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นการสวมเสื้อผ้าที่มั่นใจ จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจโดยเฉพาะชุดเก่ง(คงต้องเชื่อเธอบ้างเพราะเธอผ่านชีวิตมาน านขนาดนั้น!)

6.พูดดีๆ กับตัวเอง
ถ้ามีคนพูดกับเราว่า "เธอน่ะอ้วนจะตาย คางเป็นชั้น อกนิดเดียว ก้นงี้ใหญ่เป็นกระจาด" คงแทบจะถลาไปบีบคอเขาใช่ไหมคะ ฉะนั้นก็ต้องหัดพูดกับตัวเองดีๆ ด้วยเหมือนกัน จะได้รู้สึกดีกับตัวเอง

7.เลิกชั่งน้ำหนัก
เราเข้าใจไปในทางเดียวกันว่า เครื่องชั่งน้ำหนักเป็นตัวคอยเตือนว่าเราน้ำหนักเกินไปหรือยัง แต่ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามันยิ่งทำให้เรากังวลกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปสักโลฯ สองโลฯ เกินเหตุ ทั้งที่ดูด้วยตาเปล่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

8.เลิกปลื้มภาพตัวเองในอดีต
ภาพสาวเอวบางร่างน้อยในอดีตอันไกลโพ้นของเราก็ดีอยู่ที่ทำให้ปลื้มได้ไม่รู้จบ แต่อย่าติดอยู่กับอดีตให้มันตามมาหลอกหลอนจนเราหมดความสุขในปัจจุบัน

9.แต่งตัวเพื่อตัวเอง
ไม่ต้องเชื่อฟังข้อแนะนำความงามอยู่ตลอดเวลาหรอกค่ะ เรามักจะแนะนำว่าถ้าจะดูดีต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ห้ามใส่อย่างโน้นอย่างนี้ แม้ทำแล้วจะสวยขึ้นจริงๆ ก็ช่างมันบ้าง สนุกกับชีวิตดีกว่า

หลังจากอยู่ในกองข้อมูลเพียบขนาดนี้ ดิฉันเริ่มมองตัวเองในมุมใหม่ แม้ยังไม่เชี่ยวชาญดี แต่เริ่มรู้สึก...สวยขึ้นอีกนิดแล้วละสิ

จาก: นิตยสาร Teens & Family