06 สิงหาคม 2552

ศาสตร์แห่งรัก

ศาสตร์แห่งรัก
พบกับ 12 วิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณได้พบคู่ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
โดย เมแกน เกรสเนอร์


ต่อไปนี้คือ 12 วิธีที่พิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพบคู่รักที่เหมาะเจาะที่สุดสำหรับคุณ (ใช่แล้ว นักวิชาการได้รับการว่าจ้างให้ทำการวิจัยศึกษาเรื่องความดึงดูดใจระหว่างคนสองคน หรือที่เราเรียกกันว่าความรัก) การค้นพบ นี้ลบล้างความเชื่อแบบนิยายรักหวานชื่นที่เคยมีมา ตั้งแต่เรื่องแรงดึงดูดของคนที่ตรงข้ามกัน หรือที่ว่ายิ่งห่างก็ยิ่งรัก ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ความเชื่ออื่นๆที่น่าจะเป็นจริงด้วย

คู่กันย่อมคล้ายคลึง
มองหาคนที่คล้ายคุณมากที่สุด เพราะเป็นไปได้ว่าเขาหรือเธอก็กำลังมองหาคุณเหมือนกัน เรานิยมคู่ที่มีภูมิหลังคล้ายๆกัน มีความสนใจคล้ายกัน มีค่านิยมความเชื่อคล้ายกัน เพราะสิ่งนั้นจะพิสูจน์มาตรฐานของตัวเราด้วย ยิ่งกว่านั้น ธรรมชาติจะดึงเราไปหาคู่ที่หน้าตาคล้ายเรา เซอร์ฟรานซิส กัลทัน นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญสนใจปรากฏการณ์นี้ตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว และนับแต่นั้นมา มีผลการวิจัยมากมายยืนยันเรื่องความคล้ายกันระหว่างคู่รักหลายคู่


ใกล้ตัวใกล้ใจ
ลืมเรื่องรักทางไกลไปได้เลย นี่คือกฎเหล็กอีกข้อ วางตัวให้อยู่ใกล้บุคคลที่เป็นเป้าหมายรักของเราเข้าไว้ ไม่ว่าเป็นโต๊ะทำงานที่ใกล้กัน หรือบ้านซอยถัดไปก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้พบกันอยู่เรื่อยๆ นี่จะช่วยได้มาก เพราะยิ่งเราเจอเขาบ่อยขึ้นเท่าไร เราก็จะชอบเขามากขึ้นเท่านั้น (นอกเสียจากว่าเราจะไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรก ในกรณีนี้ผลอาจเป็นตรงกันข้าม) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรามักจะลงเอยกับเพื่อนร่วมงานหรือหนุ่มสาวข้างบ้าน


เผยใจให้รู้แจ้ง
เลิกทำตัวเข้มแข็งและเงียบเฉยไปเลย เพราะ ดร. อาเทอร์ แอรอน นักจิตวิทยาสังคม บอกว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์นั้นคือการแค่ได้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังสนใจคุณอยู่ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดีต่อตัวเองจนเผื่อแผ่ออกมาเป็นความรู้สึกดีๆต่ออีกฝ่ายด้วย เราจะให้ความอบอุ่นต่อคนที่ชื่นชมเรา ดังนั้น การที่รักใครแต่กลับเก็บงำความรู้สึกไว้อย่างนิยายน้ำเน่าจึงไม่ค่อยได้ผลในชีวิตจริง


ดวงตามันฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่นักรักมักจะพูดถูกก็คือ สิ่งที่เราเรียกว่า "รักแรกพบ" อาจมีอยู่จริง กล่าวคือ ถ้าคู่ไหนมองตากันนานเท่าไรเวลาพบกัน คู่นั้นก็จะยิ่งชอบคนที่ตัวเองมองมากขึ้น ถ้าคุณมีรูม่านตาที่เปิดกว้างก็ยิ่งเป็นข้อดี เพราะนั่นคืออวัยวะที่ดึงดูดใจมากที่สุด ผลวิจัยโดยเอกคาร์ด เฮสส์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า เมื่อให้กลุ่มทดสอบดูรูปเพศตรงข้ามสองภาพซึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างยกเว้นขนาดม่านตา รูปคนที่มีรูม่านตาใหญ่กว่าหรือพูดง่ายๆว่าตาโตได้รับเลือกให้เป็นรูปที่มีเสน่ห์มากกว่าถึงสองเท่า แม้กลุ่มทดสอบจะดูเรื่องขนาดม่านตาไม่ออกเลย รูม่านตาที่ขยายกว้างคือสัญญาณของความตื่นเต้นเร้าใจที่รุนแรง


ภาษากาย
ไม่รู้จะใช้มายาเล่มเกวียนไหนแล้วใช่ไหม ลองกลับมาดูที่ภาษากายดีกว่า นี่คือรูปแบบของการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด แต่เข้าใจกันได้ทั้งสองเพศ ภาษากายที่เห็นได้ชัดที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ แค่จ้องตาอีกฝ่ายและยิ้ม จากนั้นก็จะมีท่าทาง "แต่งองค์ทรงเครื่อง" อย่างเช่น เล่นผมตัวเอง เป็นต้น
ตามคำบอกเล่าของอัลลัน พีซ ผู้เขียนหนังสือ ยอดคู่มือภาษากาย (The Definitive Guide to Body Language) กล่าวว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์ผู้ชายได้ดีก็คือท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามของผู้หญิง ซึ่งรวมถึงการเผยให้เห็นจุดอ่อนไหวในร่างกาย เช่น ข้อมือหรือช่วงคอ รวมทั้งท่านั่งไขว้ขา สังเกตได้จากท่วงท่าเด็ดของเจ้าหญิงไดอานาผู้ทรงเสน่ห์ก็คือท่านั่งไขว้ขาและสอดเท้าของขาบนไว้ใต้น่องล่าง)


ส่วนผู้ชายก็จะทำให้ตัวเองดูเด่นขึ้นจากการนั่งแผ่กินที่และอ้าขาทั้งสองออกกว้างเผยให้เห็น "หว่างขา" โดยที่นิ้วหัวแม่มือสอดไว้ในกระเป๋า และนิ้วชี้ชี้ไปที่อวัยวะเพศของตัวเอง (ท่านี้ใช้ได้สำหรับไมเคิล แจ็กสันอยู่พักใหญ่)


แต่งตัวสวยสะ
ลืมที่แม่เคยสอนไว้เรื่องความงามจากภายในได้เลย เกือบทุกคนบนโลกจะมองว่าคนที่ดูดี ฉลาด เซ็กซี จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ดูธรรมดาๆ
ตามมุมมองของนักทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม เราให้คุณค่าต่อคุณลักษณะบางอย่างที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสืบทอดเผ่าพันธุ์ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมชายถึงชอบหญิงที่อายุน้อยกว่า มีผมยาวเป็นเงางาม และมีขนาดสะโพกใหญ่กว่าเอวประมาณหนึ่งในสาม (ทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความเยาว์วัย สุขภาพ และความสมบูรณ์พร้อมของร่างกายที่จะมีลูก) ส่วนหญิงจะชอบผู้ชายที่สูงกว่าอายุมากกว่า เพราะพวกเขามีแนวโน้มจะมีทุกอย่างพร้อมที่เอื้อต่อการมีลูก


เลือกคำพูด
ความแตกต่างทางเพศที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนถึงการใช้คำในการโฆษณาหาคู่ด้วย ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าโฆษณาหาคู่ของผู้หญิงจะเน้นเรื่องรูปโฉม แต่ของผู้ชายจะเน้นเรื่องทรัพย์ และหญิงที่อายุมากหน่อยก็ยอมรับว่าได้รับการตอบรับน้อยกว่า ขณะชายที่อายุมากกลับตรงกันข้าม
แต่คุณผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆและชายผู้ไร้สมบัติทั้งหลายอย่างเพิ่งท้อใจ เพราะยังมีคำคำหนึ่งที่เหมาะจะใส่ลงไปในโฆษณาหาคู่ทุกรูปแบบคือคำว่า "อบอุ่น" คนที่ได้รับการกล่าวถึงว่าอบอุ่นนั้น เชื่อกันว่าเป็นคนที่มีความสุข เข้าสังคมได้ดี ฉลาด และเป็นที่ชื่นชอบ


เลี่ยงการเปรียบเทียบ
ถ้าถืองานวิจัยของซารา กูตีเรส และดักลาส เคนริกจากภาควิชาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนาเป็นเกณฑ์ ก็กล่าวได้ว่าเราชอบเอาคู่เราไปเปรียบกับมาตรฐานที่ค่อนข้างสูง นักวิจัยขอให้ผู้ชายให้คะแนนรูปโฉมของคู่นัดตัวเองหลังดูภาพหน้ากลางของนิตยสารเพลย์บอย หรือดูรายการโทรทัศน์ที่มีดาราสาวสวย เดาได้ไม่ยากว่าคะแนนของบรรดาคู่นัดหลังดูภาพและรายการจะต่ำกว่าเดิม
เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าผลกระทบจากสิ่งตรงกันข้าม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อการรับรู้ในความแตกต่างที่สัมพันธ์กันจะถูกบิดเบือนไปตามลำดับของสิ่งที่เราพบเห็น อย่างเช่น ถ้าคุณมองวัตถุสีทึบชิ้นหนึ่งหลังมองวัตถุสีสว่าง วัตถุสีทึบก็จะดูทึบกว่าเมื่อมองครั้งแรกโดยไม่เปรียบเทียบกับสิ่งอื่น



รักลิงโลด
ในฉากสุดท้ายของหนังปี 2537 เรื่อง Speed แซนดรา บูลล็อกบอกเคียนู รีฟส์ว่า "ฉันได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐาน มาจากประสบการณ์น่าตื่นเต้นที่มีร่วมกันนั้นจะไปไม่รอด" ซึ่งเขาก็ตอบว่า "งั้นเราคงต้องเริ่มจากเซ็กซ์เสียแล้ว" แต่ความจริงนั้นก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองประโยค เพราะประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจะนำไปสู่ความดึงดูดทางเพศ ยิ่งถูกปลุกเร้าจากอะไรก็ตาม ตั้งแต่จากความกลัวไปถึงความสุขที่เรามีร่วมกันกับคนที่เราคาดหมายไว้ เราก็รู้สึกว่าเขายิ่งน่าดึงดูดใจมากขึ้น จากผลการศึกษาของซินดี เมสทันและเพนนี ฟลอริก นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเมื่อขอให้กลุ่มทดสอบให้คะแนนเพศตรงข้ามก่อนและหลังการเล่นรถไฟเหาะด้วยกัน ผลกระทบจากสิ่งที่เราเรียกว่าการถ่ายโอนความตื่นเต้นนี้คือ ไม่ว่าหัวใจเราจะลิงโลดโดดเต้นจากเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราโยงกับคนที่เราร่วมประสบการณ์ด้วย เราก็จะรู้สึกติดใจเขาหรือเธอคนนั้น


ชื่อก็บอกอะไรได้
อัลเบิร์ต เมราเบียนจากภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ค้นพบว่าชื่อบางชื่อสามารถเชื่อมโยงกับคุณลักษณะในทางลบและถูกมองว่าเป็นชื่อที่มีศีลธรรมน้อยกว่า เป็นที่ชื่นชอบน้อยกว่า และประสบความสำเร็จน้อยกว่า และถ้าคุณมีชื่อแรกเหมือนคนมีชื่อเสียง คนอาจมองว่าคุณมีบางอย่างเหมือนคนเหล่านั้น นับเป็นข่าวร้ายของคนที่ชื่อ อะดอล์ฟ หรือโมนิกา


ฤทธิ์เบียร์
อ็อกเดน แนช นักกวี กล่าวว่า "น้ำตาลนั้นหวานกล่อมลิ้น แต่สุรากินแล้วใจแตกซ่าน" ผลวิจัยแสดงว่าคนโสดที่ไปหาคู่ในผับบาร์จะจู้จี้น้อยลงเมื่อใกล้เวลาบาร์ปิด การค้นพบนี้เรียกกันว่า "ฤทธิ์เบียร์พรางตา"
ผู้ค้นพบนี้คือศาสตราจารย์เจมี เพนนีเบเคอร์แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ซึ่งตัด- สินใจจะทดสอบเนื้อหาของเพลงลูกทุ่งที่ร้องว่า "ผู้หญิงสวยขึ้นเมื่อบาร์ใกล้ปิด" เขาขอให้ลูกค้าในบาร์ให้คะแนนเพศตรงข้าม ที่เป็นเป้าหมายสามครั้งในหนึ่งคืน (คือช่วง 21.00 น. 22.30 น. และเที่ยงคืน) แน่นอน ทั้งสองเพศดูดีที่สุดตอนเที่ยงคืน ไม่ได้หมายความว่าคุณเมาจนตาลาย แต่ยิ่งเวลาในการหาคู่เหลือน้อยลงเท่าไร ใครก็ตามที่อยู่รอบๆตัวก็จะเริ่มดูดีขึ้น



มีความสุขร่วมกัน
ยิ่งเรารู้สึกดีเท่าไร เราก็จะชอบคนที่เราอยู่ด้วยมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าคู่นัดของคุณอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่หัวค่ำก็ต้องช่วยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ไม่งั้นคุณอาจไม่มีหวัง ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรับผิดชอบกับทุกความสุขหรือทุกข์ของเขา แต่คุณควรจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งจะช่วย ห่อหุ้มคุณด้วยกลิ่นไอดีๆจากสถานที่นั้น นี่คือเหตุผลที่คุณควรพิถีพิถันในการเลือกสถานที่ซึ่งจะพาคู่นัดไป อย่าพาไปในที่เคร่งเครียด อย่างคลินิกฟัน หรือแดนสงคราม เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน ซึ่งจะพานติดตัวคุณตลอดไปในสายตาของอีกฝ่าย


...คราวนี้ก็ระดมทุกกลเม็ด
ถ้าคุณอยากจะได้แอ้มก็ต้องพาคู่นัดไปเล่นกระโดดบันจี แน่ใจได้เลยว่าต้องเร้าใจสุดๆ แล้วไปดูหนังที่นักแสดงหน้าตาน่าเกลียด ก่อนจะจบค่ำคืนที่บาร์แสงสลัว แม้ฤทธิ์เบียร์พรางตาจะยังไม่ทำงาน แต่ความมืดก็น่าจะช่วยขยายรูม่านตาและเพิ่มโอกาสให้คุณได้


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.readersdigest.co.th/