30 กรกฎาคม 2552
25 ความเชื่อตลก ๆ ในวัยเด็ก
28 กรกฎาคม 2552
เวลาคุณภาพ...
คนโง่...คนฉลาด...คนเจ้าปัญญา
27 กรกฎาคม 2552
26 กรกฎาคม 2552
สุขใจจากคำ 'รัก' มีค่ามากกว่าแสน
เดลิเมล์ - การได้ยินคนบอกรักเป็นหนึ่งในเสี้ยววินาทีอันมีค่าของชีวิต ที่อาจคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ที่ 163,424 ปอนด์ จำนวนดังกล่าวคำนวณมาจากการขอให้กลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน จัดลำดับ 50 เหตุการณ์ในชีวิต เช่น การมีลูก หรือการไปท่องเที่ยว และนำมาเปรียบเทียบกับความสุขจากการถูกล็อตเตอรี่
เบรนจุยเซอร์ บริษัทวิจัยตลาดเผยผลการสำรวจที่ระบุว่า
อันดับ 1 คือ การมีสุขภาพดีโดยผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่ามีค่าเท่ากับเงิน 181,105 ปอนด์
อันดับ 2 คือ การที่มีใครคนหนึ่งมาบอกว่า 'ฉัน (ผม) รักคุณ' มีค่าเท่ากับเงิน 163,424 ปอนด์
อันดับ 3 คือ ความสัมพันธ์ที่มั่นคงที่มีมูลค่า 154,849 ปอนด์
อันดับ 4 คือ การอยู่ในประเทศที่ปลอดภัยและสงบสุขถูกคำนวณออกมาเป็นตัวเงิน 129,448 ปอนด์
อันดับ 5 คือ การมีลูก 123,592 ปอนด์
อันดับ 6 คือ การหัวเราะเป็นประจำที่มีค่า 108,021 ปอนด์
อันดับ 7 คือ กิจกรรมใต้ผ้าห่มโดยมีค่า 105,210 ปอนด์
อันดับ 8 คือ การไปท่องเที่ยวมีค่าเท่ากับ 91,769 ปอนด์
อันดับ 9 คือ การอ่านหนังสือ 53,660 ปอนด์
สตีฟ เฮนรี ผู้เขียน 'ยู อาร์ เรียลลี ริช: ยู จัสต์ ดอนท์ โนว์ อิต' ที่มอบหมายให้เบรนจุยเซอร์ทำการสำรวจนี้ บอกว่าหนังสือของเขาเป็นเรื่องราวของระบบมูลค่าใหม่ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับระบบการเงิน "ผลลัพธ์โดยตรงจากวิกฤตสภาพคล่องก็คือ คนเราแสวงหาวิธีใช้ชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม และมองหาบางสิ่งที่จะมาแทนที่เงินในการใช้เป็นเกณฑ์การประเมินค่า"
เดวิด อัลเบิร์ตส์ นักเขียนร่วมของหนังสือดังกล่าวสำทับว่า "คุณอาจพบเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่รวยกว่านายแบงก์ ช่างประปาที่รวยกว่านักการเมือง "เราเริ่มมองสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างแท้จริงในชีวิตของผู้คน และพบว่าชีวิตมีอะไรมากมายกว่าการมัวกังวลกับการรัดเข็มขัดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย "คนพูดถึงเงินกันน้อยลง และหันไปให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกับครอบครัว ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ใช้เวลากับตัวเองเงียบๆ และไปสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนมากขึ้น"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
23 กรกฎาคม 2552
ชีวิตนี้มีแต่สุข
ในยุคนี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของตํานานพูดไปด่าไปอันลือลั่น การที่คนคนหนึ่งซึ่งดูดุดัน ก้าวร้าวจะสามารถบรรจงสร้างงานศิลปะที่อ่อนช้อย งดงามราวเนรมิตได้นั้น มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร เรามารู้จักตัวตนของเขาให้ลึกซึ้งกว่าที่เคยกันดีกว่า
ขอเริ่มด้วยความสําเร็จของอาจารย์ในวันนี้ว่ามีที่มาอย่างไร
มีธรรมะและสติเป็นธงชัยนําชีวิต รู้ตลอดเวลาว่าเรากําลังทําอะไร ไม่หวังจะกอบโกย รักในสิ่งที่ทํา มุ่งมั่นตั้งใจจริง ธรรมะสอนให้มีเป้าหมาย ทําให้เราสามารถดํารงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในโลกนี้อย่างปราศจากทุกข์ เมื่อปราศจากทุกข์แล้ว เราจะมีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รู้จักให้เกียรติผู้อื่น ทําให้เจริญก้าวหน้า ทําอะไรก็สําเร็จ
สวัสดิการมีอะไรบ้าง
รู้สึกว่าตัวเองมีธรรมะตั้งแต่เมื่อไร
22 กรกฎาคม 2552
This is love...
when the bus comes, you look at it and you said to yourself.
"eee....so full....cannot sit down one". "
so you said to yourself, "i'll wait for the next one".
"so you let the bus go and waited for the second bus.
then the second bus came, you looked at it and you said,
"eee...this bus so old..surely very uncomfortable one." "
so you let the bus go and again, decided to wait for the next bus.
after a while another bus came,
it's not crowded, not old but you said,
"eee..no air-con one..and the weather is so warm,better wait for the next one" "
so again you let the bus go and decided to wait for the next bus.
then the sky started to get dark as it is getting late.
you panicked and jump on to the next on coming bus.
it is not until much later that you found out
that you had boarded on to the wrong bus!
so you wasted your time and money waiting for what you want!
even if an airson bus came, can you ensure that the aircon bus
won't break down or whether will the aircon be too cold for you?
so people wanting to get what you want is not wrong.
but it wouldn't hurt to give other people a chance right?
if you found that the "bus" doesn't suit you,
just press the redbutton and get off the bus.
but wait...i'm sure you have this experience before.
you saw a bus coming (th e bus you want of course)
you flagged it but the driver act blur
by pretending not seeing you and zoomed pass you!
well, and when the bus zoomed pass, what you may have to do is WALK!!!!
the bottom line is being loved is like waiting for a bus whether you want.
to get on the bus and give the bus a chance depends totally on you.
and walking is like being out of love.
you never lose by loving.
you always lose by holding back.
--------------------------------------------------------------------------------
อย่า!.. อย่าปล่อยให้คนที่เข้ามา "หลงชอบคุณ" แต่เขาเป็นคนที่คุณไม่สนใจ ไม่ใช่คนที่คุณต้องการ
อาจจะไม่สวย ไม่หล่อไม่ใช่สเป็กคุณ แล้วปล่อยให้เขาผ่านไป หรือจากคุณไป.. เมื่อเขาออกไปจากชีวิตคุณ คุณอาจจะเพิ่งเริ่มรู้สึกก็ได้ว่า.. เขามีความสำคัญต่อคุณแค่ไหนและในตอนนั้น คุณอาจจะไม่มีโอกาส ที่จะดึงเขากลับมาอีกแล้ว....
21 กรกฎาคม 2552
ข้อคิดดี ๆ เพื่อครอบครัว
20 กรกฎาคม 2552
สูตรแห่งความสุขแบบที่ 3(ทัศนคติ)
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
สูตรแห่งความสุขแบบที่ 1(สุขภาพ)
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆตอนเที่ยง และตกเย็นแล้วทำตัวเป็นยาจก ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ
- energy หรือพลังงาน
- enthusiasmหรือกระตือตือร้น
- empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
ที่มา : fwd
สูตรแห่งความสุขแบบที่ 2 (บุคลิก)
18 กรกฎาคม 2552
รวมเด็ด เกร็ดชีวิต
16 กรกฎาคม 2552
10 วิธีดูแลสมอง
1. กินเพื่อสมองดี
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้งๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด
2. คิดเพื่อสมองดี
ลองสังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อๆ หรือเจอเรื่องแย่ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็ลืมมันซะ
การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมากๆ และเรื่องราวความเครียดต่างๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบายๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง
4. เรียนรู้สิ่งใหม่
การพัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อยๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549)
5. เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด
การเขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย
6. ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้
เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดีๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย
7. หายใจช่วยให้สมองใส
การหายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้าๆ ลึกๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม
8. เข้านอนแต่หัวค่ำ
ภายในร่ายกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
9. นั่นสมาธิ จิตมีพลัง
การนั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุดๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์
10. เสริมวัตามิน กินไขมันดี
กินไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่นๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า
13 กรกฎาคม 2552
ปริญญา 2 ใบของไมเคิล แจ็คสัน
ชีวิตของไมเคิล ควรให้คุณค่าแก่เราผู้ยังอยู่มากไปกว่าการเที่ยวตามสะสมผลงาน หนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึก เสื้อผ้า ที่เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งไม่มีคุณค่าแท้แต่อย่างใด เพราะสิ่งของเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมคลายมนต์ขลังลงไป ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางใดๆ ขึ้นมาแก่ชีวิตของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นเพียง “รอยอาลัย” เล็กๆ น้อยๆ ที่จะค่อยๆ เลือนหายไปกับกาลเวลาเท่านั้นเอง
ที่ถูกนั้นเราควรได้ประโยชน์จากมรณกรรมของเขาในทางจิตใจ หรือในทางสติปัญญามากกว่าทางวัตถุ โดยเราควรถือว่า “หนึ่งคนตาย เพื่อให้ล้านคนตื่น”
การตายของไมเคิล แจ็กสัน ควรทำให้เราตื่นในหลายประเด็นด้วยกัน
ประการที่หนึ่ง
ประการที่สอง
บทเพลงแห่งการุณยธรรมทั้งสองเพลงนี้ ได้รับการขับขานอย่างกึกก้องทั้งในยามที่เขายังคงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์เหมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ และถูกขับขานต่อมาอย่างไม่เสื่อมคลายนับครั้งไม่ถ้วนในงานต่างๆ มากมายที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกสากลของผู้คนในระดับโลกให้ตระหนักรู้ว่า โลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน และสงครามไม่ใช่สิ่งอันพึงประสงค์ในทุกกรณี ไมเคิล คือ บุคคลตัวอย่างคนหนึ่งที่รู้จักใช้ “ความดัง” ของตัวเองมาสร้าง “ความเด่น” ในทางดีงามเพื่อเกื้อกูลสังคมและมนุษยชาติ ในลักษณะ “ยืมแสงดาวมาสกาวแสงธรรม” ได้อย่างน่ายกย่องยิ่งนัก
ประการที่สาม
คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา อัจฉริยภาพของเขาหายไปไหนหมด ?
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้อย่างหมดจด เพราะคงไม่มีใครรู้จักเขาดีที่สุดเท่าตัวเขาเอง แต่จากข่าวคราวที่เราได้ทราบ และจากฐานข้อมูลที่เราพอจะสืบค้นได้ ทำให้เราพอจะสันนิษฐานได้ว่า ความยุ่งเหยิงมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขานั้น คงหนีไม่พ้นเกิดจากการขาด “ทักษะในการดำเนินชีวิต” นั่นเอง
“ทักษะในการดำเนินชีวิต” ก็คือ ธรรมะที่จะใช้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการชีวิตทั้งในยามสุขยามทุกข์ ยามรุ่งโรจน์และยามร่วงโรย
ทักษณะในการดำเนินชีวิต ก็คือ หนึ่งในปริญญาสองใบที่ผู้เขียนพูดถึงอยู่เสมอ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า คนเรานั้นจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีตาครบทั้งสองข้าง
ตาสองข้างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปริญญา 2 ใบ”
ปริญญาใบที่หนึ่ง เป็นปริญญาวิชาชีพ (ทำงานเป็น, ตั้งตัวได้)
ปริญญาใบที่สอง เป็นปริญญาวิชาชีวิต (ปัญหาเกิดขึ้นมา แก้ปัญหาได้)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไมเคิล แจ็กสัน สอบผ่านได้ปริญญาเอก เกียรตินิยมเหรียญทองในแง่ปริญญาวิชาชีพ เพราะเขาได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า เขาคือ “อัจฉริยศิลปิน” ที่โลกไม่ลืม และไม่มีทางหาอะไหล่สำรองได้อีกแล้ว
แต่ในแง่ปริญญาวิชาชีวิตนั้น เขาคงสอบผ่านเพียงปริญญาตรีแบบคาบเส้นเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตให้เกิดความสมดุลได้ ชีวิตของเขาตกอยู่ในภาวะ “งานสัมฤทธิ์ แต่ชีวิตไม่รื่นรมย์”
ไมเคิล แจ็กสัน จากพวกเราสู่สวรรค์ชั้นดนตรีรุจีรัตน์เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เราทั้งหลายที่ยังคงอยู่ ซึ่งจะต้องเรียนรู้จากชีวิตของไมเคิลอย่างลึกซึ้งว่า สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิตของไมเคิล สิ่งนั้นเราจะต้องหามาเติมให้เต็มให้ได้ในช่วงชีวิตของเรา
ปริญญาวิชาชีพ ปริญญาวิชาชีวิต
เราทุกคนควรพัฒนาตัวเองขึ้นไปจนได้ปริญญาเอกทั้งสองสาขานี้ให้ได้ด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้ว เราทั้งหลายก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียวเหมือนไมเคิล ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ไมเคิลจากไปแล้ว จึงหมดเวลาแก้ตัว แต่เราทุกคนที่ยังคงอยู่ ยังไม่สายเกินไปที่จะแสวงหาปริญญาทั้งสองใบนี้มาประดับชีวิตให้เกริกเกียรติ มีคุณค่า น่าภูมิใจ และจากไปอย่างคนที่สมบูรณ์ด้วยปริญญาทั้งสองใบ
สร้างสุขง่าย ๆ สไตล์ "หนูดี"
ภายในงานหนูดีได้มาบอกเคล็ดลับที่จะช่วยทำให้คุณเกิดความสุขได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวัน แต่ถ้าทำได้ความสุขก็จะอยู่กับเราอย่างถาวร
1.คนที่มีความสุขเป็นพิเศษในสังคม
หนูดีเล่าให้ฟังว่า มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง คือ ดร.เซลิกแมน และดร.ไดเนอร์ ได้ไปสัมภาษณ์และสังเกตอย่างใกล้ชิดกับคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่จัดการชีวิตได้ดีมาก และมีความสุขมากเป็นพิเศษ และพบว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากคนทั่วไป นอกจากวิธีการตีความปัญหาและวิธีการพลิกฟื้นเยียวยา สำหรับวิธีการตีความปัญหานั้น อย่างเช่น เมื่อคนกลุ่มนี้ถูกโกงขึ้นมา เขาจะไม่ฟูมฟาย แต่จะมองว่าเราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนเวลาในการพลิกฟื้นเยียวยานั้น กลุ่มนี้จะมีเวลาพลิกฟื้นเยียวยาตัวเองที่เร็วกว่าคนทั่วไป อย่างเช่น คนปกติเวลาเกิดเรื่องเสียใจ อาจจะต้องใช้เวลาการพลิกฟื้นเยียวยาสัก 3 เดือน แต่คนกลุ่มนี้จะใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น และศึกษาคนกลุ่มนี้แล้วนำมาปฏิบัติตาม ซึ่งถ้าเกิดปฏิบัติตามนี้ได้ก็มีแนวโน้มว่าเราก็จะมีความสุขได้เช่นกัน
2.สุข ทุกข์ อยู่ที่สมอง
หลายคนบอกว่า สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ แต่สำหรับหนูดีแล้วเธอบอกว่า สิ่งที่ได้ศึกษามานั้นบอกว่าคนเราสุข ทุกข์ อยู่ที่สมอง คนเรามีหน่วยบัญชาการอารมณ์อยู่ในสมองของเรา ซึ่งเรียกส่วนนี้ว่า ลิมบิก ซิสเต็ม (Limbic System) เพราะฉะนั้นทุกอารมณ์ที่คนเรารู้สึกตั้งแต่เด็ก สุข ทุกข์ ดีใจ เศร้า เสียใจ สมหวัง ผิดหวัง อยู่ที่สมอง และสมองเป็นตัวบงการหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็ว ช้า ตามอารมณ์ เพราะฉะนั้นถ้าแต่ละคนดูแลสมองให้ดี หัวใจก็จะดูแลตัวเองได้ดีเช่นกัน
หลายคนอาจจะคิดว่าภารกิจสำคัญของสมองก็คือการ คิด คิด และคิด แต่หนูดีกลับบอกว่า ภารกิจสำคัญและลับสุดยอดของสมองที่สำคัญที่สุด คือ การเอาตัวรอด เอาชีวิตรอด ให้นานที่สุด ในสถานการณ์ที่หลากหลายที่สุด เพราะถ้าเราเสียชีวิตสมองจะไม่เหลือคุณค่าใดๆ นอกจากส่วนประกอบอย่างไขมัน น้ำ และโปรตีนเท่านั้น เพราะฉะนั้นสมองจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อทำให้มีเรามีชีวิตรอดให้นานที่สุดนั่นเอง
ความทุกข์เป็นกลไกที่จำเป็นของสมองในการที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดได้นานที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ หนูดี บอกว่า
อย่างที่รู้ว่าภารกิจหลักของสมองของคนเรานั้นคือการเอาตัวรอด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์กลัวและโกรธ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสมองของตัวเอง ไม่ทำงานที่เครียดเกินไป ไม่อยู่ในภาวะที่กลัวหรือโกรธเกินไป ทำได้ง่ายๆ เช่น การวางแผนเส้นทางก่อนจะออกเดินทางไปไหน และถ้าเราสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้ ความฉลาดก็เป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัว
7.หัวเราะ บำบัดโรคซึมเศร้า
การหัวเราะเป็นเรื่องที่มีการวิจัยและการรองรับค่อนข้างมากว่ามีประโยชน์ เพราะทุกครั้งที่คนเราหัวเราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา นอกจากนั้นหลังจากที่ได้หัวเราะออกไป คนเรามักจะรู้สึกว่ามีความพร้อมเรียนรู้มากกว่าก่อนที่จะหัวเราะเสียอีก
4 ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ
การนั่งสมาธิ เป็นเรื่องพื้นฐานของการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญ สมาธิ สติ และปัญญา แต่ทำไมเราถึงไม่สามารถนั่งสมาธิได้เป็นเวลานานๆ ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงรู้สึกว่านั่งสมาธิแล้วไม่ได้รู้สึกสงบ เหมือนที่หนังสือธรรมะหลายๆ เล่มบอกกล่าว ผลสุดท้ายการนั่งสมาธิกลายเป็นของแสลงสำหรับคนที่นั่งสมาธิไม่ได้
“คนทั่วไปต้องการนั่งเพื่อให้ได้ความนิ่งๆ และนานๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด คนทั่วไปจะหลงคิดผิดๆ ไปเองว่า หากเรานั่งสมาธิจนกระทั่งจิตนิ่งถาวรคง จะดีบรรลุได้ง่าย
“มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ” การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่คนเราก็มักจะโกหก เพื่อการเอาตัวรอดอยู่เสมอ ทำให้ใครหลายๆ คนมักมองศีลข้อนี้เป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ
แต่การโกหกก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน เช่น การพูดโดยเจตนาที่ดี อย่างกรณีผู้ป่วยหนัก แต่ญาติไม่อยากให้รู้ความจริง เพราะรู้ไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมา มีแต่คนไข้จะเสียกำลังใจ พาให้อาการทรุดหนักลงกว่าเดิม ก็ต้องพูดโดยใช้กุศโลบาย ซึ่งเป็นอุบายที่ดี ทำให้คนไข้หรือผู้ฟังมีความสบายใจ จนเมื่อถึงเวลาที่เห็นว่าคนไข้รับความจริงได้แล้ว จึงค่อยบอกออกไปอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นการโกหก ไม่ผิดศีลเพราะทำด้วยเจตนาที่ดี การตีความจึงมองที่เจตนาเป็นหลัก
ที่สำคัญศีลที่ว่าด้วยการห้ามพูดปด ไม่ได้จำเพาะอยู่เพียงการโกหกเท่านั้น ยังหมายความรวมถึง การนินทาลับหลัง การใส่ร้าย การพูดจาด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งล้วนแต่เป็นคำพูดที่ให้โทษแก่ผู้อื่นล้วนผิดศีลข้อนี้ ทั้งสิ้น
4.บริจาคมาก ได้บุญมาก ?
เป็นความเชื่อที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็น เช่นนั้น บริจาคเงินแสนได้บุญมากกว่าเงินร้อย ความจริงแล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
“ในเรื่องของการทำบุญ เราต้องเข้าใจก่อนว่าบุญคืออะไร การทำบุญเป็นเครื่องมือชำระจิตใจให้รู้จักการลดละกิเลส รู้จัก การเสียสละ การให้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตน มีมากก็ชำระมาก มีน้อยก็ชำระน้อย ตามแต่กำลังของแต่ละคน แต่การวัดว่าใครได้บุญมากบุญน้อยนั้นวัดกันไม่ได้
เพราะท้ายที่สุดเมื่อทำบุญแล้วความสุขก็บังเกิดแก่ผู้ที่ทำบุญทุกคน แต่ถ้าถามว่าแล้วคนที่ได้เงินมาโดยไม่สุจริตเป็นพวกค้ายา หรือร่ำรวยโดยไม่ชอบ มาทำบุญบริจาคเป็นแสนเป็นล้านแล้วจะได้บุญมากหรือเปล่า ต้องตอบว่า ได้แต่ไม่เต็มที่ เขาทำบุญคนก็อนุโมทนาสาธุ แต่ที่มาของเงินนั้นไม่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์เขาก็ได้บุญไม่เต็มที่ ด้วยในใจเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจเองว่า เขาควรได้ผลบุญนั้นหรือไม่ เหมือนเราเล่นฟุตบอลใช้กลโกงทำผิดกติกาเพื่อให้ได้ประตู ถามว่าเขาจะได้คะแนนจากการทำประตูนั้นไหม ตัวเขานั้นย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าควรได้ประตูนั้นหรือเปล่า
ดังนั้น การทำบุญต้องทำด้วยเจตนาที่ดี ไม่ได้จำกัดว่าทำบุญมากทำบุญน้อย ต้องไม่หวังผลหรือสิ่งตอบแทน เราก็จะได้รับผลบุญนั้นอย่างเต็มที่” พระศรีญาณโสภณ ตอบคำถามทางธรรมที่มีผู้คนสงสัยกันมากที่สุด
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสอน และแนวทางปฏิบัติของพระพุทธศาสนา จะด้วยความไม่รู้หรือการ ตีความจากประสบการณ์ของแต่ละคนก็แล้วแต่สิ่งสำคัญคือ การรู้จักใช้สติ ปัญญา คิดพิจารณา ศึกษาจากการอ่านพระไตรปิฎกโดยตรง และลงมือปฏิบัติอาจจะดีกว่าการศึกษาหาอ่านจากตำราที่ผ่านการตีความจนผิดเพี้ยนไปจากความจริงอีกไม่รู้กี่ช่วง ทำให้เราจะไม่มีวันเข้าใจถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้เลย
12 กรกฎาคม 2552
22 Tips ในการใช้งาน computer
1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ
4. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
5. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
6. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
7. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
8. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
9. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
10. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้
11. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
12. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
13. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
14. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
15. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
14. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
15. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน
16. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
17. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
18. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
19. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
20. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
21. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
22.ลบไฟล์ขยะ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า c:\WINDOWS\Prefetch แล้ว enter ไอ้ที่ขึ้นๆมา
ที่มา : http://piconets.exteen.com/category/Article