14 ธันวาคม 2552

คิดบวก รู้จักพอ


คำของอี้หมิงที่กล่าวเอาไว้ว่า
"สำหรับผู้ที่รู้จักพอ แม้จะยากจนข้นแค้นก็ยังมีความสุข ผู้ที่ไม่รู้จักพอแม้จะร่ำรวยมียศถาบรรดาศักดิ์ก็ยังมีความทุกข์"


หากต้องการมีความสุข จะต้องมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเป็นและมีอยู่
สามารถชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันได้ โดยไม่คิดน้อยใจหรือคิดว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่า


ผู้ที่จะมีความสุขได้นั้นคือผู้ที่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี
ขอเพียงแต่มีความพยายามในการทำให้ประสบความสำเร็จก็เพียงพอ
ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับสิ่งที่ไม่สามารถจะหามาได้ และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด


ไม่หวังผลเลอเลิศจนเกินความสามารถของตนเอง
รู้จักกำหนดขอบเขตของความปรารถนา


สิ่งใดที่ควรได้ควรมี ก็จงพยายามทำให้สำเร็จ
สิ่งใดเกินกำลัง ก็จงยอมรับว่าแม้ยังไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ ก็จะหาหนทางในคราวต่อไปเมื่อโอกาสมาถึงพร้อม


และที่สำคัญก็คือ
อย่าหาทุกข์ใส่ตัว ใช้ชีวิตอย่างราบเรียบสมถะ มีความขยันอดทน
และไม่อายทำกิน อย่าก่อหนี้ก่อสินเพิ่มขึ้นดั่งพุทธภาษิตสอนใจให้คิดว่า


"เข้านอนโดยไม่มีอาหารค่ำ ดีกว่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับมีหนี้สิน"
เพราะการมีหนี้สินมากเกินไป อาจสร้างปัญหาในระยะยาว จนไม่อาจจะลืมตาอ้าปากได้ในโอกาสต่อไป

ที่มา : teenee.com

07 ธันวาคม 2552

สติ๊กเกอร์หลังรถสิบล้อ


- บินได้ ตูบินไปแล้ว


- อย่าดื่มเหล้าขณะขับรถ เพราะจะทำให้เหล้าหกเสียของ


- การขับรถทำให้ประสิทธิภาพในการดื่มสุราน้อยลง


- คำเตือน "ห้ามดื่มสุรา ขณะมึนเมา"


- เมาไม่ขับ จะกลับยังไง


- เมาเหล้าเสียหลัก เมารักเสียใจ


- เมาไม่ขับ เพราะกลับไม่ถูก


- ถนนคือการศึกษา ใบสั่งคือปริญญา


- รถติดคือมรดกไทย อนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลาน


- เศษแก้วมันบาดคน คำพูดของเศษคนมันบาดใจ


- ถึงจะขับ 10 ล้อ แต่ก็ได้หมอเป็นเมีย


- เหงื่อทุกหยด เพื่ออนาคตน้องเมีย


- จำกัดความเร็ว 180 กม./ 3 ชั่วโมง


- จ่ายเฉพาะด่านรู้ใจ


- อยู่บ้านเมียด่า ออกมาจ่าจับ


- ถ้ารีบ ทำไมไม่ไปตั้งแต่เมื่อวาน


- เห็นตูเป็นลาว จับเช้า จับเย็น


- ห้ามยกเล่น


- กินลูกเดียว เที่ยวสองลูก


- ใช้หนีราชการเท่านั้น


- รถจะขับ...โทรศัพท์ก็จะคุย..ถุยย


- ใช้ในราชการ (ก็) เท่านั้น


- อย่าโบกเลยจ่า พกมาแค่สองร้อย


- ขออภัย รถคันนี้ไม่มีเบรค


- คันเร่งอยู่ไหนวะ!!!


- หัวล้านห้ามแซง


- อดีตเคยแรง


- ขับเร็วชิดซ้าย ขับไวชิดขวา


- ทุกอย่างดังหมด ยกเว้นเครื่องเสียง


- อุบัติเหตุป้องกันได้ ถ้าให้เธอนั่งข้าง


- เหยียบเบรกคิดถึงเมีย เข้าเกียคิดถึงเธอ


- แอบแซง เพราะแรงน้อย


- โกรธอ๊ะป่าววว ถูกรถเก่าแซง


- วันนี้ไม่แรง ให้แซงไปก่อน


- มือใหม่หลบไป มือเก่าจะแซง


- หมาเห่ายังบุบ


- ไม่มีท่านเราอด ไม่มีรถท่านเดิน


- นางฟ้าอยู่ในรถ แม่มดอยู่ที่บ้าน


" ยาบ้ามันขม ดูดนมดีกว่า "


" ตากแดดตากลม เพราะ( . )( . )สองเต้า "


" เห็นงานเป็นลม เห็นนมสู้ตาย "

ข้อคิดท่าน ว.วชิรเมธี รายการวู้ดดี้


เชื่อว่า เมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (4 ต.ค.) หลาย ๆ คน ที่ได้รับชมรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย คงได้ความประทับใจ และอิ่มเอมใจจากคำตอบ คำสอน แนวคิดคม ๆ ของท่าน ว.วชิรเมธี แน่นอน เพราะหลาย ๆ คำพูดของท่านเรียบง่าย สั้น ๆ ได้ใจความ คมกริบ บาดลึก กินเข้าไปในจิตใจหลาย ๆ คน และเชื่อว่าหลาย ๆ คน คงอยากได้สดับรับฟังคำสอนอันคมคายเหล่านั้นอีกครั้ง วันนี้กระปุกดอทคอมเลยไม่พลาดที่จะรวบรวมหนึ่งในหลายร้อยคำสอนดี ๆ ของท่าน ว.วชิรเมธี ที่ท่านได้กล่าวในรายการ มาให้ได้อ่านกันค่ะ

เริ่มต้นด้วยคำถามแรก ซึ่งก็คมกริบตามสไตล์วู้ดดี้เกิดมา (เพื่อ) คุยจริง ๆ กับคำถามที่ว่า มีหลายคนบอกว่า วู้ดดี้ไม่เหมาะกับการสัมภาษณ์พระภิกษุ ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธี ก็ตอบกลับไปได้อย่างคมคายว่า เอาอะไรมาวัดว่าไม่เหมาะสม บางครั้งการเป็นพระ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เสมอ บางครั้งที่ท่านรับชมรายการ ท่านบอกว่าให้ข้อคิดที่ดีกว่าพระบางรูปเทศน์เสียอีก ซึ่งหากก้าวข้ามรูปลักษณ์ เจาะเข้าไปที่เนื้อหา เราก็จะเห็นความเหมาะสมเอง

เมื่อคุณวู้ดดี้ถามต่อว่าการเดินทางไปไหว้พระ เข้าวัดเข้าวา ตามที่คนว่าดังบ้าง ศักดิ์สิทธิ์บ้าง ท่านก็ตอบกลับด้วยคำสอนดี ๆ ว่า “ไหว้พระตามแนวพุทธ ไหว้ด้วยใจ มีคนชวนเข้าวัด เป็นบุญมากดีกว่าชวนเข้าผับเข้าบาร์ ซึ่งจะทำให้เกิดทุกข์ทีหลัง” ทำเอาคุณวู้ดดี้ถึงกับอ้าปากค้าง และท่าน ว.วชิรเมธี ก็สอนกลับมาอีกครั้งว่า
คนก็เหมือนผลไม้ มีสุข(สุก) ก็ต้องมีทุกข์(หง่อม) เหมือนผลไม้นั่นเอง

และในระหว่างที่ ท่าน ว.วชิรเมธี เดินนำชมสถานที่ปฏิบัติธรรมของท่าน คุณวู้ดดี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจและได้ถามออกไปว่า หากห้ามเราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในสถานที่ธรรม แล้วการที่เราเหยียบมดบนดินที่เราก้าวย่างไปนี่ล่ะบาปไหม ท่าน ว.วชิรเมธี ตอบกลับมาว่า
“กรรมไม่มี บาปไม่มี หากไม่ได้เจตนา ให้ดูที่เจตนาเป็นสำคัญ”

แล้วคุณวู้ดดี้ก็ยิงคำถามต่อมา เรื่องการดูหมอท่านคิดเห็นอย่างไร ท่าน ว.วชิรเมธี ก็สอนว่า ไม่ มีใครจะรู้เรื่องของเรา ดีไปกว่าตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องหาหมอดู ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ท่านไม่เชื่อเรื่องหมอดู แต่ท่านเชื่อ กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎที่บอกว่า ชีวิตเราจะเป็นอะไร ยังไง ขึ้นอยู่กับตัวเรา และท่านยังย้อนถามกลับมาว่า หมอดูที่ไปดูเขาน่ะ เจ้าตัวเขาอนุญาตไหม หากไม่อนุญาต ก็เท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็ทำเอาคุณวู้ดดี้ถึงกับอึ้งอีกครั้ง

พอกล่าวถึงการห้อยพระ ที่คนนั้นคนนี้บอกว่าแขวนพระองค์นี้สิดี แคล้วคลาดจากอันตราย ปลอดภัย คุ้มครองเรา ท่านกล่าวเชิงว่า “งั้น กฎแห่งกรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นหมัน แสดงว่าการห้อยพระไปง้างกับกฎแห่งกรรม ทำอะไรไว้แค่ไหนไม่ต้องรับกรรม เพราะมีพระคุ้มครองใช่ไหม” คุณวู้ดดี้เลยโยงถึงเรื่อง ธุรกิจพิมพ์พระ ซึ่งท่านกล่าวว่า “บาป ไม่บาป ให้วัดที่เจตนา หากมีเจตนาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่บาป แต่หากทำเพื่อเม็ดเงินเป็นหลัก ก็เห็นจะไม่สมควร”

มาถึงเรื่องการแก้กรรม ที่กำลังเป็นประเด็นฮอตฮิตในปัจจุบัน ท่านก็ให้คำเตือนสติว่า “คนไทยชอบแก้กรรม เหมือนเราถูกมัดไว้แล้วต้องมานั่งแก้ กรรมคือตัวความคิดของเรา ง่ายนิดเดียวคือการเปลี่ยนความคิด” และท่านเสริมว่า หลายสิ่งหลายอย่างพิสูจน์ไม่ได้ในห้องแล็บ ของพวกนี้ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยปัญญา สิ่งสำคัญไม่ใช่โลกหน้ามีรึไม่มี แต่โลกนี้มีอยู่จริงและเราใช้ชีวิตอย่างไร

แล้ว คุณวู้ดดี้ ก็วกกลับมาถามเรื่อง พุทธพาณิชย์ อีกครั้ง ในเรื่องของการพิมพ์หนังสือธรรมะจำหน่ายหรือเผยแพร่ ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า เราต้องดูที่เจตนา หากเจตนาทำไปเพื่อดำรงคงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา เผยแพร่คำสอนดี ๆ ธรรมะดี ๆ อย่างนี้ไม่ถือเป็นพุทธพาณิชย์ ถือเป็นการสืบทอดพระศาสนา หากแต่ทำไปเพื่อหวังผลกำไร ก็กลายเป็นพุทธพาณิชย์ไปเท่านั้นเอง แล้วคุณวู้ดดี้ก็ยิงคำถามต่อ เป็นคำถามที่คุณวู้ดดี้เองก็สงสัยเป็นอย่างมาก เรื่องค่าตัวในการเชิญท่านไปแสดงพระธรรมเทศนา ต้องติดต่อที่ใคร ท่านมีสังกัดหรือไม่ ท่านคิดค่าตัวเท่าไร ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธี ก็ตอบกลับมาว่า ท่านเป็นพระ เป็นนายตัวเอง ไม่มีสังกัด เรื่องปัจจัยอย่าถาม นิมนต์เท่าไรก็เท่านั้น ปัจจัยที่ท่านได้มา ก็นำไปเป็นปัจจัยเพื่อการศึกษา นำไปให้กับเด็กที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา นำไปเพื่อเป็นปัจจัยค่าเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร ซึ่งตอนนี้ก็มีเด็กและสามเณรได้ทุนการศึกษากว่าพันคนและรูปแล้ว ซึ่งก็ถือได้ว่า คนที่เชิญท่านไปเทศนาและให้ปัจจัยกับท่านมา ได้ทำบุญใหญ่ ได้ให้โอกาสคน ได้ให้การศึกษาคนที่ไม่มีโอกาส

หลังจากนั้น คุณวู้ดดี้ ก็ได้กล่าวถึงข้อความที่ผู้ชมทางบ้าน ได้ส่งเข้ามาผ่านทวิตเตอร์ของคุณวู้ดดี้ เพื่อให้คุณวู้ดดี้ได้ถามกับท่าน ว.วชิรเมธี ดังนี้

1. ถ้าเราไม่เคารพพระที่เราไม่ชอบ เพราะประพฤติมิชอบ บาปไหม

ท่านตอบว่า “ถ้า ไม่มีความดีให้เราเคารพ ก็ไม่ควรเคารพ ไม่เสียหายอะไร คนเราจะเคารพคนที่สูงกว่าเรา ดีกว่าเรา เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไปเคารพคนที่ไม่ควรเคารพ อันนี้บาป”

2.ถ้านำแกนนำเหลือง-แดงมาให้ท่านเทศน์ ท่านจะเทศน์อย่างไร

ท่านฝากไว้สองข้อว่า 1. อย่าเห็นแก่ตัว จนไม่เห็นหัวประเทศไทย 2. ต้องยอมถอย เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า การถอย ไม่ได้หมายถึงถอยหลังเพียงอย่างเดียว อาจจะถอยไปข้างหน้าเสียด้วยซ้ำ และท่านยังกล่าวอีกว่า การมีนักการเมืองที่ทุจริต คอร์รัปชั่นในวันนี้เป็นเรื่องดี เพราะจะได้เป็นบทเรียนแก่คนในรุ่นหลัง เพื่อที่จะได้ไม่มีนักการเมืองประเภทนี้ เข้ามาดูแล ปกครองบ้านเมืองอีก ถือเป็นโชคดีที่คนไทย ได้เข้าห้องเรียน มาเรียนรู้พร้อมกัน

เมื่อคุณวู้ดดี้ถามท่านถึงเรื่องอาการจิตตกของคนในยุคปัจจุบัน ท่าน ว.วชิรเมธี ก็ตอบว่า จิตตกก็ยกจิต ต้องออกจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น หาหนังสือธรรมะอ่าน ท่านยังเสริมอีกว่า การคบเพื่อนดีเป็นกัลยาณมิตร ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงจิตตกไปได้ หากเจอเพื่อนที่ไม่ดีก็อาจจะจิตตก และทำเรื่องไม่ดีไปมากกว่าเดิมก็ได้

และ ท่าน ว.วชิรเมธี ก็นำทางคุณวู้ดดี้ เดินขึ้นไปบนยอดเขา เพื่อไปกราบไหว้หลวงพ่อยิ้ม ซึ่งระหว่างที่คุณวู้ดดี้ได้กราบอธิษฐานขอพรอยู่นั้น ท่าน ว.วชิรเมธี ก็ได้สอนว่า “มาหาพระพุทธเจ้าอย่าขอ แต่บอกว่า พระพุทธองค์จะเป็นต้นแบบของเรา ท่านมีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ การลงมือทำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

คำถามต่อมา คุณวู้ดดี้ถามว่า ใครคือต้นแบบของท่าน ว.วชิรเมธี ท่านก็ตอบว่า …

หนึ่งคือ พระพุทธเจ้า

สองคือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการคิดนอกกรอบ กล้าคิดกล้าทำ ยินดีที่จะพูดความจริงโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย

สามคือ พระพรหมคุณาภรณ์ ผู้ที่มีความแม่นยำในพระธรรมวินัย ท่านเป็นพระที่ไม่ได้จบจากนอก แต่ท่านสามารถสอน ที่ ม. Harvard ได้

สี่คือ หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่าน ว.วชิรเมธี เจริญรอยตามหลวงพ่อชา จนมีอาศรมอิสรชน

ห้าคือ ท่านดาไล ลามะ ที่มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมดีเลิศ ท่านเป็นพระที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวโลก จนชาวโลกรู้สึกได้

และสุดท้าย ท่านติช นัท ฮันท์ พระชาวเวียดนาม

สำหรับคำถามต่อมาเกี่ยวกับเรื่องกิเลส พูดถึงกิเลสที่ทำให้เกิดความอยาก ท่าน ว.วชิรเมธี ก็กล่าวว่า “ความอยากมี 2 อย่าง หนึ่ง อยากเพราะถูกกดดันด้วยตัวกิเลส และสอง อยากเพราะถูกผลักดันโดยปัญญา อย่างหลังเป็นความอยากที่ถูกต้อง” ยกตัวอย่างจากการที่คุณวู้ดดี้กล่าวว่า ถ้าอยากเป็นนายกฯ เพราะอยากโกงกิน นั่นเป็นเพราะความอยากเพราะตัณหา แต่ถ้าคุณวู้ดดี้อยากเป็นนายกฯ เพราะต้องการมาพัฒนาบ้านเมือง นั่นเป็นความอยากที่มาด้วยปัญญา ซึ่งเป็นกิเลสที่ถูกต้อง

และคำถามสุดท้ายเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ซึ่งหลาย ๆ คนบอกว่า เป็นคำถามที่ไม่สมควรถามพระ แต่คุณวู้ดดี้เชื่อว่า ท่าน ว.วชิรเมธี จะมีคำตอบที่ดีและให้ข้อคิด คำถามก็คือ พระเป็นเพศชาย พระจะระงับอารมณ์ทางเพศได้อย่างไร ท่านตอบว่า ความสุขทางเพศรสเป็นความสุขขั้นต่ำของบันไดความสุข กามอารมณ์เกิดจากความคิด ถ้าเราไม่ต่อยอดความคิด ความรู้สึกทางกามอารมณ์ก็ไม่มีตัวตน แล้ว ท่านอธิบายขั้นของความสุขไว้ว่า … ปัญญาสุข คือ ความสุขจากการแสวงหาปัญญา สมาธิสุขคือความสุขจากการนั่งสมาธิ ทำจิตให้สงบ สารแห่งความสุขจะแผ่ไปทั่วร่าง และความสุขสุดยอดคือนิพพานสุข บรรลุมรรคผล เป็นความสุขตลอดกาล เป็นความสุขที่ปราศจากกิเลสทั้งปวง

ที่มา : kapook.com

28 พฤศจิกายน 2552

10 เทคนิคไม่ให้แบตเตอรี่ BB หมดเร็ว



กระแสแบล็คเบอรี่ (BlackBerry) สุดฮ็อตแห่งยุคกำลังอินสุดสุดเอไอเอส โดย สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส เอาใจสาวก BB ด้วยการจัดเวิร์กช็อป "AIS BlackBerry Day" รวมพลคนรักแบล็คเบอรี่ ร่วมอัพเดตทริกการใช้งาน BB คู่กาย โดยกูรูเชี่ยวชาญ ที่โรงแรมพูลแมน เมื่อเร็วๆ นี้ ... เราสรุปย่อๆ ไว้ให้อ่านกันแล้ว

แนะนำข้อปฏิบัติง่ายๆ เพื่อการประหยัดแบตเตอรี่ ได้แก่ เรื่องของไฟแบ๊คไลท์สามารถช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ถึง 40% โดยตั้งค่าปรับลดความสว่างลง-ให้หมดระยะเร็วขึ้น-หรี่ลงแบบอัตโนมัติ และปิดสัญลักษณ์แสดงความครอบคลุมไฟ LED ทั้งควรตั้งค่า ปิดเสียงปุ่มกด, ปิดเสียงหมุนบอล, ลดจำนวนครั้งของเสียงเตือน, ลดจำนวนครั้งของการสั่น เพื่อช่วยยืดการชาร์จไฟได้ จากทุกวันเป็น 2-3 วัน/สัปดาห์ หรือคนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานก็อาจใช้ได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์

บางคนที่ใช้ BB อาจจะมีปัญหาเครื่องช้าอยู่บ่อยๆ แก้ไขได้โดย เลือกลบแอพพลิเคชั่นที่ไม่รู้จัก หรือไม่ได้ใช้งานออกไปก่อน อย่าเสียดาย เพราะการเพิ่มแอพลิเคชั่นใหม่ๆ เข้าไปนั้นทำได้ง่ายหลายวิธี หลังจากลบแล้วควร Reboot เครื่องใหม่ทุกครั้ง เพื่อให้เครื่องจัดการเคลียร์ขยะที่ตกค้างออกไป หลังจากการใช้งานเบราเซอร์ หรืออินเตอร์เน็ตแล้ว หลายคนกดปุ่มวางสายทันทีเพื่อออก ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะระบบยังทำงานอยู่ วิธีที่ถูกจึงควรกดที่ Menu และ Close ก่อนทุกครั้ง ซึ่งเครื่อง BB มีการบันทึกทุกอย่างที่ใช้งาน จึงต้อง Clear Log หรือลบประวัติการใช้งาน โดยกด Alt ค้างไว้ และกด LG จนกว่า List ทั้งหมดขึ้นมาและ Delete ทิ้งทั้งหมด วิธีนี้มีส่วนช่วยให้เครื่องเร็วขึ้น ส่วน Short Cut ช่วยให้สะดวกรวดเร็ว ใช้บ่อยก็เช่น คุณสาวๆ ที่พกไว้ในกระเป๋าสะพายสามารถล็อคปุ่มกดง่ายๆ ด้วยการกด A ค้างไว้ หรืออยากแสดง Pin ของเครื่องไว้แลกกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็วก็ให้กด Alt + Shift + H หรือระหว่างการพิมพ์ 2 ภาษา ก็สามารถกด Alt + Enter เพื่อเลือกภาษาได้ง่ายดาย หรือ Restart เครื่อง ด้วยการกด Alt + Shift + Delete เป็นต้น
10 เทคนิคไม่ให้แบตเตอรี่ BB หมดเร็ว

1.ลดความสว่างของไฟแบ๊คไลท์โดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Backlight Brightness > 10

2.ลดไฟแบ๊คไลท์หมดระยะเวลาโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Backlight timeout -> 20sec

3.เปิดไฟแบ๊คไลท์หรี่ลงโดยอัตโนมัติโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Auto Dim Backlight > ON

4.ปิดสัญลักษณ์แสดงความครอบคลุม LED โดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > LED coverage indicator > OFF

5.ปิดเสียงปุ่มกดโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Key tone > OFF

6.ปิดเสียงหมุนบอลโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Audible roll > OFF

7.ปิดไม่สั่น+เสียงนอกซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task โดยเข้าเมนู Profiles >
Advanced > (Active) > Out of Holster > OFF

8.ลดจำนวนเสียงบี๊บนอกซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task .. เข้าเมนู Profiles > Advanced > (Active) > Number of Beeps > 1

9.ลดจำนวนครั้งที่สั่นนอกซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task ?เข้าเมนู Profiles > Advanced > (Active) > Number of Vibrations > 1

10.ลดจำนวนเสียงบี๊บในซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task ?เข้าเมนู Profiles > Advanced > (Active) > Number of Beeps > 1


ขอบคุณข้อมูล : เอไอเอส

25 พฤศจิกายน 2552

โรคชอบเปรียบเทียบ


การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรามักจะอยากรู้ว่าคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อนฝูงของเราได้ดิบได้ดีไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เขาขับรถอะไร ได้ตำแหน่งระดับไหนแล้ว ลูกๆ ของเขาเรียนโรงเรียนอะไร สอบเข้าอะไรได้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเราเองว่าเราดีกว่าหรือด้อยกว่า และก็เป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะดีกว่าคนอื่น แต่หลายๆ ครั้งการเปรียบเทียบทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น

ความรู้สึกแบบนี้มักเกิดเมื่อเราเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีดีมากกว่าเรา โดยเฉพาะเป็นการมีในสิ่งที่เราอยากมี แต่ยังไม่มี หรือยังมีไม่พอ และโดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่าคนคนนั้นเป็นคู่แข่งด้วย เช่น เราคงไม่รู้สึกด้อยเวลาได้ข่าวนักเรียนไทยได้เหรียญทองชีวโอลิมปิค เราชื่นชมว่าเขาเก่ง แต่ความรู้สึกอาจต่างกัน ถ้านักเรียนคนนั้นเป็นลูกของญาติของเรา และเรียนชั้นเดียวกับเรา



เราเปรียบเทียบตัวเราในปัจจุบันกับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ก่อนเราอาจจะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจแต่เดี๋ยวนี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนเราอาจเคยเรียนเก่งมากแต่เดี๋ยวนี้ด้วยปัญหาต่างๆ ทำให้เราเรียนได้แค่ปานกลาง แต่ก่อนเราเคยมีเงินมากมายแต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้เรามีหนี้มากมาย ถ้าเราหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้เราก็จะรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเรากำลังตกอับ และมักจะคิดไปเองว่าคนอื่นก็มองว่าเรากำลังตกอับด้วย

เราเปรียบเทียบปัจจุบันกับความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เช่น อยากมีบ้านสวยๆ แต่ก็ยังไม่มีสักทีทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่น

หลายๆ ครั้งเราก็อยู่ของเราดีๆ แต่คนอื่นชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งแล้วก็มาตัดสินว่าเราด้อยกว่า และมาพูดให้เราได้ยินด้วย เช่น บรรดาแม่ๆ มักจะเอาลูกของคนอื่นที่เรียนเก่งมาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองแล้วบ่นให้ลูกฟัง เพราะหวังจะกระตุ้นให้ลูกเกิดความมานะ เอาอย่างคนเก่งๆ นั่น แต่ลูกอาจกลับเกิดความรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าคนอื่น บางครั้งการที่คนอื่นเอาเราไปเปรียบเทียบ แล้วมาพูดให้เราได้ยิน อาจเป็นการเหน็บแนมไม่ใช่ความหวังดีแบบนี้ก็ได้

การเปรียบเทียบนั้น บางครั้งก็ช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นมา ถ้าเรารู้สึกด้อยกว่าแล้วเราพยายามปรับปรุงตนเอง หรือเมื่อเราอยากเป็นแบบบุคคลที่เราชื่นชมแล้วพยายามพัฒนาตนเอง หรือพยายามเอาชนะคำสบประมาทของคนอื่น แต่ถ้าการเปรียบเทียบทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งแทนที่จะพยายามปรับปรุงตนเอง หรือยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้มีอย่างคนอื่นเขา แบบนี้ท่าทางเราจะเกิดภาวะการเปรียบเทียบที่เป็นพิษเสียแล้ว

การพบว่าจริงๆ แล้วเราด้อยกว่าคนอื่นนั้นเป็นความเจ็บปวด แต่การเปรียบเทียบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เกินจริง และเป็นไปในแง่ลบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเรากำลังเจ็บปวดจากการเปรียบเทียบอยู่ให้ลองถามตัวเองว่า กำลังเปรียบเทียบอะไร เช่น ความสวย ความเก่ง ความรวย ความเด่นดัง ฯลฯ เพราะบางครั้งเราจะ "มึน" แยกประเด็นไม่ออกแล้วสรุปรวมว่าตัวเราโดยรวมทั้งหมดนั่นแหละที่ด้อย สู้เขาไม่ได้ ข้อมูลแม่นแค่ไหน รู้แน่หรือเดาเอา เรารู้แน่แล้วหรือรถที่เขาขับน่ะ ใช่รถของเขา เพื่อนเราไปเรียนเมืองนอกเพราะเก่งหรือเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้

เรารู้หมดทุกแง่ทุกมุมหรือยัง? หรือเห็นแต่แง่ดีของเขาเพียงด้านเดียว เวลาเห็นคนที่ร่ำรวยเรามักคิดว่าเขาคงจะมีความสุข ที่จริงแล้วคนที่ร่ำรวยไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขเสมอไป คนที่มีแฟนแล้วหรือคนที่ "ขายออก" แต่งงานแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขมากกว่าสาวโสด คนที่มีเงินเหลือเก็บมากเพราะประหยัดมากๆ ก็ไม่น่าจะมีความสุขเท่าไร โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกเป็นภรรยา

เมื่อพิจารณาความเป็นจริงแล้วลองคิดต่อไปว่า เขาดีกว่าเราแล้วมันจะเป็นอะไรไป ถึงเขาจะมีเงินมากกว่า แต่เราก็ยังมีเงินเท่าเดิม เงินที่เรามีอยู่มันไม่ได้หดหายไป ถึงคนข้างบ้านจะสวยกว่าเรามันก็ไม่ได้ทำให้เราสวยน้อยลง เราก็ยังคงเป็นคนสวยคนหนึ่งเหมือนกัน

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เราพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรบางอย่างเหมือนที่เขาทำหรือไม่ เพื่อนของเราอาจจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาดูแลลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาไปว่ายน้ำหลังเลิกงานจึงมีเงินขนาดนั้นได้ จะทำอย่างนั้นหรือไม่


เปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ แทนที่จะจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไปเราอาจเปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ โดยเปรียบเทียบตัวเราตอนนี้กับตัวเราในอีก 1 ปีข้างหน้า ถ้าเราลงมือทำอะไรบางอย่าง เช่น ออกวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 1 ปีผ่านไปเราน่าจะหุ่นดีขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ดีขนาดคนข้างบ้านก็ตาม

การเปรียบเทียบจะเป็นปัญหาเมื่อมันไม่สมเหตุผล มากเกินไป บ่อยเกินไป ลดการเปรียบเทียบลงแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น

17 พฤศจิกายน 2552

ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม


เรื่อง ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม...โดย คุณสุวิไล บุญธวัชชัย

ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสามีที่อนุญาตให้นำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีคู่ครองติดสุราหรืออบายมุขอื่นๆ ที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ได้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นาน ก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน คุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามี คุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ

ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ ไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น

เหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปี สามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆ ตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท ทำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบ สามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย

ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่ หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉัน ดูแลแทนทั้งหมด ตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเอง เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คน และลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่

เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืน จนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึก ดิฉันจะเป็นห่วงและไม่เข้านอนจนกว่าเขาจะกลับมา โรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้น ถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย ดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว

ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระ จุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถา เพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง และไม่เข้าใจว่าสวดมนต์เพื่ออะไร

ขณะที่ดิฉันแทบจะหมดอาลัยตายอยาก อาจจะเป็นเพราะได้ทำบุญกุศลร่วมกับพี่สาวของดิฉัน อยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆเขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมาก จึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงาน เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้น

ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด) การสวดมนต์และแผ่เมตตาที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำได้ยากมาก เพราะการที่จะสำรวมกายสำรวมใจสวดมนต์ในตอนแรกๆ ต้องอดทนและฝืนใจตัวเองอย่างมากๆ

คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวดิฉันเองมักจะพูดว่าไม่มีเวลาสวดมนต์ ทำงานเหนื่อยทั้งวัน สวดมนต์ทีไรง่วงทุกที แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะ เมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุด จากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุงมหากา บทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ) พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง

อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับ สามีลงมาก แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับ ธรรมะจัดสรรให้

หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่าน มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทาง ธรรมะมากขึ้น ความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว ทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมะจากหลวงพ่อโดยตรง ทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ดิฉันจะนำคำสอนจากท่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเอง

ดิฉันเริ่มมอง ตัวเองและแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ซึ่งแต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์ และจะโกรธเขาทุกข์ครั้งที่เห็นเขาดื่มเหล้า แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรม และฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้

ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติ และไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉัน ได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามี และอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน ไม่รื้อฟื้นสิ่งที่ไม่ดีในอดีต ปรับปรุงตัวเอง ลดทิฐิ พูดจาดีๆกับเขา ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เขาเลิกเหล้า

หลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆลดการดื่มเหล้าลง จนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ และเป็นสามีที่ดีของดิฉัน การปฏิบัติธรรมนอกจากทำให้ดิฉันมีชีวิตครอบครัวที่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ดิฉันได้ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับผีเสื้อเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ดิฉันได้จับผีเสื้อมา ๔ ตัว และให้เพื่อนคนหนึ่งฉีดยากลางหลังทุกตัวเพื่อสต๊าฟไว้ส่งครูในวิชาชีวะ แต่หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ฝันเห็นผีเสื้อยักษ์ตัวใหญ่บินเข้ามาหาดิฉัน เพื่อจะมาทำร้าย จนดิฉันตกใจตื่น โดยไม่ทราบว่านี่คือความอาฆาตแค้นที่ผีเสื้อเหล่านั้นมีต่อดิฉัน จนกลายเป็นกรรมที่ดิฉันต้องชดใช้นานถึง ๑๐ ปี กับอาการปวดหลัง ที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทุกครั้งที่ปวดหลังดิฉันจะเดินไม่ได้ จะนั่งจะนอนก็ทรมานไปหมด กว่าจะดีขึ้นก็ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ จนกระทั่งได้มานั่งกรรมฐาน จึง ระลึกได้ว่า ที่ปวดหลังมาเป็นเวลา ๑๐ ปีนั้นเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ทำไว้กับผีเสื้อ ดิฉันจึงขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้กับผีเสื้อเหล่านั้น หลังจากนั่งกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลาหลานเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ยอมอโหสิให้กับดิฉัน เพราะอาการปวดหลังของดิฉันได้หายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นเป็นเวลา ๔ ปีแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการขออโหสิกรรมโดยการเจริญ กรรมฐาน ดิฉันขอสรุปว่า ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ของเรามีทางออกที่ดีได้ ถ้าเรายอมลดทิฐิลง มองดูตัวเองก่อนเพื่อแก้ไขความบกพร่อง ให้อภัยและอโหสิกรรมผู้อื่น เรื่องในอดีตอย่าไปรื้อฟื้น ขอให้ตั้งสติเพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันการที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็โดยการเจริญกรรมฐานเท่านั้น

จากประสบการณ์ชีวิตของดิฉันเอง การที่จะได้ของดีมักจะมีอุปสรรค ขอให้อดทน เริ่มจากสวดมนต์ อโหสิกรรม และแผ่เมตตาทุกวัน แล้วธรรมะก็จะจัดสรรเป็นขั้นเป็นตอนให้ได้มีโอกาสเจริญกรรมฐานในที่สุด ถึงแม้ต้องต่อสู้กับตัวเองและใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อทำให้เป็นกิจวัตร แต่พอทำได้แล้วจะรู้สึกไม่ยากเลย และจะพบแต่สิ่งดีๆที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ (ปัจจังตัง เวทิตัพโพ วิญญฺหิ)

10 พฤศจิกายน 2552

เทคนิคการทำข้อสอบ


1 ฝึกทำข้อสอบ

- ควรหาข้อสอบเก่าๆ ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี มาทดลองหาคำตอบจากสิ่งที่ได้เรียนและได้อ่านมาเพื่อจะได้เป็นการทดสอบว่าเรามีความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านมาหรือไม่ ฝึกเขียนเพื่อสร้างความชำนาญในการเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ การนำองค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาใช้ จะทำให้เมื่อพบข้อสอบจริงจะสามารถเชื่อมโยงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งจะทำให้ทราบว่าตัวเรายังบกพร่องตรงจุดไหนเพื่อจะได้ไปอ่านทบทวนให้มากขึ้น

2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบ

- ปากกาที่ใช้ควรเป็นสีเข้ม เช่น สีดำ ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ไม่ปวดตาเวลาที่เขียนข้อสอบนานๆและช่วยให้อาจารย์ตรวจข้อสอบของเราได้ง่ายขึ้น เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ตรวจข้อสอบในเวลากลางคืน ก็จะทำให้อาจารย์สบายตาเวลาตรวจ และหากอยากให้เขียนได้เร็วและชัดเจน อาจเลือกใช้ปากกาเจล และควรเลือกปากกาที่ตนเองมีความถนัด ไม่ใช่เลือกรูปแบบที่ไม่มีความถนัด เมื่อต้องเร่งเขียนข้อสอบอาจจะเขียนได้ไม่คล่อง- ไม่ควรใช้ Liquid paper เพราะจะทำให้เสียเวลามานั่งลบ มานั่งคอยให้แห้ง ซึ่งในความเป็นจริง หากมีการเขียนข้อความผิดควรใช้วิธีขีดฆ่าให้เป็นระเบียบ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว- อาจมี Template รูปเรขาคณิต เพื่อช่วยในการวาดรูป เขียน diagram จะทำให้ใช้เวลาน้อยลงส่วนไม้บรรทัดสามารถนำเอาไปใช้ในการเน้นหัวข้อต่างๆ ก็ได้ หรือใช้เป็นตัวช่วยในการขีดฆ่าข้อความที่ไม่ใช้แล้ว- ไม่ควรใช้ปากกาเน้นข้อความในกระดาษคำตอบ เพราะอาจจะทำให้อาจารย์ต้องใช้สายตามากขึ้น ถ้าอยากเน้นข้อความใดให้ใช้ปากกาสีแดงขีดเส้นใต้ก็พอแล้ว

3 ลักษณะข้อสอบ

- เป็นข้อสอบอัตนัย แยกของแต่ละอาจารย์ผู้สอน (ถ้ามีอาจารย์ 3 ท่านจะมี 3 ส่วน แต่ถ้ามี 4 ท่าน ก็อาจจะออกทั้ง 4 ท่านหรือออกเพียง 3 ท่าน) จำนวนข้อสอบต่ออาจารย์หนึ่งท่านไม่มีกฎตายตัวว่าจะมีข้อสอบกี่ข้อ อาจารย์หนึ่งท่านอาจมีข้อสอบข้อย่อย 1-2 ข้อ และในข้อย่อยจะมีหลายคำถามต้องอ่านโจทย์และคำสั่งให้ดี- ข้อสอบส่วนใหญ่เป็นการทดสอบความสามารถในเชิงวิเคราะห์ คือ นำองค์ความรู้มาใช้ในการตอบโจทย์ มีบางครั้งเท่านั้นที่อาจารย์จะถามตรงๆ และให้ตอบตรงๆ (ต้องการแต่เนื้อ ไม่ต้องการน้ำ)

4 สมุดคำตอบ

- สมุดคำตอบจะมีลักษณะเป็นเล่ม เล่มหนึ่งมีจำนวน 8 หน้า ปกจะมี 3 สี คือ เขียว ชมพู และเหลือง โดยแต่ละอาจารย์จะกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้สีอะไรสำหรับการเขียนคำตอบ ต้องระวังการเขียนคำตอบสลับอาจารย์ เพราะจะทำให้เสียเวลามากๆ ในการแก้ไข

5 การเขียนคำตอบ

- ควรเขียนด้วยตัวหนังสือให้มีขนาดใหญ่ เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่ใช้เวลากลางคืนในการตรวจข้อสอบ จะช่วยให้อาจารย์อ่านได้สะดวก หากลายมืออ่านยากควรเขียนบรรทัดเว้นบรรทัด เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้น

6 วิธีการทำข้อสอบ

- เมื่อเข้าห้องสอบควรรีบอ่านโจทย์ของแต่ละอาจารย์แล้วคิดว่าจะใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) อะไรมาตอบ รีบจดสิ่งที่คิดว่าจะนำมาใช้ในการตอบลงไปในข้อสอบก่อน เพื่อที่ว่าเวลาที่เขียนคำตอบจะได้เชื่อมโยงได้เร็ว ไม่ต้องเสียเวลาคิด ควรยอมเสียเวลาประมาณ 15 นาทีในการระลึกถึงองค์ความรู้ทั้งหมดที่จะนำมาใช้ในการตอบ เพราะเมื่อเริ่มลงมือเขียนจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคิดทบทวนอีก) โดยควรกำหนดโครงเรื่องไว้ว่าจะตอบอย่างไร เริ่มต้นจากอะไร จบลงด้วยอะไรประเด็นใดควรเป็นประเด็นหลัก ประเด็นรอง

- ควรเลือกทำข้อสอบข้อที่คิดว่าทำได้มากที่สุดก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และข้อสอบข้อที่ทำได้มากที่สุดก็จะได้เป็นตัวช่วยให้ได้คะแนนดี

- ในการอ่านโจทย์ต้องแตกประเด็นให้ได้ว่า ในโจทย์นั้นมีทั้งหมดกี่คำถาม เขียนหมายเลขกำกับไว้ทุกคำถามเพื่อกันลืม และต้องตอบให้ครบทุกประเด็นคำถาม เช่น ถ้าถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ก็ต้องมีคำตอบว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร ทำไม (ต้องตอบให้ครบทุกประเด็นที่ถาม)

- วางแผนการใช้เวลาให้เหมาะสม เพราะในการสอบจะกำหนดเวลาไว้ 3 ชั่วโมง คือระหว่างเวลา18.00 – 21.00 น. ดังนั้น ควรใช้เวลาของแต่ละอาจารย์ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาแล้วควรเปลี่ยนไปทำของอาจารย์ท่านอื่น อย่าใช้เวลากับข้อสอบข้อใดข้อหนึ่งนานเกินไป เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการทำข้อสอบข้ออื่นๆ หากมีเวลาเหลือค่อยกลับมาทบทวนหรือเพิ่มเติมหรือทำข้อที่ค้างไว้เพื่อให้คำตอบนั้นสมบูรณ์ขึ้น และหาจ ุดบกพร่องที่ควรแก้ไข

- ต้องใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาเป็นหลักในการตอบทุกครั้ง โดยในการตอบข้อสอบทุกข้อ ต้องเริ่มด้วยองค์ความรู้ ทฤษฎี นักคิด ต่างๆ ก่อน แล้วจึงนำองค์ความรู้นั้นมาประกอบกับการตอบโจทย์

- ในการตอบข้อสอบทุกครั้งจะต้องยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย เพื่อให้คำตอบนั้นมีความชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้อาจารย์เห็นว่าเรามีความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่การท่องมาตอบแบบนกแก้วนกขุนทอง

- เมื่อตอบข้อสอบในทุกประเด็นครบแล้ว ตอนจบสุดท้ายควรมีสรุป คือ การสรุปจากประเด็นที่เขียนมาทั้งหมดให้เป็นแบบย่อๆ อีกครั้ง- ถ้าข้อสอบให้มีการอภิปรายถามความเห็น และจำเป็นต้องใช้คำเรียกแทนตัว ผู้ชายควรใช้ว่า“กระผม” หรือ “ผม” ส่วนผู้หญิงควรใช้ว่า “ดิฉัน” ไม่ควรใช้ว่า “ข้าพเจ้า” เพราะอาจารย์จะไม่ทราบว่าผู้ตอบข้อสอบเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

- ควรทำข้อสอบทุกข้อแม้ว่าจะมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไม่มาก ควรพยายามเขียน เพราะการเขียนยังมีโอกาสให้อาจารย์ให้คะแนนบ้าง ถ้าไม่เขียนอะไรเลยอาจารย์ก็ไม่ทราบว่าจะให้คะแนนตรงไหน

- จำนวนหน้าไม่มีผลกับคะแนน การเขียนหลายเล่มแต่มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ไม่มีองค์ความรู้ก็ไม่ได้ทำให้ได้คะแนนดี ความสำคัญอยู่ที่องค์ความรู้ที่เอามาใช้ และต้องตอบให้ครบทุกประเด็น มีเกริ่นนำตอบครบ ยกตัวอย่าง มีข้อเสนอแนะ และสรุป โดยควรเขียนให้กระชับ ไม่วกวน มีเวลาไปทำของอาจารย์ท่านอื่น

7 คำแนะนำทั่วไป

- ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลาพอสมควร เพื่อลดความวิตกกังวล และให้สมองได้ผ่อนคลาย

- ควรฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่คุมสอบอย่างตั้งใจ เพราะผู้คุมสอบจะให้ข้อมูลว่าสมุดเล่มใดเป็นของอาจารย์ท่านใด (จะแยกแยะโดยใช้สีสมุด ดังนั้น ห้ามตอบสลับเล่มกันโดยเด็ดขาด) มีข้อสอบทั้งหมดกี่หน้า มีทั้งหมดกี่ข้อ ทำทุกข้อหรือให้เลือกทำ

- เน้นกลุ่มเป้าหมาย ในระหว่างการเรียนควรจับทิศทางให้ได้ว่า อาจารย์แต่ละท่านชอบแนวทางใด สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ หรือเป็นนักวิชาการด้านใด การตอบในแนวทางที่อาจารย์สนใจ ให้ความสำคัญจะช่วยให้ได้คะแนนดี ไม่นิยมการท่องจำ หนังสือที่จัดให้อ่านมีกี่เล่มต้องอ่าน เพราะอาจนำเนื้อหาจากหนังสือที่ให้อ่านมาถามทั้งๆ ที่ไม่ได้สอนในห้องเรียน

04 พฤศจิกายน 2552

พอเพียงกับชีวิตที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีสไตล์ 5 คนดัง


หลายคนมักเข้าใจว่า "ชีวิตพอเพียง" มีความหมายแค่อยู่อย่างประหยัด และไม่ช็อปปิ้ง ทั้งที่ในความเป็นจริง "ชีวิตพอเพียง" ครอบคลุมไปถึงวิธีคิด วิธีตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมกับตัวเราโดยไม่ได้มุ่งหวังความร่ำรวยในบั้นปลาย หากแต่มีเป้าหมายคือ ความสุขที่ยั่งยืน ไม่มีวันสูญหาย ไม่ว่าเงินในกระเป๋าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง นี่คือตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่หาหนทางพอเพียงของตัวเองเจอ และพิสูจน์ให้เราเห็นว่าชีวิตพอเพียงนั้นไร้กรอบและไม่ได้มีอยู่แค่แบบเดียว

บี้ - สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว "พอเพียง" คือคำที่ใช่ตัวผม
แม้หนุ่มคนนี้จะถูกจับตามองว่าเป็นว่าที่ซูเปอร์สตาร์คนต่อไปแต่ตัวเขาเองกลับพอใจชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ พอใจที่จะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ และ “ให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
Did you know: เรื่องที่บี้ยอมฟุ่มเฟือยที่สุดคือการกิน เพราะเขาให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมากๆ


ดร.สิงห์ อินทรชูโต "สิ่งที่ทำคือความสุขทางใจล้วนๆ"
ชายคนนี้มีดีกรีหลายตำแหน่ง เขาเป็นทั้งดอกเตอร์ด้านสถาปัตยกรรม เทคโนโลยีการออกแบบ จากมหาวิทยาลัย MIT, อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, นักวิจัยและสถาปนิก แต่สิ่งที่ทำให้เราทึ่งในความเป็น ดร.สิงห์ คือ เขาสามารถนำขยะที่หลายคนมองว่าไร้ประโยชน์มาสร้างสรรค์ให้เกิดมูลค่าได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง
Did you know: ดร.สิงห์มักใช้ช่วงเวลาก่อนนอนคิดดีไซน์เฟอร์นิเจอร์จากขยะ และใช้เวลาว่างเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ในการออกแบบของตนเอง

ปอ - ทฤษฎี สหวงษ์ "ใช้เงินต้องรู้จักวางแผน ไม่ใช่มีแล้วใช้จนหมด"
แม้พระเอกมาแรงของช่อง 3 คนนี้จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนิยมวัตถุ แต่เขาก็มีภูมิคุ้มกันคือ นิสัยอดออมและพอใจในชีวิตเรียบง่ายซึ่งเป็นความสุขทางใจที่เขาบอกว่าไม่ต้องไปหาจากที่ไหน เพราะอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง
Did you know: หลังไปทำกิจกรรมคนหล่อขอทำดีปีแรกกับ สุดสัปดาห์ ที่บ้านป้านิดาซึ่งรับอุปการะหมาจรจัด ปอตัดสินใจรับสุนัขจรจัดมาเลี้ยงหนึ่งตัว แล้วตั้งชื่อว่า น้าโป๊ะ นอกจากนี้ปอลงทุนซื้อที่ดิน 90 ไร่ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อปลูกยางพารา ด้วยเหตุผลว่า เขาอยากให้โลกนี้มีสีเขียวมากขึ้น

หนูดี - วนิษา เรซ "ปิดเสียงข้างนอก แล้วกลับมาฟังเสียงข้างใน"
เธอเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ เจ้าของหนังสือเบสท์เซลเลอร์อย่าง “อัจฉริยะสร้างได้” “อัจฉริยะ...เรียนสนุก” และ “อัจฉริยะสร้างสุข” รวมถึงยังเป็นเจ้าของโรงเรียนวนิษา สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา ไม่ใช่แค่สวย รวย เก่ง แต่เธอยังมีเบื้องหลังชีวิตที่ฉลาดใช้และฉลาดคิดเพื่อสังคมด้วย
Did you know+ ความสุขของหนูดีทุกวันนี้คือการได้ปลูกผักและดูแลต้นไม้ที่โรงเรียนและที่บ้าน+ ทุกเดือนหนูดีจะไปเข้าอบรมเรื่องการวางแผนการเงินและการลงทุนที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากฟรีแล้วยังนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

ทราย เจริญปุระ "แค่รู้จักพอ และคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น"
เธอคนนี้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาแล้ว 15 ปี แม้จะเคยถูกเมาท์ว่าเป็นนางเอกขี้เหร่ แต่ในสายตาเรา เธอทั้งสวย ทั้งเก่ง และแกร่ง เพราะทุกวันนี้ทรายต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนคุณพ่อ (รุจน์ รณภพ) ซึ่งป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ในขณะเดียวกัน เธอก็สามารถบาลานซ์ชีวิตเรื่องงานและช่วยเหลือสังคมได้อย่างลงตัว
Did you know: ทรายเชื่อว่าการเป็นคนดีไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้จักพอและคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น และส่วนหนึ่งที่เธอตั้งใจทำเพื่อให้ความเชื่อนั้นเป็นจริงคือ แวะไปบริจาคเลือดทุกๆ 3 เดือนจนเป็นกิจวัตร และรวบรวมหนังสือที่มีอยู่ไปบริจาคให้แก่โรงเรียนที่ยากไร้ตามต่างจังหวัดเป็นประจำติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ใน

สกู๊ปพิเศษNo.638 (16 SEPTEMBER 2009)
สุดสัปดาห์

เรื่องน่ารู้เมื่อออกเดท

กฎข้อ 1 ใครชวนใครก่อนดี
สมัยก่อน ผู้หญิงควรรอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายออกปากขอเดทกับเราก่อน แต่โลกปัจจุบันนี้ หนุ่มสาวสมัยใหม่ ต่างฝ่ายต่างยอมรับความจริงกันมากขึ้น ดังนั้น หากสบตาแล้วรู้สึกว่าปิ๊งกันก็ไม่ผิดที่ฝ่ายหญิงจะเป็นคนสานต่อให้พองาม เพราะจริงๆเรื่องออกปากนัดนี้ ผู้ชายเขาก็กล้าๆกลัวๆเหมือนที่ผู้หญิงรู้สึกนั่นแหละ ดังนั้นการที่ผู้หญิงจะเริ่มต้นก่อนก็ดีเสียอีก ผู้ชายจะได้มีกำลังใจขึ้น อย่างไรก็ตาม สาวๆฝ่ายเริ่มก็ควรดูให้แน่ใจว่าเขาพร้อมจะมีไมตรีกับคุณ
วิธีที่เหมาะ ครั้งแรกอาจไปกับกลุ่มของเราก่อนเหมือนชวนเพื่อนคนหนึ่ง เท่านี้ก็สำเร็จ แต่ระวังเขาจะติดใจเพื่อนคุณแทนล่ะ

กฎข้อ 2 วิธีนัดที่เหมาะสม
ส่วนใหญ่ผู้หญิงมักขี้เกียจหรืออายเกินไปที่จะบอกรสนิยมหรือเป็นคนเสนอเลือกการนัดหมายให้ผู้ชาย ทำให้เขายุ่งยากเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ว่าจะนัดกันที่ไหนดี อย่ากลัวที่จะแนะนำเขาเรื่องนี้ เขาจะขอบคุณคุณมาก ควรเลือกที่ราคากลางๆไม่แพงสุดขั้วเกินไป และมีบรรยากาศสบายๆให้คุณกับเขาได้คุยกันบ้างไม่เอะอะมากนัก การนัดไปดูหนังถือว่าแย่มาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็จะจดจ่อกับหนังตรงหน้า มากกว่าที่จะทำความรู้จักกันและกัน
วิธีที่เหมาะ ควรหาที่ๆจะคุยกันได้สัก 2 ชั่วโมง ไม่เอะอะหรือจอแจเกินไป และหากเป็นนัดเที่ยวกลางคืน ต่างฝ่ายก็ควรตรงกลับบ้านทันที

กฎข้อ 3 บรรยากาศการนัดพบ
ในจินตนาการ สถานที่ดีที่สุดในการเดทกับผู้ชายครั้งแรก จะเป็นบรรยากาศประมาณว่าผู้ชายคนนั้นยืนรอคุณที่โถงชั้นล่างของบันได มีแสงแดดอ่อนๆส่องเข้ามาที่หน้าต่าง คุณในฐานะสาวสวยก็จะปรากฎโฉมที่ชั้นบนสุด ขณะนั้น แสงแดดอ่อนๆส่องต้องตัวคุณในชุดโทนสีพาสเทลดูอ่อนหวานน่าทะนุถนม พบกันคร้งแรกแบบนี้ ทำให้คุณดูสวยขึ้นอีกหลายเท่า แต่ความจริงก็คือ ต่างคนต่างก็วิ่งเข้ามาที่ร้านเพราะมาสาย และหากเขาเป็นฝ่ายต้องมารับคุณก็แปลว่าคืนนี้เขาต้องงดดื่ม และหากต้องนั่งแท๊กซี่กลับด้วยกัน ค่าแท๊กซี่ก็จะแพงกว่าค่าดินเนอร์มื้อเย็นเสียอีก
วิธีที่เหมาะ การนัดพบกันในโอกาสที่คุณเลือกและในสถานที่บรรยากาศปานกลางนั้น ไม่ได้แปลว่าเขาจะเห็นว่าคุณไม่มีค่า สมัยนี้ชีวิตที่มีสาระความจริงคือสิ่งที่ต้องยอมรับ หากคุณหาที่นัดพบในบรรยากาศสบายๆ และราคาที่ไม่มีใครกระเป๋าฉีก เขาก็จะคบคุณต่อไปได้สะดวกใจมากกว่า

กฎข้อ 4 พูดถึงรักเก่าได้ไหม
หากคุณเป็นผู้ชายที่นัดครั้งแรก แล้วกำลังคุยสนุกสนาน แล้วจู่ๆเรื่องของแฟนเก่าก็เข้ามาแทรก แบบนี้มันจะหมดอารมณ์แค่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่ไม่ควรคุยในการเดท เช่นการแต่งงาน เรื่องอนาคตร่วมกัน เรื่องการมีลูก เป็นต้น ก็อะไรจะไปไกลขนาดนั้น เพิ่งเดทกันครั้งแรกแท้ๆอย่าฟุ้งซ่านไปถึงขนาดนั้นเลย พอสาวเริ่มพูดเรื่องแบบนี้ ผู้ชายทั้งร้อยก็เผ่นแทบไม่ทัน ก็เขากลัวคุณจะจับเขาไงล่ะ
วิธีที่เหมาะ คุยเรื่องเบาๆสบายๆที่ไม่ให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกถูกผูกมัดมากเกินไป หากมีการพูดถึงเรื่องความรักครั้งเก่าโดยบังเอิญ ก็ทำให้มันดูเป็นเรื่องธรรมดาๆและจบบทสนทนานี้โดยเร็ว แต่อย่าทำให้รู้สึกว่าคุณกำลังมีพิรุธล่ะ

กฎข้อ 5 การจ่ายค่าอาหาร
ทัศนคติแบบเก่าเชื่อว่า หน้าที่นี้เป็นของผู้ชายในนัดแรก แต่ผู้หญิงก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกว่า เพราะเขาเป็นผู้ชายเขาจึงเป็นหนี้คุณมาแต่ชาติปางก่อนและต้องมาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้คุณ ทั้งๆที่เรื่องนี้น่าจะเป็นความเต็มใจที่เขาทำให้คุณมากกว่า
วิธีที่เหมาะ ให้เขาจ่ายได้ในนัดครั้งแรก แต่อย่าเลือกร้านแพงเกินไป แสดงให้เขารู้ว่าคุณพร้อมหากจะจ่ายคนละครึ่ง แล้วรอให้เขาบอกว่า "ไม่ต้องครับ ผมเอง" จะดีที่สุด จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วขอบคุณเขาพร้อมกับหยอดว่า เขาน่ารักมากและทำนองว่าคราวหน้าขอโอกาสนี้ให้คุณเลี้ยงบ้าง สำคัญคืออย่าแย่งกันจ่ายจนคนทั้งร้านจะมองว่าคู่คุณเป็นตัวตลก

กฎข้อ 6 กลับบ้านหลังเดท
ไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้ชายไปส่งคุณที่บ้านเหมือนความเชื่อเก่าๆ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ขึ้นกับสถานการณ์และความสะดวกมากกว่า หากเป็นที่ๆสะดวกพอ คุณสามารถบอกลาแล้วแยกกันไปคนละทางก็ได้ หรือถ้าเขาจะไปส่งคุณที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องชวนเขาเข้าบ้าน หากมันดึกแล้ว
วิธีที่เหมาะ บอกเขาไปได้เลยว่า ตอนนี้ดึกแล้ว ขอบคุณที่มาส่ง วันหลังค่อยพบกันใหม่ ให้เขารู้สึกว่าคุณมีศักดิ์ศรีที่ต้องระวัง แบบนี้จะประทับใจเขามากกว่าทำตัวเป็นเด็กอ่อนให้เขาคอยช่วยเหลือตลอดเวลา

กฎข้อ 7 เชิญเข้ามาทานกาแฟ
ประโยค "เข้ามาดื่มกาแฟก่อนไหมคะ" ของผู้หญิงนั้น ตีความหมายได้หลากหลายอย่าง เช่น เพียงแค่อยากบริการเครื่องดื่มอุ่นๆเขาก่อนกลับบ้าน หรืออยากคุยกับเขาต่อนานๆหรือกำลังจับเขาและอยากให้เขาลวนลามบนโซฟาห้องรับแขก หรืออาจถึงขั้นอยากชวนเขาถอดเสื้อผ้าแล้วมีเซ็กซ์กันต่อหลังการเดทก็เป็นได้ ปัญหาก็คือ ผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่านัยที่คุณเอ่ยชวนนี้แปลว่าอะไร
วิธีที่เหมาะ หากคุณไม่มีเป้าหมายอื่น ถ้าจะให้ปลอดภัยคุณก็ควรพูดให้แจ่มแจ้งพร้อมท่าทางประกอบที่จริงใจ เพื่อให้เขาไม่เข้าใจผิดกฎข้อ 8 เซ็กซ์กับเดทครั้งแรก
เรื่องนี้พูดกันตรงๆมันก็ขึ้นอยู่กับคุณเองนั่นแหละ ว่าจะยอมให้เกิดขึ้นแค่ไหน แต่ที่อยากให้ระลึกก็คือ ทำแล้วมีผลอะไรบ้างในระยะยาว หากคุณอยากพบเขาอีกจะปลอดภัยกว่าหากรอสักหน่อย จริงอยู่ แม้จะมีบางคู่ที่แต่งงานกันเมื่อมีเซ็กส์ในเดทครั้งแรก แต่เรื่องนี้ก็ควรพิจารณาให้ดีๆ
วิธีที่เหมาะ หากชอบเขาจริงๆก็ทำอะไรที่ไม่ให้เขารู้สึกว่าคุณเป็นผู้หญิงไวไฟจะเหมาะสมกว่า

กฎข้อ 9 แลกเบอร์กันได้ไหม
เวลาที่ลุ้นระทึกก็คือช่วงว่า เขาจะขอเบอร์โทรคุณไหม แต่ลองนึกถึงว่าหากเขาโทรไปตอนเช้าที่คุณยังไม่ลุกจากเตียงล่ะ เรื่องแบนี้ผู้ชายมักจะเป็นกังวลมากกว่าผู้หญิง เขาจึงไม่ค่อยให้เบอร์ใครง่ายๆและผู้ชายก็ไม่ชอบใช้โทรศัพท์คุยไร้สาระ สำหรับเขาการให้เบอร์โทรคือเรื่องจริงจัง ที่สำคัญคือเขาควรเป็นฝ่ายขอคุณก่อนไม่ใช่คุณเป็นฝ่ายขอเพราะอาจทำให้เขาลำบากใจ
วิธีที่เหมาะ ควรรอให้เขาเป็นฝ่ายให้เบอร์เองจะดูดีกว่า

กฎข้อ 10 แล้วเขาจะโทรมาไหม
เวลามาตรฐานในการโทรกลับของผู้ชายคือ ประมาณ 3 วันขึ้นไปก่อนที่จะโทรกลับมาหาคุณ แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่า เขาต้องเป็นฝ่ายขอเบอร์คุณไม่ใช่คุณให้เขาเอง เขารู้สึกว่าการโทรไปทันทีจะเปิดเผยความรู้สึกมากเกินไป ผู้ชายมักจะรอจนกว่าจะมั่นใจในตัวเอง และเชื่อได้ว่า ถ้าเขาโทรมาก็มักจะไม่ใช่การโทรมาคุยเล่นๆ แต่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น เช่น อาจเป็นนัดครั้งต่อไป
วิธีที่เหมาะ รับโทรศัพท์จากเขาอย่างเป็นมิตรจะมีประโยคเริ่มต้นแบบเชยๆเช่นว่า "พอดีผมเจอเบอร์คุณในกระเป๋าเลยโทรมา" เขาจะไม่บอกหรอกว่าเขาคิดถึงคุณ แค่นี้ก็แปลว่า ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของคุณแล้วล่ะค่ะ

ที่มา : www.mthai.com

29 ตุลาคม 2552

7 เทคนิคทำให้ชีวิตผ่อนคลาย

ใน โลกปัจจุบันนี้ หลายๆคนคงต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การหาหนทางที่จะผ่อนคลายตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน้ต่อร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างมาก บางคนอาจเข้าสปา ไปนวดหน้านวดตัว บางคนไปเที่ยว ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ความลับของการผ่อนคลายที่แท้จริงก็คือ การควบคุมภาวะจิตใจของเรานั้นเอง ถ้าคุณขาดการควบคุมจิตใจแล้ว การเข้าสปาที่ดีที่ การเที่ยวที่ที่สวยที่สุด ก็ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้เลย

เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง
1. ปัจจุบัน คือสิ่งที่สำคัญที่สุด - บ่อยแค่ไหนที่คุณมักจะพบว่าคุณเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนส่วนมากมักจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วการวิตกกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะอยู่ในโลกแห่งอดีตหรืออนาคต คุณก็จะไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย ฉะนั้นถ้าคุณต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริงคุณจะต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราเท่าทันตนเองอยู่เสมอ

2. สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ - ที่ที่คุณอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุณต้องเจอก็ส่งผลต่อจิตใจของคุณเช่นเดียวกัน หลายๆคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยนี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี การอยู่มรบางที่ มันก็ยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายได้ คราวนี้ เริ่มมองไปที่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเห็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้คุณทำโน่นทำนี้ คุณคงต้องลงมือทำอะไสักอย่างกับห้องของคุณแล้ว เจ้าพวกของที่คอยกวน ใจคุณเป็นเหมือนภาระ หนักของจิตใจคุณ จัดการจัดห้องให้เป็นระเบียบและเก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตา หาของประดับห้องให้มีความรื่นรมณ์มากขึ้น คุณอาจยอมเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง หรือเทียนหอมมาจุด ก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นการเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงานของคุณอีกด้วย

3. การทำสมาธิ - ระหว่างที่เรามีสมาธิ จิตของเราจะอยู่ในความเงียบ สงบ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง การทำสมาธิสอนให้เรารู้จักจัดระเบียบของความคิดที่ยุ่งเหยิงของเรา ขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะหยุดนิ่ง ซึ่งนำมาซึ่งความสงบและความเบิกบาน การทำสมาธิจึงเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด คุณลองหาเวลาวันละ 10 - 15 นาทีเพื่อทำสมาธิ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกแห่งความสงบและผ่อนคลายที่แท้จริงเป็นอย่างไร

4. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม - การ ผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปล่อยกายปล่อบใจอยู่ในสปา หรือบนชายหาดตลอดทั้งวัน เราจะต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายท่านกลางกิจกรรมปกติของเรา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำอย่างเป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้คุณทำงานสบายขึ้น และได้ผลงานที่มากขึ้น ในขณะที่คุญทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ความสบสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึกถึงการผ่อนคลายได้เลย เริ่มทำงานที่สำคัญมากที่สุดและเร่งที่สุดก่อน และวค่อยๆทำงานที่สำคัญลอองลงมา ค่อยๆทำอย่างรอบคอบ อย่ากดดันตัวเองให้ต้องทำงานให้มากที่สุด การทำวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานถูกต้องมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความสบายใจมีมากขึ้น นี่แหละคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ

5. อย่าขึ้นผูกติดกับความคิดเห็นของคนอื่น - บ่อย แค่ไหนที่คุณยึดติดกับความคิดของคนอื่น ตอนที่เรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะพูดอน่างไร นั้นก็คือเราได้สร้างภารทางใจให้กับตัวเอง เพราะลึกๆแล้ว เราพยายามต้องสนองความต้องการของคนอื่นอยู่ เราก็จะกดดันตัวเองและก็จะไม่มีทางที่จะผ่อนคลายเลย คุณรู้ไหมว่า คนอื่นก็มักจะคอยจับผิดเรา เราจะไม่มีทางดีพอสำหรับคนอื่นได้ ดังนั้น จงอย่าผูกติดตัวเองกับคำวิภากษ์วิจารณ์ของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ ไม่ ได้หมายความว่าเราจะไม่สนใจความคิด เห็นของคนอื่น แต่หมายความว่า เราอย่าาทำให้ตัวเราต้องรู้สึกสนวุ่นวายใจเพียงเพราะความเห็นของคนอื่น เรารับฟังและนำมาคิดด้วยสติอย่างมีเหตุมีผล มันอาจจะทำยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่าคุณยึดติดกับความคิดผู้อื่นน้อยลงเรื่อยๆ

6. ให้เวลากับตัวเอง - แบ่ง เวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะว่างตลอด 24 ชั่วดมงเพื่อใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า หรือแม้กระทั่งเพื่อน จงรับโทรศัพท์หรือตอบ email ลูกค้า หรือหัวหน้าในเวลทำงานเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกวนใจ และบั่นทอนพลังกายและใจของคุณ

7. การเปลี่ยนแปลงก็ดีไม่แพ้การพักผ่อน - ชีวิต เราคงไม่ดีแน่ถ้าเหมืนละครที่เล่นซ่ำไปซ่ำมา ถ้าคุณพบว่าคุณติดอยู่ในบ่วงของการทำสิ่งที่จำเจทุกวัน ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้สหล่ะ เช่น ถ้าคุณดูโทรทัศน์หรือท่องอินเตอร์เน็ตหลังอาหารเย็นทุกวัน วันนี้คุณลองเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบหมู่บ้านดูบ้าง การได้ทำสิ่งอะไรใหม่ๆ พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว การผ่อนคลายง่ายเหมือนแค่การหายใจ เมื่อ ใดที่คุณรู้สึกเครียดหรือกดดัน คุณลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ แค่นี้คุณก็จะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ไม่ยาก

ขอบคุณข้อมูล : hbwellness

22 ตุลาคม 2552

15 วิธีโจรกรรมรถยนต์


สำหรับคนวัยทำงาน เมื่อกล่าวถึงปัจจัยที่ 5 ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตแล้ว เชื่อว่ากล่าวร้อยละ 70-80 ต้องนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า "ยานพาหนะ" (เด็กรุ่นใหม่บางคนสมัยนี้บอกว่า โทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่ 5 คอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่ 6 และ อินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยที่ 7 ต่างหาก) และก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง นอกจากบ้าน-ที่อยู่อาศัยแล้วสิ่งที่เรียกว่า "ยานพาหนะ" นั้นถือเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาค่างวดสูงติดอันดับต้นๆ โดยคนส่วนใหญ่จำเป็นต้องเก็บหอมรอมริบ ใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อเก็บเงินหรือผ่อนส่งรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อ "รถยนต์-รถจักรยานยนต์" กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งยังเป็นสังหาริมทรัพย์ที่สามารถเคลื่อนที่ไปยังแห่งและหนต่างๆ ได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ "สังหาริมทรัพย์" ประเภทนี้จึงตกเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของเหล่ามิจฉาชีพทั้งหลาย

ทุกวันนี้ การโจรกรรมรถยนต์ดูจะเป็นปัญหาอาชญากรรมสำคัญอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ยี่ห้อรถที่มีสถิติสูญหายมากที่สุด ในหมวดของรถยนต์ ได้แก่ "ฮอนด้า แจ๊ซ" รองลงมาคือ "ฮอนด้า ซิตี้" ส่วนรถกระบะ ได้แก่ "โตโยต้า วีโก้" ขณะที่รถจักรยานยนต์ได้แก่ "ฮอนด้า เวฟ" รองลงมาคือ "ฮอนด้า คลิก" และพื้นที่ที่มีรถหายมากที่สุดก็คือกรุงเทพมหานคร โดยเขตที่มีสถิติรถหายมากที่สุด ได้แก่ เขตบางกะปิ รองลงมาคือ ดินแดง ตามด้วย จตุจักร วังทองหลาง และคลองเตย ตามลำดับ

โดยสถานที่จอดประจำที่มีอัตราเสี่ยงรถหาย

อันดับ 1 ได้แก่ ที่จอดรถริมถนนและหน้าบ้านพักอาศัย
อันดับ 2 ได้แก่ ลานจอดรถของอาคารที่พักอาศัย ประเภท หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโด และแมนชั่น
อันดับ 3 ได้แก่ ลานจอดรถของการเคหะฯ

และแม้สถานที่จอดรถชั่วคราวจะมีอัตราการโจรกรรมรถน้อยกว่านั้นก็ไม่ควรประมาท โดยจากสถิติพบว่า สถานที่จอดรถชั่วคราวที่ว่าจัดเป็นพื้นที่เสี่ยง

อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถของตลาดสด
อันดับ 2 ได้แก่ ลานจอดรถห้างสรรพสินค้า
อันดับ 3 ได้แก่ ลานจอดรถของสถานบันเทิง และร้านอาหาร
อันดับ 4 ได้แก่ ลานจอดรถของศาสนสถาน เช่น วัด ศาลหลักเมือง
อันดับ 5 ได้แก่ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง หรือปั้มน้ำมัน
อันดับ 6 ได้แก่ สถานที่พักผ่อน ท่องเที่ยว สวนหย่อม และสวนสาธารณะ

นอกจากนี้ยังพบว่า มีสถานที่เสี่ยงซึ่งคนส่วนใหญ่คิดไม่ถึงว่าคนร้ายจะกล้าลงมือโจรกรรมรถยนต์ไป ได้แก่ ศูนย์บริการ อู่ซ่อมรถยนต์ สถาบันการศึกษา สมาคม บริเวณริมถนนซึ่งผู้ขับขี่จอดรถนอนหลับพักสายตา หรือแม้กระทั่งลานจอดรถใต้ทางด่วนฯ สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ รวมถึงโรงแรม

15 วิธีโจรกรรมยอดฮิต

สำหรับวิธีการที่คนร้ายใช้ในการโจรกรรมรถนั้น หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ ระบุว่าจากการรวบรวมข้อมูลพบว่าปัจจุบันคนร้ายมีวิธีการที่หลากหลายถึงประมาณ 70 วิธีเลยทีเดียว โดย 15 วิธีการโจรกรรมยอดนิยม ได้แก่

1.งัดหูช้าง คนร้ายจะใช้เครื่องมืองัดหูช้างออก แล้วเอามือล้วงเข้าไปเปิดสลักหรือค้นล็อกประตู เปิดประตูรถเข้าไป แล้วใช้ไขควงงัดกระปุกกุญแจสตาร์ทออก ต่อไฟตรง เพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

2.ใช้กุญแจปลอม คนร้ายจะทำกุญแจเลียนแบบกุญแจของรถชนิดที่ต้องการลักไว้หลายๆ ขนาด (รอยหยัก) แล้วเลือกลองใช้ทุกดอกที่ทำไว้ ถ้าเปิดประตูรถได้ คนร้ายก็จะเปิดประตูแล้วติดเครื่องยนต์ขับหลบหนีไป

3.ลอกแบบกุญแจ คนร้ายจะใช้วิธีสร้างความสนิทสนมกับเด็กบริการล้างอัดฉีดรถตามสถานบริการจำหน่ายน้ำมัน แล้วว่าจ้างให้เอาดินน้ำมันพิมพ์แบบกุญแจรถของจริงตามที่มีผู้สั่งซื้อไว้ โดยมีค่าจ้างในการจัดทำ คันละ 200-250 บาท โดยเด็กบริการล้างอัดฉีดจะเก็บแบบพิมพ์กุญแจดินน้ำมัน พร้อมจดหมายเลขทะเบียนรถคันนั้นไว้ให้ด้วย ต่อจากนั้นคนร้ายจะไปว่าจ้างร้านทำกุญแจทั่วไปทำกุญแจปลอมตามแบบพิมพ์ในราคาดอกละ 10-20 บาท เมื่อได้กุญแจแล้วก็จะออกตระเวนติดตามรถคันดังกล่าวเพื่อโจรกรรม

4.สร้างกุญแจ คนร้ายจะทำกุญแจในแบบและรูปทรงต่างๆ โดยไม่มีรอยหยัก ของรถตามชนิดที่ต้องการ (ระบุไว้ในใบสั่งซื้อ) แล้วเอาน้ำหมึกอินเดียอิงค์สีดำทาไว้ปล่อยให้แห้งสนิท เมื่อพบรถที่ต้องการคนร้ายจะเอากุญแจแบบรูปทรงที่ทำไว้สอดเข้าไปในรูกุญแจประตูรถแล้วบิดหมุน เพื่อให้เกิดร่องรอยที่น้ำหมึกอินเดียอิงค์ ดึงเอากุญแจออก นำไปเซาะร่องตามรอยที่ปรากฏอยู่ เมื่อวัดทำกุญแจเรียบร้อยแล้วคนร้ายก็จะออกติดตามรถคันนั้น เมื่อสบโอกาสก็จะทำการโจรกรรมทันที

5.ใช้ลวดเกี่ยวปุ่มล็อกประตูรถ รถบางชนิดที่ไม่มีหูช้าง คนร้ายจะใช้วิธีดึงกระจกที่บานประตูให้เผยอเพียงเล็กน้อย และถ้าเจ้าของปิดกระจกไม่สนิทก็ยิ่งเป็นโอกาสให้เกิดความสะดวกแก่คนร้ายมากขึ้น ต่อจากนั้นคนร้ายจะใช้ลวดทำเป็นห่วงที่ปลาย สอดเข้าไปดึงปุ่มล็อกประตูออก เปิดประตูเข้าไปในรถ ต่อไฟฟ้าสายตรง สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

6.ใช้ไขควงฉาก คนร้ายจะทำไขควงชนิดหน้าแบน ขนาดยาวประมาณ 1 ฟุต (รวมความยาวของด้าม) ที่ตอนปลายไขควง ตรงความยาวประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวไขควง ดัดงอเป็นมุมฉาก ใช้ปลายไขควงสอดเข้าไปในรูกุญแจประตูรถ งัดอย่างแรง กระปุกกุญแจประตูจะแตกและหลุดออกมา สามารถเปิดประตูรถ เข้าไปต่อไฟฟ้าสายตรง เพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

7.งัดฝาถังน้ำมัน มีรถหลายชนิดฝาถังน้ำมันอยู่ภายนอกและกุญแจเปิดฝาถังน้ำมัน กุญแจเปิดประตูรถ และกุญแจติดเครื่องยนต์ ใช้ดอกเดียวกัน คนร้ายจะใช้กุญแจเลื่อนขนาดใหญ่งัดเอาฝาน้ำมันไปทำกุญแจ โดยอาศัยร่องรอยจากรูกุญแจของฝาถังน้ำมัน เมื่อทำเสร็จแล้วจะได้ทั้งกุญแจสำหรับไขประตูรถ และติดเครื่องยนต์

8.ใช้น้ำกรด คนร้ายจะใช้น้ำกรดใส่ขวด และมีลูกยางหรือเข็มฉีดยาพร้อมหลอด ดูดน้ำกรดจากขวดน้ำไปหยอดหรือฉีดเข้าไปในรูกุญแจประตูรถ น้ำกรดจะเข้าไปทำลายช่องกุญแจ ทำให้สามารถเปิดประตูเข้าไปในรถได้ แล้วใช้วิธีต่อไฟฟ้าสายตรงเพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

9.เปิดกระจกหลังรถ คนร้ายจะใช้ไขควงงัดยางขอบกระจกหลังรถออก แล้วเปิดกระจกออกด้วยแรงดึงซึ่งกระทำด้วยความชำนาญ คนร้ายหรือลูกมือที่ใช้วิธีการนี้ส่วนใหญ่จะเคยเป็นช่างถอดหรือใส่กระจกมาก่อน เมื่อถอดกระจกออกได้แล้วจะมุดตัวเข้าไปในรถ แล้วใช้วิธีต่อไฟฟ้าสายตรง เพื่อติดเครื่องยนต์ แล้วขับรถหลบหนีไป

10.ใช้เหล็กเขี่ยสลักล็อกประตู คนร้ายจะทำเหล็กเป็นลักษณะแบนหรือกลม หรือใช้ไขควงตัวเล็กๆ แหย่เข้าไปในรูใต้หูจับเปิดรถ แล้วเขี่ยสลักล็อกประตูรถ เปิดประตูเข้าไปในรถ ใช้วิธีต่อไฟฟ้าสายตรง เพื่อติดเครื่องยนต์ ขับหลบหนีไป

11.ใช้กุญแจพิเศษ คนร้ายจะใช้เหล็กที่แข็งเป็นพิเศษทำเป็นหยักหรือร่องถี่ๆ มีขนาดความหนาเท่ากับกุญแจรถทั่วๆไป กุญแจพิเศษนี้มีความแข็งมากเป็นพิเศษ เมื่อใส่เข้าไปในรูกุญแจประตูรถแล้วบิดด้วยความแรง ความแข็งของกุญแจพิเศษจะงัดร่องในกุญแจประตูรถให้หักหรือไม่อยู่ในสภาพเดิม สามารถเปิดประตูเข้าไปในรถได้ ต่อไฟฟ้าสายตรงเพื่อติดเครื่องยนต์แล้วขับหลบหนีไป

12.ใช้คีมบิดยวงกุญแจ คนร้ายจะใช้คีมคีบยวงกุญแจประตู อาศัยแรงบีบที่แน่นและมั่นคง บิดด้วยความแรงดึงเอายวงกุญแจประตูรถออกไป แล้วนำไปจ้างช่างทำกุญแจปลอม เพื่อโจรกรรมรถคันนี้ต่อไป

13.ใช้กลอุบายรับจ้างขับรถ คนร้ายจะใช้วิธีการง่ายๆ โดยไปรับจ้างเป็นคนขับรถตามสำนักงานจัดหางาน เมื่อได้รถแล้วก็จะขับรถให้นายจ้างประมาณ 6-7 วัน ได้โอกาสก็จะขับรถหลบหนีไป

14.จี้หรือชิงรถซึ่งหน้า คนร้ายประเภทนี้จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ปฏิบัติการครั้งละ 2 คน (ขับขี่ 1 คน และซ้อนท้าย 1 คน) ติดตามสะกดรอยรถตามใบสั่ง เมื่อเจ้าของรถหรือเหยื่อขับรถคนเดียวไปจอดหรือผ่านไปในเส้นทางที่เปลี่ยวหรือลับตาคน คนร้ายก็จะใช้วิธีขับรถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวรถของเหยื่อ เมื่อเหยื่อซึ่งเป็นเจ้าของรถหยุดรถเพื่อตรวจสอบความเสียหาย คนร้ายจะใช้อาวุธปืนหรือมีดปลายแหลมจี้ให้ลงจากรถ และส่งกุญแจรถให้ คนร้ายก็จะขับขี่รถเอาไปซึ่งหน้า ทิ้งผู้เสียหายไว้ในที่ เกิดเหตุ

15.มอมยาคนขับรถยนต์รับจ้าง คนร้ายจะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นแรก คนร้ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง จำนวน 4 - 5 คน จะไปว่าจ้างรถยนต์ (ตามใบสั่งที่ต้องการ) เพื่อไปเที่ยวในต่างอำเภอหรือจังหวัด เสร็จงานก็จะจ่ายเงินให้คนขับตามปกติ ขั้นที่สอง เป็นห้วงระยะเวลา 4 - 5 วันจากขั้นแรก คนร้ายชุดเดิมจะว่าจ้างรถไปเที่ยวเหมือนเดิมแต่จะนัดหมายกับคนร้ายพวกเดียวกัน 1 - 2 คน ไปรอ ณ. จุดที่กำหนดเพื่อรอรับรถ ขณะที่คนร้ายซึ่งเป็นผู้หญิงจะพยายามหาโอกาสในช่วงที่คนขับรถรับประทานอาหารร่วมกันใส่ยานอนหลับหรือยาชนิดอื่นที่ทำให้มึนเมาหมดสติลงไปในเครื่องดื่มหรืออาหาร เพื่อมอมคนขับรถให้หมดสติ ต่อจากนั้นก็จะส่งคนขับรถไปนอนที่โรงแรมซึ่งได้จองไว้ล่วงหน้า แล้วนำกุญแจรถให้กับคนร้ายซึ่งรออยู่แล้วขับรถหลบหนีไป ซึ่งวิธีการนี้ค่อนข้างจะเป็นวิธีใหม่ในการโจรกรรมรถ

http://www.manager.co.th/

21 ตุลาคม 2552

พระตรีมูรติเทวรูปแห่งความรัก

คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าหากบูชา ?พระตรีมูรติ? จะมีความหมายที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทั้งในชีวิต ความรัก และการงาน แต่ในปัจจุบัน ได้รับการเทิดทูนจนกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ ของการประทานความรัก โดยเทวรูป ?ตรีมูรติ? ที่อยู่หัวมุมด้านซ้ายของห้างเซ็นทรัลเวิลด์(เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เก่า) ตรงข้ามกับพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ มักจะมีหนุ่มสาวจำนวนมากไปสักการบูชาและขอพรเกี่ยวกับความรัก หรือการขอพรให้มีบุตร

การสักการะบูชา
เวลาในการสักการะ คือ ทุกวันพฤหัสฯ ช่วงเช้า 9.30 น. และอีกครั้งในช่วงกลางคืน 21.30 น. การสักการะให้นำเทียนสีแดงหรือสีเหลือง 1 เล่ม ธูปสีแดง 9 ดอก พร้อม พวงมาลัยดอกกุหลาบสีแดงไปด้วย อาจจะมีของสักการะอย่างอื่นไปเพิ่มก็ได้ แต่เน้นสีแดง ในขณะที่ขอพรให้เตรียมกระดาษจดสิ่งที่ต้องการขอพรจากท่านตรีมูรติลงไปอย่างละเอียด พร้อมกล่าวชื่อ นามสกุล รวมทั้งที่อยู่ของตนเองไปด้วย
บทสวดขอพรพระตรีมูรติ
สาธุ สาธุ สาธุ อุกาสะ
ข้าแต่องค์พระตรีมูรติที่ยิ่งใหญ่ข้าพเจ้านาย,นาง............................( บอกชื่อ นามสกุล และที่อยู่ )

กราบเบื้องบาทแด่องค์ท่านแล้ว พระองค์เคยประทานพรแด่ทวยเทพทั้งหลาย ผู้ปฎิบัติดี ผู้ปฎิบัติชอบทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้ามากราบเบื้องบาทแด่พระองค์ท่านแล้ว จึงขอพรจากพระองค์ซึ่งประทานไว้ ณ บัดนี้ ( .....ขอพร..... )

เตสัง อัมหากัง พรใดอันประเสริฐจงมาบังเกิดแด่ข้าพเจ้า

ตุมหากัง และจงบังเกิดแด่ผู้คุ้มครองข้าพเจ้าฑีฆายุกา มหาเดชา มหาปัญญา มหาโภคา มหายะสา มหาลาภา ปัญจวีสติภยันจะ ทวัตติงสะ ฉันนะวุฒิติโรคัญจะ โสระสะ อุบัติอันตรายยัญจะ อัยยัญติกะอันตรายยัญจะ พาหิระ อันตรายยัญจะ วิระหิตะวา โหตุ ยาวะชีวัง พระวิสตีติ( พระตรีมูรติ )

ควรขอพรจากองค์พระตรีมูรติในเรื่องที่ดีงาม ถูกต้องตามทำนองครองธรรม พรนั้นก็จะสัมฤทธิ์ผลตามต้องการ
ที่มา : http://www.naitam.com

19 ตุลาคม 2552

เพิ่มเนื้อที่ความจำให้สมอง


1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมอง ประกอบด้วยน้ำ 85 % เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ทำงานอยู่กับบ้าน

2. กินไขมันดี คน ไม่ค่อยรู้ว่าสมอง คือ ก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลัง จากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การ ตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรม เราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริง กับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่าง จึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุก ครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่ง ใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงาน และเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมอง ใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอา ออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%

ที่มา ladinaclub

16 ตุลาคม 2552

ธาตุใหม่ที่เพิ่งค้นพบ woman VS man

ชื่อธาตุ : WOMAN

สูตรทางเคมี : Wo + Ma + N

ผู้ค้นพบ : MAN

มวลอะตอม : มาตรฐาน 50 Kg แต่อาจแปรเปลี่ยนได้จาก 40-80 Kg

ลักษณะทั่วไป : คล้ายกันหมดหากอยู่ในเขตเมือง

คุณสมบัติทางฟิสิกส์

1. พื้นผิวส่วนใหญ่เคลือบด้วยสารหอมระเหย และน้ำมันบำรุงผิว
2. เดือดที่อุณหภูมิต่าง ๆ เอาแน่ไม่ได้
3. ถึงจุดเยือกแข็งทันทีทันใดโดยไม่รู้สาเหตุ และอาจอยู่ที่จุดเยือกแข็งได้เป็นอาทิตย์
4. หลอมละลายหากได้รับการเอาอกเอาใจถูกวิธี
5. มีรสเผ็ดและขมถ้าใช้ผิดวิธี
6. แปรเปลี่ยนได้หลายสถานะตั้งแต่แข็งเป็นหินจนถึงอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ
7. ไม่ทนต่อการเสียดสี กระแทก กระทั้น

คุณสมบัติทางเคมี

1. บ้างมีฤทธิ์เป็นกรด บ้างหวานกว่าน้ำตาล บ้างเปรี้ยวกว่ามะนาวบ้างเปรี้ยวอมหวาน
2. ทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับเพชร พลอย ทับทิม ทอง ดอกไม้ และสิ่งสวยงามทุกชนิด
3. ดูดซึมข่าวสารรอบตัวได้มากมายมหาศาล และคายข้อมูลข่าวสารได้รอบทิศทาง
4. อาจระเบิดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเหตุผลและอาการเตือนล่วงหน้า
5. มีคุณสมบัติละลายเงินในกระเป๋าเมื่อเดินผ่านห้างสรรพสินค้า
6. เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกับผลไม้รสเปรี้ยว ผัก สลัด และไม่เข้ากับไขมันทุกประเภท

ผลการทดลอง

1. วัตถุตัวอย่างจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเมื่อได้รับการสัมผัสอย่างถูกที่
2. วัตถุตัวอย่างจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อมีวัตถุตัวอย่างที่สวยกว่าวางอยู่ใกล้
3. วัตถุตัวอย่างจะส่งเสียงไม่หยุดเมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

ประโยชน์

1. แบกโลกไว้ครึ่งหนึ่ง
2. ดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์
3. ทำให้โลกสดใส
4. สร้างความอ่อนโยนให้เกิดในสังคมมนุษย์
5. สร้างความตึงเครียดให้เกิดในสังคมด้วย

ข้อควรระวัง

1. สัมผัสด้วยความประณีตและให้เกียรติ มิฉะนั้นอาจได้รับอันตราย
2. ครอบครองได้เพียงชิ้นเดียว ใครฝ่าฝืนจะเกิดอาการ สามเส้าดีซีส ทำให้ทุรนทุราย( โปรดใช้วิจารณญาณเป็นอย่างสูง ในการฝ่าฝืน เพราะไม่เพียงทุรนทุราย แต่ อาจมีอันตรายถึงชีวิต )
3. ระวังของปลอมซึ่งขณะนี้ได้ระบาดอยู่ทุกพื้นที่


ชื่อธาตุ : MAN

ลักษณะทั่วไป : มีความยาวโดยเฉลี่ย 170 ซ.ม แต่อาจแปรเปลี่ยนได้จาก 150-200 แล้วแต่ว่าพบในภาคใด

คุณสมบัติทางพันธุศาสตร์

1. เจริญเติบโตได้ดีในนิโคตินและแอลกอฮอล์
2. นิยมความรุนแรง
3. มีกลิ่นเหม็น ตามธรรมชาติ
4. เฉาง่าย หากไม่ได้รับการเอาอกเอาใจ
5. อยู่ไม่เป็นที่ หาตัวยาก
6. อาจเปลี่ยนไปได้หลายบุคลิก แล้วแต่สถานการณ์(ในทางภาษาศาตร์เรียกว่า \\\'กะล่อน\\\' )
7. การตอบสนองช้า ทนต่อการเสียดสีได้ดี
8. ความจำสั้น จดจำเรื่องในอดีตไม่ค่อยได้

คุณสมบัติทางเคมี

1. มีสารประกอบใช้ทำยาระบาย และยาเบื่อได้ดี
2. ทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับสิ่งสวยงามที่ผ่านหน้า
3. เปลี่ยนได้หลายสีตามแต่ถิ่นที่อยู่อาศัย
4. คุณสมบัติเปลี่ยนรูปทรงได้เมื่อพบตระกุลใกล้เคียง

การทดสอบ

1. ตัดเนื้อเยื่อมาวิเคราะห์ พบว่าส่วนใบหน้ามีความหนามากว่าส่วนอื่นๆ
2. เมื่อสุ่มจากตัวอย่างทดลองเลี้ยงพบว่า ชอบเกาะยึดกันและกันมากกว่า จะเจริญเติบโตด้วยตัวเอง
3. มีปฏิกิริยาหวาดกลัวต่อสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า \\\'เมีย\\\' แต่ถ้ามีพวกเดียวกันอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จะแสดงอาการต่อสู้ไม่ยอมแพ้เมียทันที
4. จะมีความสุขมาก เมื่อได้ส่งเสียงโอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง
5. กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง จะอ่อนตัวพ่ายแพ้ทันที ที่ประสาท ตาส่งสัณญาณภาพเพศตรงข้ามมาให้

ประโยชน์

1. สายพันธุ์ที่ดีหากนำมาไว้ในบ้าน เชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่ค่อยพบในประเทศไทย
2. เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา
3. เป็นยามเฝ้าบ้านที่ดี เอาไว้ป้องกันตัวก็ได้
4. เป็นพาหนะใช้แบกขนสัมภาระได้ดีในยามช็อปปิ้ง

ข้อควรระวัง

1. ควรเลี้ยงด้วยความระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจนอกลู่นอกทางได้
2. ไม่ควรให้อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เพราะจะยิ่งช่วยเร่งคุณสมบัติทางพันธุศาสตร์
3. ในตัวทดลองที่อายุมาก พบว่า มักมีอวัยวะลักษณะคล้ายงูยื่นออกมาจากศีรษะ และจะฉกอย่างว่องไวเมื่อมีสิ่งสวยงามอายุน้อยเดินผ่านมา
4. แพ้สารลลายบาง ชนิดได้แก่ คำพูดหวานๆ น้ำตา กิริยาออดอ้อนออเซาะ และสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า\\\'พริตตี้\\\'

08 ตุลาคม 2552

ความสุขกับเงิน


คุณทราบหรือไม่ว่า คน ๓ กลุ่มต่อไปนี้ ได้แก่

เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ มีอะไรบ้างที่เหมือนกันหรือเท่ากัน ?

ก)อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด

ข)สัดส่วนการมีโทรศัพท์มือถือต่อประชากร ๑,๐๐๐ คน

ค)อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน

ง)ความสุข

ถ้าคุณตอบข้อ ก)-ค) คุณก็ตอบผิดแล้ว คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ ง)

จากการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว พบว่าคนทั้ง ๓ กลุ่มข้างต้นมีความสุขกับชีวิตคิดเป็นคะแนนเท่ากัน คือ ๕.๘ (จากคะแนนเต็ม ๗) โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗

ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว

การค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า ความร่ำรวยมิใช่ปัจจัยหลักของความสุข จริงอยู่คนเราจะมีความสุขก็ต้องมีเงินหรือทรัพย์สมบัติ อย่างน้อยก็ต้องเกินระดับความยากจน ถ้ายังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น ก็ยากจะมีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้คนเร่ร่อนไร้บ้านในแคลิฟอร์เนียกับคนเร่ร่อนในกัลกัตตาจึงมีความ สุขแค่ ๒.๙ นั่นคือมีความสุขเพียงครึ่งเดียวของเศรษฐีอเมริกัน มองในแง่นี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า คนรวยมีความสุขมากกว่าคนจน

แต่เมื่อมีเงินหรือทรัพย์สมบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย คนอเมริกันและคนญี่ปุ่นมีรายได้สูงขึ้นและมีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วหลายเท่าตัว แต่น่าสังเกตว่าอัตราส่วนของคนที่บอกว่า “มีความสุขมาก” ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

ทำไมมีเงินมากขึ้นจึงไม่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น? เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เราชินชากับความร่ำรวยหรือสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วมาก วันแรกที่คุณได้รถคันใหม่ที่ขับนิ่มกว่าเดิมหรูหรากว่าเดิม แน่นอนคุณย่อมมีความสุข แต่เมื่อผ่านไปสัก ๓ เดือนหรือครึ่งปี คุณก็จะรู้สึกเฉย ๆ กับรถคันนั้นแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่ง ความสุขที่เคยเพิ่มขึ้นได้ลดมาสู่ระดับเดิมก่อนที่จะได้รถคันนั้น

คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว ถ้าให้ถูกจริง ๆ น่าจะพูดว่า “เงินเช่าความสุขได้” อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

มีความสุขอีกมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินเลย และสามารถอยู่ได้ยั่งยืนกว่า เช่น ความสุขท่ามกลางครอบครัวอันอบอุ่น ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตร ความสุขจากการชื่นชมธรรมชาติ ความสุขจากการเอื้อเฟื้อผู้อื่น รวมถึงความสุขจากการทำสมาธิภาวนาชาวอามิช ชาวอินุยต์ และชาวมาไซ อาจไม่มีโอกาสเสพสุขจากวัตถุได้มากเท่าเศรษฐีอเมริกัน แต่สิ่งที่ให้ความสุขแก่พวกเขาอย่างมากมายคือ สัมพันธภาพอันงดงามทั้งกับผู้อื่นและกับธรรมชาติ รวมทั้ง

ความสุขจากใจที่สงบเย็นความสุขจากเงินนั้นมีเสน่ห์ตรงที่เข้าถึงได้ง่าย แต่อะไรที่ได้มาง่ายนั้นไม่ค่อยยั่งยืน (ลองนึกถึงความสุขจากเซ็กส์และยาเสพติดเป็นตัวอย่าง) แต่ความสุขจากสัมพันธภาพและความสุขจากจิตใจอันสงบนั้น แม้จะเข้าถึงยาก แต่อยู่ได้ยั่งยืนกว่าอย่างไรก็ตามมีวิธีหนึ่งที่เงินสามารถให้ความสุขอย่างรวดเร็วและยั่งยืน (อย่างน้อยก็นานกว่าการเที่ยวห้าง) นั่นคือ บริจาคเงินให้แก่คนจนหรือผู้ทุกข์ยาก รอยยิ้มของเขาสามารถทำให้คุณอิ่มเอิบไปได้นานทีเดียว
ที่มา : teenee.com

06 ตุลาคม 2552

9 วิธีรู้สึกดีกับตัวเอง

มีเคล็ดลับอยู่หลายข้อที่จะช่วยให้ผู้หญิงเรารู้สึกดีๆ กับตัวเองได้ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะสูงต่ำดำขาวประการใด มาดูกันค่ะ

1.หยุดพูดถึงความอ้วน
คนเราถ้าเริ่มต้นคิดถึงเรื่องไหนๆ ในด้านลบ ก็มักจะจบลงด้วยความไม่ดีของตัวเอง อย่าย้ำเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไมฉันอ้วนอย่างนี้นะ อย่าเสียเวลาบ่นซ้ำซาก มันจะฝังลงในใจจนเรารู้สึกไม่ชอบตัวเอง สนใจในเรื่องสบายอกสบายใจดีกว่า เวลาทักกันเลิกทักว่าทำไมดูอ้วนขึ้นหรือผอมลงเสียทีก็ดีค่ะ

2.อย่าส่องกระจกนานไป
นักเขียนวัย 36 ปีคนหนึ่งบอกว่าชอบทำโยคะ เพราะไม่มีกระจกในห้องโยคะ จะได้ไม่ต้องเห็นรูปร่างของตัวเอง เธอไม่ได้ออกกำลังเพื่อลดความอ้วน แต่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีขึ้น ถ้ายังมีกระจกอยู่ก็คงมัวแต่มองหุ่นของตัวเองว่าอ้วนแค่ไหน

3.เลิกอดอาหาร
วันที่ 6 พฤษภาคม เป็นวัน No Diet Day สากล มีสโลแกนว่า "การคิดถึงเอวเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับจิตใจ" และ "ชีวิตคืองานเลี้ยงฉลอง ไยฉันจึงต้องมาอดอยาก"

4.มองโลกในแง่ผอม
งานวิจัยหนึ่งของมหาวิทยาลัย Brock ใน Ontario สหรัฐฯ บอกว่า ผู้หญิง 31 เปอร์เซ็นต์ที่น้ำหนักปกติดีสุขภาพสมบูรณ์ คิดว่าตัวเองหนักเกินไป เปรียบเทียบกับผู้ชาย มีอยู่แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ที่คิดว่าตัวเองมีน้ำหนักเกิน เราต้องหยุดวิเคราะห์รูปร่างใครๆ รวมทั้งตัวเองเสียที

5.ใส่เสื้อผ้าที่ให้ความมั่นใจ
ผู้หญิงวัยร้อยปีคนหนึ่งบอกว่า การสร้างความประทับใจไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นการสวมเสื้อผ้าที่มั่นใจ จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจโดยเฉพาะชุดเก่ง(คงต้องเชื่อเธอบ้างเพราะเธอผ่านชีวิตมาน านขนาดนั้น!)

6.พูดดีๆ กับตัวเอง
ถ้ามีคนพูดกับเราว่า "เธอน่ะอ้วนจะตาย คางเป็นชั้น อกนิดเดียว ก้นงี้ใหญ่เป็นกระจาด" คงแทบจะถลาไปบีบคอเขาใช่ไหมคะ ฉะนั้นก็ต้องหัดพูดกับตัวเองดีๆ ด้วยเหมือนกัน จะได้รู้สึกดีกับตัวเอง

7.เลิกชั่งน้ำหนัก
เราเข้าใจไปในทางเดียวกันว่า เครื่องชั่งน้ำหนักเป็นตัวคอยเตือนว่าเราน้ำหนักเกินไปหรือยัง แต่ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามันยิ่งทำให้เรากังวลกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปสักโลฯ สองโลฯ เกินเหตุ ทั้งที่ดูด้วยตาเปล่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

8.เลิกปลื้มภาพตัวเองในอดีต
ภาพสาวเอวบางร่างน้อยในอดีตอันไกลโพ้นของเราก็ดีอยู่ที่ทำให้ปลื้มได้ไม่รู้จบ แต่อย่าติดอยู่กับอดีตให้มันตามมาหลอกหลอนจนเราหมดความสุขในปัจจุบัน

9.แต่งตัวเพื่อตัวเอง
ไม่ต้องเชื่อฟังข้อแนะนำความงามอยู่ตลอดเวลาหรอกค่ะ เรามักจะแนะนำว่าถ้าจะดูดีต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ห้ามใส่อย่างโน้นอย่างนี้ แม้ทำแล้วจะสวยขึ้นจริงๆ ก็ช่างมันบ้าง สนุกกับชีวิตดีกว่า

หลังจากอยู่ในกองข้อมูลเพียบขนาดนี้ ดิฉันเริ่มมองตัวเองในมุมใหม่ แม้ยังไม่เชี่ยวชาญดี แต่เริ่มรู้สึก...สวยขึ้นอีกนิดแล้วละสิ

จาก: นิตยสาร Teens & Family

30 กันยายน 2552

มารยาทในการใช้โทรศัพท์มือถือ


โทรศัพท์มือถือเปลี่ยนแปลงวิธีสื่อสารของเราไปจากเดิมและก่อให้เกิดพฤติกรรมไม่ดีแบบใหม่ๆขึ้น เกียก ลิม ที่ปรึกษาและวิทยากรเกี่ยวกับ มารยาททางสังคมจากสิงคโปร์ซึ่งจัดสัมมนาเรื่องมารยาทในการใช้โทรศัพท์มือถือมาแล้วหลายครั้งให้คำแนะนำในเรื่องนี้ไว้

1.เมื่อมีสายเรียกเข้าแต่คุณไม่ได้รับ คุณต้องโทรฯกลับ "คุณควรโทรฯกลับเร็วที่สุดภายในวันรุ่งขึ้นเป็นอย่างช้า ถ้าโทรฯกลับช้ากว่านั้น คุณควรขอโทษและบอกเหตุผลด้วยว่าทำไมถึงโทรฯกลับช้า"

2.ควรส่งข้อความสั้นๆและตรงประเด็น ถ้าข้อความยาวกว่าสี่หรือห้าบรรทัด คุณควรโทรฯคุยหรือส่งอีเมลดีกว่า "คำที่พิมพ์แบบย่อๆควรใช้กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเท่า นั้น ห้ามใช้ในการติดต่อธุรกิจเป็นอันขาด"

3.รักษาระดับเสียงแบบ ที่คุณใช้พูดกับคนที่อยู่ตรงหน้า ถ้าสัญญาณไม่ดี อย่าเปล่งเสียงดังขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิน คุณควรเปลี่ยนที่คุยเพื่อให้ได้สัญญาณดีขึ้น ถ้าสัญญาณยังขาดๆหายๆ รบกวนให้อีกฝ่ายโทรฯมาใหม่ หรือคุณจะเป็นฝ่ายโทรฯกลับไปเองภายหลัง

4.เมื่อสายหลุดเพราะสัญญาณไม่ดี คนที่โทรฯมาควรจะโทรฯใหม่ "ผู้รับสายอาจไม่สะดวกโทรฯโดยเฉพาะในกรณีหมายเลขที่โทรฯเข้ามาไม่ใช่หมายเลขที่บันทึกไว้ หรือเป็นการโทรฯทางไกลจากต่างประเทศ"

5.เรื่องอ่อนไหวหรือความลับไม่ควรสื่อสารกันด้วยการส่งข้อความ แต่อาจส่งข้อความเพื่อนัดพบหรือนัดเวลาโทรฯคุยเรื่องแบบนี้กันจะดีกว่า

6.เมื่อมาไม่ทันนัดหมายหรือการประชุม คุณสามารถส่งข้อความบอกว่าจะมาสายได้ ข้อความควรสื่อการขอโทษและความจริงใจ "ข้อความว่า "ขอโทษ จะไปสายประมาณ 30 นาทีเพราะเครื่องบินมาถึงช้า" เป็นข้อความที่สุภาพและนึกถึงหัวอกผู้อื่น"

7.การรับสายขณะประชุมจะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณบอกประธานในที่ประชุมไว้แล้วว่าอาจมีโทรศัพท์ด่วนถึงคุณ ถ้ามีโทรศัพท์ด่วนมาโดยไม่คาดคิด ให้ขอโทษผู้เข้าร่วมประชุมและอธิบายว่าทำไมจึงจำเป็นต้องรับสายนั้น จากนั้นจึงออกไปคุยโทรศัพท์นอกห้องประชุม