แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด

14 ธันวาคม 2552

คิดบวก รู้จักพอ


คำของอี้หมิงที่กล่าวเอาไว้ว่า
"สำหรับผู้ที่รู้จักพอ แม้จะยากจนข้นแค้นก็ยังมีความสุข ผู้ที่ไม่รู้จักพอแม้จะร่ำรวยมียศถาบรรดาศักดิ์ก็ยังมีความทุกข์"


หากต้องการมีความสุข จะต้องมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเป็นและมีอยู่
สามารถชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันได้ โดยไม่คิดน้อยใจหรือคิดว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่า


ผู้ที่จะมีความสุขได้นั้นคือผู้ที่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี
ขอเพียงแต่มีความพยายามในการทำให้ประสบความสำเร็จก็เพียงพอ
ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับสิ่งที่ไม่สามารถจะหามาได้ และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด


ไม่หวังผลเลอเลิศจนเกินความสามารถของตนเอง
รู้จักกำหนดขอบเขตของความปรารถนา


สิ่งใดที่ควรได้ควรมี ก็จงพยายามทำให้สำเร็จ
สิ่งใดเกินกำลัง ก็จงยอมรับว่าแม้ยังไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ ก็จะหาหนทางในคราวต่อไปเมื่อโอกาสมาถึงพร้อม


และที่สำคัญก็คือ
อย่าหาทุกข์ใส่ตัว ใช้ชีวิตอย่างราบเรียบสมถะ มีความขยันอดทน
และไม่อายทำกิน อย่าก่อหนี้ก่อสินเพิ่มขึ้นดั่งพุทธภาษิตสอนใจให้คิดว่า


"เข้านอนโดยไม่มีอาหารค่ำ ดีกว่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับมีหนี้สิน"
เพราะการมีหนี้สินมากเกินไป อาจสร้างปัญหาในระยะยาว จนไม่อาจจะลืมตาอ้าปากได้ในโอกาสต่อไป

ที่มา : teenee.com

25 พฤศจิกายน 2552

โรคชอบเปรียบเทียบ


การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรามักจะอยากรู้ว่าคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อนฝูงของเราได้ดิบได้ดีไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เขาขับรถอะไร ได้ตำแหน่งระดับไหนแล้ว ลูกๆ ของเขาเรียนโรงเรียนอะไร สอบเข้าอะไรได้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเราเองว่าเราดีกว่าหรือด้อยกว่า และก็เป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะดีกว่าคนอื่น แต่หลายๆ ครั้งการเปรียบเทียบทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น

ความรู้สึกแบบนี้มักเกิดเมื่อเราเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีดีมากกว่าเรา โดยเฉพาะเป็นการมีในสิ่งที่เราอยากมี แต่ยังไม่มี หรือยังมีไม่พอ และโดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่าคนคนนั้นเป็นคู่แข่งด้วย เช่น เราคงไม่รู้สึกด้อยเวลาได้ข่าวนักเรียนไทยได้เหรียญทองชีวโอลิมปิค เราชื่นชมว่าเขาเก่ง แต่ความรู้สึกอาจต่างกัน ถ้านักเรียนคนนั้นเป็นลูกของญาติของเรา และเรียนชั้นเดียวกับเรา



เราเปรียบเทียบตัวเราในปัจจุบันกับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ก่อนเราอาจจะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจแต่เดี๋ยวนี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนเราอาจเคยเรียนเก่งมากแต่เดี๋ยวนี้ด้วยปัญหาต่างๆ ทำให้เราเรียนได้แค่ปานกลาง แต่ก่อนเราเคยมีเงินมากมายแต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้เรามีหนี้มากมาย ถ้าเราหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้เราก็จะรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเรากำลังตกอับ และมักจะคิดไปเองว่าคนอื่นก็มองว่าเรากำลังตกอับด้วย

เราเปรียบเทียบปัจจุบันกับความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เช่น อยากมีบ้านสวยๆ แต่ก็ยังไม่มีสักทีทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่น

หลายๆ ครั้งเราก็อยู่ของเราดีๆ แต่คนอื่นชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งแล้วก็มาตัดสินว่าเราด้อยกว่า และมาพูดให้เราได้ยินด้วย เช่น บรรดาแม่ๆ มักจะเอาลูกของคนอื่นที่เรียนเก่งมาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองแล้วบ่นให้ลูกฟัง เพราะหวังจะกระตุ้นให้ลูกเกิดความมานะ เอาอย่างคนเก่งๆ นั่น แต่ลูกอาจกลับเกิดความรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าคนอื่น บางครั้งการที่คนอื่นเอาเราไปเปรียบเทียบ แล้วมาพูดให้เราได้ยิน อาจเป็นการเหน็บแนมไม่ใช่ความหวังดีแบบนี้ก็ได้

การเปรียบเทียบนั้น บางครั้งก็ช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นมา ถ้าเรารู้สึกด้อยกว่าแล้วเราพยายามปรับปรุงตนเอง หรือเมื่อเราอยากเป็นแบบบุคคลที่เราชื่นชมแล้วพยายามพัฒนาตนเอง หรือพยายามเอาชนะคำสบประมาทของคนอื่น แต่ถ้าการเปรียบเทียบทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งแทนที่จะพยายามปรับปรุงตนเอง หรือยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้มีอย่างคนอื่นเขา แบบนี้ท่าทางเราจะเกิดภาวะการเปรียบเทียบที่เป็นพิษเสียแล้ว

การพบว่าจริงๆ แล้วเราด้อยกว่าคนอื่นนั้นเป็นความเจ็บปวด แต่การเปรียบเทียบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เกินจริง และเป็นไปในแง่ลบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเรากำลังเจ็บปวดจากการเปรียบเทียบอยู่ให้ลองถามตัวเองว่า กำลังเปรียบเทียบอะไร เช่น ความสวย ความเก่ง ความรวย ความเด่นดัง ฯลฯ เพราะบางครั้งเราจะ "มึน" แยกประเด็นไม่ออกแล้วสรุปรวมว่าตัวเราโดยรวมทั้งหมดนั่นแหละที่ด้อย สู้เขาไม่ได้ ข้อมูลแม่นแค่ไหน รู้แน่หรือเดาเอา เรารู้แน่แล้วหรือรถที่เขาขับน่ะ ใช่รถของเขา เพื่อนเราไปเรียนเมืองนอกเพราะเก่งหรือเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้

เรารู้หมดทุกแง่ทุกมุมหรือยัง? หรือเห็นแต่แง่ดีของเขาเพียงด้านเดียว เวลาเห็นคนที่ร่ำรวยเรามักคิดว่าเขาคงจะมีความสุข ที่จริงแล้วคนที่ร่ำรวยไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขเสมอไป คนที่มีแฟนแล้วหรือคนที่ "ขายออก" แต่งงานแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขมากกว่าสาวโสด คนที่มีเงินเหลือเก็บมากเพราะประหยัดมากๆ ก็ไม่น่าจะมีความสุขเท่าไร โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกเป็นภรรยา

เมื่อพิจารณาความเป็นจริงแล้วลองคิดต่อไปว่า เขาดีกว่าเราแล้วมันจะเป็นอะไรไป ถึงเขาจะมีเงินมากกว่า แต่เราก็ยังมีเงินเท่าเดิม เงินที่เรามีอยู่มันไม่ได้หดหายไป ถึงคนข้างบ้านจะสวยกว่าเรามันก็ไม่ได้ทำให้เราสวยน้อยลง เราก็ยังคงเป็นคนสวยคนหนึ่งเหมือนกัน

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เราพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรบางอย่างเหมือนที่เขาทำหรือไม่ เพื่อนของเราอาจจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาดูแลลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาไปว่ายน้ำหลังเลิกงานจึงมีเงินขนาดนั้นได้ จะทำอย่างนั้นหรือไม่


เปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ แทนที่จะจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไปเราอาจเปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ โดยเปรียบเทียบตัวเราตอนนี้กับตัวเราในอีก 1 ปีข้างหน้า ถ้าเราลงมือทำอะไรบางอย่าง เช่น ออกวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 1 ปีผ่านไปเราน่าจะหุ่นดีขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ดีขนาดคนข้างบ้านก็ตาม

การเปรียบเทียบจะเป็นปัญหาเมื่อมันไม่สมเหตุผล มากเกินไป บ่อยเกินไป ลดการเปรียบเทียบลงแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น

17 พฤศจิกายน 2552

ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม


เรื่อง ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม...โดย คุณสุวิไล บุญธวัชชัย

ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสามีที่อนุญาตให้นำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีคู่ครองติดสุราหรืออบายมุขอื่นๆ ที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ได้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นาน ก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน คุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามี คุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ

ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ ไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น

เหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปี สามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆ ตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท ทำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบ สามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย

ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่ หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉัน ดูแลแทนทั้งหมด ตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเอง เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คน และลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่

เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืน จนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึก ดิฉันจะเป็นห่วงและไม่เข้านอนจนกว่าเขาจะกลับมา โรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้น ถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย ดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว

ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระ จุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถา เพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง และไม่เข้าใจว่าสวดมนต์เพื่ออะไร

ขณะที่ดิฉันแทบจะหมดอาลัยตายอยาก อาจจะเป็นเพราะได้ทำบุญกุศลร่วมกับพี่สาวของดิฉัน อยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆเขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมาก จึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงาน เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้น

ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด) การสวดมนต์และแผ่เมตตาที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำได้ยากมาก เพราะการที่จะสำรวมกายสำรวมใจสวดมนต์ในตอนแรกๆ ต้องอดทนและฝืนใจตัวเองอย่างมากๆ

คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวดิฉันเองมักจะพูดว่าไม่มีเวลาสวดมนต์ ทำงานเหนื่อยทั้งวัน สวดมนต์ทีไรง่วงทุกที แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะ เมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุด จากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุงมหากา บทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ) พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง

อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับ สามีลงมาก แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับ ธรรมะจัดสรรให้

หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่าน มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทาง ธรรมะมากขึ้น ความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว ทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมะจากหลวงพ่อโดยตรง ทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ดิฉันจะนำคำสอนจากท่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเอง

ดิฉันเริ่มมอง ตัวเองและแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ซึ่งแต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์ และจะโกรธเขาทุกข์ครั้งที่เห็นเขาดื่มเหล้า แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรม และฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้

ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติ และไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉัน ได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามี และอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน ไม่รื้อฟื้นสิ่งที่ไม่ดีในอดีต ปรับปรุงตัวเอง ลดทิฐิ พูดจาดีๆกับเขา ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เขาเลิกเหล้า

หลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆลดการดื่มเหล้าลง จนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ และเป็นสามีที่ดีของดิฉัน การปฏิบัติธรรมนอกจากทำให้ดิฉันมีชีวิตครอบครัวที่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ดิฉันได้ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับผีเสื้อเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ดิฉันได้จับผีเสื้อมา ๔ ตัว และให้เพื่อนคนหนึ่งฉีดยากลางหลังทุกตัวเพื่อสต๊าฟไว้ส่งครูในวิชาชีวะ แต่หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ฝันเห็นผีเสื้อยักษ์ตัวใหญ่บินเข้ามาหาดิฉัน เพื่อจะมาทำร้าย จนดิฉันตกใจตื่น โดยไม่ทราบว่านี่คือความอาฆาตแค้นที่ผีเสื้อเหล่านั้นมีต่อดิฉัน จนกลายเป็นกรรมที่ดิฉันต้องชดใช้นานถึง ๑๐ ปี กับอาการปวดหลัง ที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทุกครั้งที่ปวดหลังดิฉันจะเดินไม่ได้ จะนั่งจะนอนก็ทรมานไปหมด กว่าจะดีขึ้นก็ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ จนกระทั่งได้มานั่งกรรมฐาน จึง ระลึกได้ว่า ที่ปวดหลังมาเป็นเวลา ๑๐ ปีนั้นเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ทำไว้กับผีเสื้อ ดิฉันจึงขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้กับผีเสื้อเหล่านั้น หลังจากนั่งกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลาหลานเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ยอมอโหสิให้กับดิฉัน เพราะอาการปวดหลังของดิฉันได้หายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นเป็นเวลา ๔ ปีแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการขออโหสิกรรมโดยการเจริญ กรรมฐาน ดิฉันขอสรุปว่า ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ของเรามีทางออกที่ดีได้ ถ้าเรายอมลดทิฐิลง มองดูตัวเองก่อนเพื่อแก้ไขความบกพร่อง ให้อภัยและอโหสิกรรมผู้อื่น เรื่องในอดีตอย่าไปรื้อฟื้น ขอให้ตั้งสติเพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันการที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็โดยการเจริญกรรมฐานเท่านั้น

จากประสบการณ์ชีวิตของดิฉันเอง การที่จะได้ของดีมักจะมีอุปสรรค ขอให้อดทน เริ่มจากสวดมนต์ อโหสิกรรม และแผ่เมตตาทุกวัน แล้วธรรมะก็จะจัดสรรเป็นขั้นเป็นตอนให้ได้มีโอกาสเจริญกรรมฐานในที่สุด ถึงแม้ต้องต่อสู้กับตัวเองและใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อทำให้เป็นกิจวัตร แต่พอทำได้แล้วจะรู้สึกไม่ยากเลย และจะพบแต่สิ่งดีๆที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ (ปัจจังตัง เวทิตัพโพ วิญญฺหิ)

29 ตุลาคม 2552

7 เทคนิคทำให้ชีวิตผ่อนคลาย

ใน โลกปัจจุบันนี้ หลายๆคนคงต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การหาหนทางที่จะผ่อนคลายตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน้ต่อร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างมาก บางคนอาจเข้าสปา ไปนวดหน้านวดตัว บางคนไปเที่ยว ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ความลับของการผ่อนคลายที่แท้จริงก็คือ การควบคุมภาวะจิตใจของเรานั้นเอง ถ้าคุณขาดการควบคุมจิตใจแล้ว การเข้าสปาที่ดีที่ การเที่ยวที่ที่สวยที่สุด ก็ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้เลย

เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง
1. ปัจจุบัน คือสิ่งที่สำคัญที่สุด - บ่อยแค่ไหนที่คุณมักจะพบว่าคุณเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนส่วนมากมักจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วการวิตกกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะอยู่ในโลกแห่งอดีตหรืออนาคต คุณก็จะไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย ฉะนั้นถ้าคุณต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริงคุณจะต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราเท่าทันตนเองอยู่เสมอ

2. สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ - ที่ที่คุณอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุณต้องเจอก็ส่งผลต่อจิตใจของคุณเช่นเดียวกัน หลายๆคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยนี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี การอยู่มรบางที่ มันก็ยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายได้ คราวนี้ เริ่มมองไปที่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเห็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้คุณทำโน่นทำนี้ คุณคงต้องลงมือทำอะไสักอย่างกับห้องของคุณแล้ว เจ้าพวกของที่คอยกวน ใจคุณเป็นเหมือนภาระ หนักของจิตใจคุณ จัดการจัดห้องให้เป็นระเบียบและเก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตา หาของประดับห้องให้มีความรื่นรมณ์มากขึ้น คุณอาจยอมเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง หรือเทียนหอมมาจุด ก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นการเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงานของคุณอีกด้วย

3. การทำสมาธิ - ระหว่างที่เรามีสมาธิ จิตของเราจะอยู่ในความเงียบ สงบ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง การทำสมาธิสอนให้เรารู้จักจัดระเบียบของความคิดที่ยุ่งเหยิงของเรา ขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะหยุดนิ่ง ซึ่งนำมาซึ่งความสงบและความเบิกบาน การทำสมาธิจึงเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด คุณลองหาเวลาวันละ 10 - 15 นาทีเพื่อทำสมาธิ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกแห่งความสงบและผ่อนคลายที่แท้จริงเป็นอย่างไร

4. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม - การ ผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปล่อยกายปล่อบใจอยู่ในสปา หรือบนชายหาดตลอดทั้งวัน เราจะต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายท่านกลางกิจกรรมปกติของเรา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำอย่างเป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้คุณทำงานสบายขึ้น และได้ผลงานที่มากขึ้น ในขณะที่คุญทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ความสบสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึกถึงการผ่อนคลายได้เลย เริ่มทำงานที่สำคัญมากที่สุดและเร่งที่สุดก่อน และวค่อยๆทำงานที่สำคัญลอองลงมา ค่อยๆทำอย่างรอบคอบ อย่ากดดันตัวเองให้ต้องทำงานให้มากที่สุด การทำวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานถูกต้องมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความสบายใจมีมากขึ้น นี่แหละคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ

5. อย่าขึ้นผูกติดกับความคิดเห็นของคนอื่น - บ่อย แค่ไหนที่คุณยึดติดกับความคิดของคนอื่น ตอนที่เรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะพูดอน่างไร นั้นก็คือเราได้สร้างภารทางใจให้กับตัวเอง เพราะลึกๆแล้ว เราพยายามต้องสนองความต้องการของคนอื่นอยู่ เราก็จะกดดันตัวเองและก็จะไม่มีทางที่จะผ่อนคลายเลย คุณรู้ไหมว่า คนอื่นก็มักจะคอยจับผิดเรา เราจะไม่มีทางดีพอสำหรับคนอื่นได้ ดังนั้น จงอย่าผูกติดตัวเองกับคำวิภากษ์วิจารณ์ของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ ไม่ ได้หมายความว่าเราจะไม่สนใจความคิด เห็นของคนอื่น แต่หมายความว่า เราอย่าาทำให้ตัวเราต้องรู้สึกสนวุ่นวายใจเพียงเพราะความเห็นของคนอื่น เรารับฟังและนำมาคิดด้วยสติอย่างมีเหตุมีผล มันอาจจะทำยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่าคุณยึดติดกับความคิดผู้อื่นน้อยลงเรื่อยๆ

6. ให้เวลากับตัวเอง - แบ่ง เวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะว่างตลอด 24 ชั่วดมงเพื่อใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า หรือแม้กระทั่งเพื่อน จงรับโทรศัพท์หรือตอบ email ลูกค้า หรือหัวหน้าในเวลทำงานเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกวนใจ และบั่นทอนพลังกายและใจของคุณ

7. การเปลี่ยนแปลงก็ดีไม่แพ้การพักผ่อน - ชีวิต เราคงไม่ดีแน่ถ้าเหมืนละครที่เล่นซ่ำไปซ่ำมา ถ้าคุณพบว่าคุณติดอยู่ในบ่วงของการทำสิ่งที่จำเจทุกวัน ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้สหล่ะ เช่น ถ้าคุณดูโทรทัศน์หรือท่องอินเตอร์เน็ตหลังอาหารเย็นทุกวัน วันนี้คุณลองเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบหมู่บ้านดูบ้าง การได้ทำสิ่งอะไรใหม่ๆ พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว การผ่อนคลายง่ายเหมือนแค่การหายใจ เมื่อ ใดที่คุณรู้สึกเครียดหรือกดดัน คุณลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ แค่นี้คุณก็จะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ไม่ยาก

ขอบคุณข้อมูล : hbwellness

08 ตุลาคม 2552

ความสุขกับเงิน


คุณทราบหรือไม่ว่า คน ๓ กลุ่มต่อไปนี้ ได้แก่

เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ มีอะไรบ้างที่เหมือนกันหรือเท่ากัน ?

ก)อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด

ข)สัดส่วนการมีโทรศัพท์มือถือต่อประชากร ๑,๐๐๐ คน

ค)อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน

ง)ความสุข

ถ้าคุณตอบข้อ ก)-ค) คุณก็ตอบผิดแล้ว คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ ง)

จากการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว พบว่าคนทั้ง ๓ กลุ่มข้างต้นมีความสุขกับชีวิตคิดเป็นคะแนนเท่ากัน คือ ๕.๘ (จากคะแนนเต็ม ๗) โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗

ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว

การค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า ความร่ำรวยมิใช่ปัจจัยหลักของความสุข จริงอยู่คนเราจะมีความสุขก็ต้องมีเงินหรือทรัพย์สมบัติ อย่างน้อยก็ต้องเกินระดับความยากจน ถ้ายังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น ก็ยากจะมีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้คนเร่ร่อนไร้บ้านในแคลิฟอร์เนียกับคนเร่ร่อนในกัลกัตตาจึงมีความ สุขแค่ ๒.๙ นั่นคือมีความสุขเพียงครึ่งเดียวของเศรษฐีอเมริกัน มองในแง่นี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า คนรวยมีความสุขมากกว่าคนจน

แต่เมื่อมีเงินหรือทรัพย์สมบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย คนอเมริกันและคนญี่ปุ่นมีรายได้สูงขึ้นและมีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วหลายเท่าตัว แต่น่าสังเกตว่าอัตราส่วนของคนที่บอกว่า “มีความสุขมาก” ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

ทำไมมีเงินมากขึ้นจึงไม่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น? เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เราชินชากับความร่ำรวยหรือสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วมาก วันแรกที่คุณได้รถคันใหม่ที่ขับนิ่มกว่าเดิมหรูหรากว่าเดิม แน่นอนคุณย่อมมีความสุข แต่เมื่อผ่านไปสัก ๓ เดือนหรือครึ่งปี คุณก็จะรู้สึกเฉย ๆ กับรถคันนั้นแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่ง ความสุขที่เคยเพิ่มขึ้นได้ลดมาสู่ระดับเดิมก่อนที่จะได้รถคันนั้น

คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว ถ้าให้ถูกจริง ๆ น่าจะพูดว่า “เงินเช่าความสุขได้” อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

มีความสุขอีกมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินเลย และสามารถอยู่ได้ยั่งยืนกว่า เช่น ความสุขท่ามกลางครอบครัวอันอบอุ่น ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตร ความสุขจากการชื่นชมธรรมชาติ ความสุขจากการเอื้อเฟื้อผู้อื่น รวมถึงความสุขจากการทำสมาธิภาวนาชาวอามิช ชาวอินุยต์ และชาวมาไซ อาจไม่มีโอกาสเสพสุขจากวัตถุได้มากเท่าเศรษฐีอเมริกัน แต่สิ่งที่ให้ความสุขแก่พวกเขาอย่างมากมายคือ สัมพันธภาพอันงดงามทั้งกับผู้อื่นและกับธรรมชาติ รวมทั้ง

ความสุขจากใจที่สงบเย็นความสุขจากเงินนั้นมีเสน่ห์ตรงที่เข้าถึงได้ง่าย แต่อะไรที่ได้มาง่ายนั้นไม่ค่อยยั่งยืน (ลองนึกถึงความสุขจากเซ็กส์และยาเสพติดเป็นตัวอย่าง) แต่ความสุขจากสัมพันธภาพและความสุขจากจิตใจอันสงบนั้น แม้จะเข้าถึงยาก แต่อยู่ได้ยั่งยืนกว่าอย่างไรก็ตามมีวิธีหนึ่งที่เงินสามารถให้ความสุขอย่างรวดเร็วและยั่งยืน (อย่างน้อยก็นานกว่าการเที่ยวห้าง) นั่นคือ บริจาคเงินให้แก่คนจนหรือผู้ทุกข์ยาก รอยยิ้มของเขาสามารถทำให้คุณอิ่มเอิบไปได้นานทีเดียว
ที่มา : teenee.com

06 ตุลาคม 2552

9 วิธีรู้สึกดีกับตัวเอง

มีเคล็ดลับอยู่หลายข้อที่จะช่วยให้ผู้หญิงเรารู้สึกดีๆ กับตัวเองได้ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะสูงต่ำดำขาวประการใด มาดูกันค่ะ

1.หยุดพูดถึงความอ้วน
คนเราถ้าเริ่มต้นคิดถึงเรื่องไหนๆ ในด้านลบ ก็มักจะจบลงด้วยความไม่ดีของตัวเอง อย่าย้ำเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไมฉันอ้วนอย่างนี้นะ อย่าเสียเวลาบ่นซ้ำซาก มันจะฝังลงในใจจนเรารู้สึกไม่ชอบตัวเอง สนใจในเรื่องสบายอกสบายใจดีกว่า เวลาทักกันเลิกทักว่าทำไมดูอ้วนขึ้นหรือผอมลงเสียทีก็ดีค่ะ

2.อย่าส่องกระจกนานไป
นักเขียนวัย 36 ปีคนหนึ่งบอกว่าชอบทำโยคะ เพราะไม่มีกระจกในห้องโยคะ จะได้ไม่ต้องเห็นรูปร่างของตัวเอง เธอไม่ได้ออกกำลังเพื่อลดความอ้วน แต่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีขึ้น ถ้ายังมีกระจกอยู่ก็คงมัวแต่มองหุ่นของตัวเองว่าอ้วนแค่ไหน

3.เลิกอดอาหาร
วันที่ 6 พฤษภาคม เป็นวัน No Diet Day สากล มีสโลแกนว่า "การคิดถึงเอวเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับจิตใจ" และ "ชีวิตคืองานเลี้ยงฉลอง ไยฉันจึงต้องมาอดอยาก"

4.มองโลกในแง่ผอม
งานวิจัยหนึ่งของมหาวิทยาลัย Brock ใน Ontario สหรัฐฯ บอกว่า ผู้หญิง 31 เปอร์เซ็นต์ที่น้ำหนักปกติดีสุขภาพสมบูรณ์ คิดว่าตัวเองหนักเกินไป เปรียบเทียบกับผู้ชาย มีอยู่แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ที่คิดว่าตัวเองมีน้ำหนักเกิน เราต้องหยุดวิเคราะห์รูปร่างใครๆ รวมทั้งตัวเองเสียที

5.ใส่เสื้อผ้าที่ให้ความมั่นใจ
ผู้หญิงวัยร้อยปีคนหนึ่งบอกว่า การสร้างความประทับใจไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นการสวมเสื้อผ้าที่มั่นใจ จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจโดยเฉพาะชุดเก่ง(คงต้องเชื่อเธอบ้างเพราะเธอผ่านชีวิตมาน านขนาดนั้น!)

6.พูดดีๆ กับตัวเอง
ถ้ามีคนพูดกับเราว่า "เธอน่ะอ้วนจะตาย คางเป็นชั้น อกนิดเดียว ก้นงี้ใหญ่เป็นกระจาด" คงแทบจะถลาไปบีบคอเขาใช่ไหมคะ ฉะนั้นก็ต้องหัดพูดกับตัวเองดีๆ ด้วยเหมือนกัน จะได้รู้สึกดีกับตัวเอง

7.เลิกชั่งน้ำหนัก
เราเข้าใจไปในทางเดียวกันว่า เครื่องชั่งน้ำหนักเป็นตัวคอยเตือนว่าเราน้ำหนักเกินไปหรือยัง แต่ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามันยิ่งทำให้เรากังวลกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปสักโลฯ สองโลฯ เกินเหตุ ทั้งที่ดูด้วยตาเปล่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

8.เลิกปลื้มภาพตัวเองในอดีต
ภาพสาวเอวบางร่างน้อยในอดีตอันไกลโพ้นของเราก็ดีอยู่ที่ทำให้ปลื้มได้ไม่รู้จบ แต่อย่าติดอยู่กับอดีตให้มันตามมาหลอกหลอนจนเราหมดความสุขในปัจจุบัน

9.แต่งตัวเพื่อตัวเอง
ไม่ต้องเชื่อฟังข้อแนะนำความงามอยู่ตลอดเวลาหรอกค่ะ เรามักจะแนะนำว่าถ้าจะดูดีต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ห้ามใส่อย่างโน้นอย่างนี้ แม้ทำแล้วจะสวยขึ้นจริงๆ ก็ช่างมันบ้าง สนุกกับชีวิตดีกว่า

หลังจากอยู่ในกองข้อมูลเพียบขนาดนี้ ดิฉันเริ่มมองตัวเองในมุมใหม่ แม้ยังไม่เชี่ยวชาญดี แต่เริ่มรู้สึก...สวยขึ้นอีกนิดแล้วละสิ

จาก: นิตยสาร Teens & Family

22 กันยายน 2552

ป่านนี้แล้ว ยังไม่มีคู่


สาวสวยเพียบพร้อมบางคน รู้สึกเป็นทุกข์เพราะอายุ 35 แล้ว ยังไม่มีแฟน รู้สึกถึงแรงกดดันจากสังคม ไปไหนคนเดียวมักจะถูกถามว่า เมื่อไหร่จะมีข่าวดี เช่นเดียวกับบางคนที่อายุ 40 กว่าแล้วและเป็นทุกข์กับคำว่าขึ้นคาน ทำให้รู้สึกเครียด อึดอัด เหมือนตัวเองมีปมด้อย มีผู้ใหญ่บอกฉันว่า ถ้าเราเติมเต็มให้ตัวเองได้ ดูแลกายและใจของตัวเองเป็น มีกัลยาณมิตรที่ดีแล้ว ไม่ต้องแต่งงานก็ถือเป็นข่าวดีเช่นกัน
ข่าวดีอย่างไร ?
วดีเพราะมีเรื่องทุกข์กาย ทุกข์ใจน้อยกว่าปกติ คนเราตัวคนเดียวก็ทุกข์เพราะกายและใจเราอยู่แล้ว อาจจะให้คะแนนความทุกข์เท่ากับ 10 แต้ม ถ้ามีคู่ชีวิต ถึงแม้ได้คนดีมีคุณธรรม ก็ยังทุกข์ เพราะความห่วงใยในตัวคนรัก เขาทุกข์กายเวลาเข้าโรงพยาบาล เราก็ทุกข์ใจ ทำให้ได้แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 20 แต้ม

ถ้ามีลูก 1 คน ก็ได้ แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 30 แต้ม
ถ้ามีลูก 2 คน ก็ได้ แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 40 แต้ม
ถ้ามีลูก 3 คน ก็ได้ แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 50 แต้ม
การอยู่คนเดียวจึงเป็นข่าวดีอีกอย่างหนึ่ง...เช่นนั้นอย่าทำร้ายตัวเองด้วยค่านิยมเก่าๆของสังคมเลย

อ่านแล้วคนโสดที่เป็นทุกข์ต้องปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่ คุณน่ะโชคดีแล้ว

ที่มา Love Box

วิธีสร้างสุขแบบสาวโสด


วิธีสร้างความสุข แบบสาวโสดสาวคนไหนที่กำลังโสด มาสร้างความสุขให้ตัวเองกันดีกว่า วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาฝาก...

1. ถึงเวลาแล้วที่จะมีเวลาเพิ่มความสำเร็จให้กับชีวิต ด้วยการทุ่มเทหัวใจทั้งหมดไปกับการทำงาน ความโสดจะทำให้มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความรักบางครั้งก็ทำให้ไขว้เขวและหดหู่ การไม่มีภาระทางใจจะทำให้เราสนุกไปกับการทำงานได้อย่างสบายๆ

2. หันมามองครอบครัวได้อย่างเต็มตา ถึงเวลาที่จะมีเวลาทำกิจกรรมกับคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง และหลานๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วงว่าวันหยุดนี้ หวานใจจะพาไปไหน ครอบครัวก็ไม่ต้องเหงาเพราะคิดถึงคุณอีกต่อไป ความสุขแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

3. ได้เวลาสนุกให้สุดๆ กันเสียที สำหรับปาร์ตี้สุดสนุกกับเพื่อนๆ ก๊วนเดิมที่ห่างหายไปเสียนาน เวลาแห่งความสุดเหวี่ยงของชีวิตกลับมาอีกครั้ง ช่วงนี้จะสามารถกิน เที่ยว ได้อย่างอิสระเชียว

4. เวลาคุณภาพที่ดีที่สุดคือ การให้เวลากับตัวเองด้วยกิจกรรมดีๆ มากมาย ทั้งการดูแลร่างกายและหัวใจ อย่างการไปเข้าสปา ทำสมาธิ หรือจะดูหนังรัก 3 เรื่องติดต่อกันก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องสนใจเสียงบ่นของใครอีกเลย

5. ถึงเวลาอัพเดทสมองกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปเฉยๆ เมื่อต้องอยู่คนเดียว นั่นคือความรู้จากสื่อที่อยู่รอบตัว ควรหาเวลาเหมาะๆ ตั้งหลักหาความรู้ใส่สมองเสียหน่อยจะดีที่สุด จำไว้ว่า ผู้หญิงสวยก็ควรมีความฉลาดควบคู่ไปด้วย

6. ลองสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นดูบ้าง ความสุขที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากการให้ เพียงแค่ใส่ใจกับกิจกรรมเพื่อสังคมที่พบเห็นอยู่ทั่วไปบ้าง แล้วการให้จะทำให้อิ่มใจจนลืมไม่ลงสาวคนไหนโสดอยู่ ก็อย่าลืมหาความสุขให้กับตัวเองกันดูได้
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์

12 กันยายน 2552

ขอกอดทีกับคนที่เรารักครั้งหนึ่งในชีวิต...‏




เขียนโดย ไพลิน ถาวรวิจิตร และ GTH Team

เคยสังเกตไหม... เวลาคุณ *"กอด" *ใคร คุณมักซบไปทางด้านซ้ายของอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะนั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจ

หากคุณ *"กอด"* เขาไว้นานเพียงพอ จังหวะการเต้นของหัวใจ 2 ดวง ก็จะเปลี่ยนเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุด
*"กอด"* คือเสื้อกันหนาวที่มีหัวใจ ?
*Hugging* is a jacket which has a heart.


ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะทำได้แทบทุกอย่าง แต่ข้อเสียของมันก็คือ ลุกขึ้นมา *"กอด"* คุณไม่ได้
Although a computer can do almost everything but certainly, it cannot give you *?a hug?*.

ถ้าวันหนึ่งไม่มีเธอให้ *"กอด"* แล้วฉันจะโทษใครได้ ?
If one day you are not here to *hug*, who else should I blame?

*"กอด"* คือ การแสดงความเป็นเจ้าของที่น่ารัก ?
*Hugging* is a cute expression between lovers.



แม้ชีวิตนี้คุณจะมีใครให้ *"กอด"* แม้เพียงคนเดียว นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิต ?
Even though you?ve got only one person in your life to *hug*, that?s enough.


*"กอด"* คือ การได้ให้และการได้รับพร้อม ๆ กัน ?
*Hugging* is at the same time, the giving and receiving.

ในอนาคต *"กอด"* อาจหายากพอ ๆ กับเวลา ?
In the near future, *?hug?* might be as hard to find as ?time?.

*"กอด"* ทำให้รู้ว่าเมื่อหัวใจอีกดวงมาเต้นอยู่ที่อกด้านขวาบ้างจะเป็นไง ?
*Hugging* displays that ?there will be a heart beat of others which keeps beating while you hug?

เมื่อคุณถูก *"กอด"* คุณจะตัวเล็กลง ?

When you are being *hugged*, you will be smaller.


แต่เมื่อคุณ *"กอด"* คนอื่น คุณจะตัวใหญ่ขึ้น ?
BUT When you *hug* someone, you will be bigger.

*"กอด"* คือคำว่า "ฉันอยู่นี่" ?
*Hugging* is ? I am here?.


*"กอด"* ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก ?
*Hugging* displays that we are not alone in the planet.

ภาษาพูดแทนความรู้สึกได้ดี แต่สำหรับบางเวลา *"กอด"* อาจเป็นตัวช่วยที่ดีกว่า ?
Speaking is the good way of feeling communication but sometime *?hug?* might be a better assistance.



*"กอด"* คือ การแลกเปลี่ยน "ความลับทางอารมณ์" ระหว่างกัน ?
*Hugging* is the exchange of two people?s secret feelings and emotions.

*"กอด"* ช่วยสลายทิฐิบางอย่างในใจเรา ?
*?Hugging?* disintegrates some conviction in our minds.

บางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าเราต้องการ *"กอด"* มากแค่ไหน จนกว่าจะได้เห็นคนอื่นเค้ากอดกัน ?
Sometime you may not realize to *hug* someone, once you observe it from others.

*"กอด"* คือ ทางสายกลางของการแสดงออกซึ่งความรัก ?
*Hugging* is a mind average of expression.

*"กอด"* คือ การเต้นรำในจังหวะเดียวกัน ?
*Hugging* is the some rhythm of heart beating.

*"กอด"* ทำให้รู้ว่ายังมีคนอ้วนกว่าเรา ?
*Hugging* defines that ?there will be someone who has more weight than you?.

วันนี้คุณกอดใครแล้วหรือยัง ?

05 กันยายน 2552

เหตุผลที่ควรดีใจเมื่ออายุใกล้ 30 (555+)

เหตุผลที่ควรดีใจเมื่ออายุใกล้ 30 หรือ 30 ไปแล้ว...โดนมากๆ

1. เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง จะพูดจะคิดจะรู้สึก 'ก็ฉันเป็นอย่างนี้นะ' เธอไม่ชอบก็เรื่องของเธอสิ อาการแบบนี้จะเกิดขึ้นเสมอ ๆ

2. อารมณ์ฮอตระอุไม่รู้มาจากไหน แค่เห็นรูป หนุ่ม ๆ กล้ามงาม ๆ ตาอ้อน ๆ ก็หวิวไปทั่วร่างแล้ว ยืนยันว่าวัยเลขสองไม่เป็นแน่นอน

3. เริ่มเก็บเงินซื้อรถ และเลยไปถึงซื้อบ้าน

4. หนุ่ม ๆ เกือบทั้งนั้นอยากเดทกับคุณเพราะเขาบอกว่า 'คุณคุยได้ทุกเรื่อง'

5. ก็ในเมื่อมันเลยเลขสามมาแล้ว ทำไมจะต้องกลัวว่า 'ฉันจะได้แต่งงานมั้ยเนี่ย ' อีกล่ะ ความคิดคุณจะเปลี่ยนเป็น แต่งก็ได้ ไม่แต่งก็ได้แล้วกัน

6. คุณจะเป็นคนดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรื่องไม่ดี มันทำมาหมดแล้ว

7. สามารถไปเที่ยวต่างจังหวัดค้างคืนกับแฟนได้ โดยไม่ต้องโกหกแม่ ถ้าแม่ว่า คุณจะจบลงด้วยประโยคว่า 'หนูสามสิบแล้วนะแม่ ' แล้วก็เดินเข้าห้องไปเก็บกระเป๋า

8. เปลี่ยนจาก ดูหนัง ช็อปปิ้ง วันเสาร์-อาทิตย์ กับเพื่อนสาว เปลี่ยนเป็น เราไปทำบุญ 9 วัดกันเถอะเธอ

9. กีฬาโหด ๆ บ้าคลั่ง ๆ ที่คุณไม่เคยกล้าทำ อย่างขี่เจ็ทสกี ปีหน้าผา..มา!ฉันจะทำให้หมดเลย! ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้วนี่!

10. สิวที่เคยขึ้นในวัยยี่สิบ มันหายไปจริง ๆ คุณหน้าเกลี้ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

11. เริ่มอัพเกรดตัวเองจากเที่ยวพัทยา หัวหิน มาเป็น มัลดีฟส์บ้าง ฮ่องกงบ้างล่ะ

12. ประโยคฮิตติดปากคุณจาก 'ทำไมถึงทำอย่างนั้นกับฉัน ' จะเปลี่ยนเป็น 'ก็เรื่องของเธอแล้วกัน'

13. ผู้ชายคนนั้นที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง งี่เง่า และไม่เคยซื้อของดี ๆ ให้คุณเลย คุณยัง 'ทน'คบได้...ก็เขาก็เป็นอย่างนี้ของเขาแหล่ะ

14. ขี้เกียจ... เข้าใจ... และปลง เป็นทางออกที่ดีที่สุด

15. ไม่มีใครในโลกนี้โกหกคุณได้อีกแล้ว คติของคุณคือ 'ความชัดเจน' จะมาต้องประดิษฐ์หาข้ออ้างโกหกโน่??นี่ หาพระแสงอะไรไม่ทราบ

16. เอายังไงก็เอา ไม่คบก็ไม่เป็นไร คบก็คบกันแล้วดี ๆ ต่อกัน ถ้าจะไม่ดีกับฉัน ก็ไป ไม่ต้องมาคบ คือสโลแกนประจำใจ เวลาหนุ่มคนไหนดูท่าว่าเหมือนจะอยากมีความสัมพันธ์กับคุณ

17. ขนาดปารีส ฮิลตันที่ผู้หญิงทั้งโลกหมั่นไส ้ แต่เมื่อเข้าเลขสาม คุณจะมองเธออย่างสงสารแทน โถๆๆๆๆๆ หนูจ๋า เหนื่อยไหมนั่นน่ะ..

18. เปลี่ยนจากซื้อสร้อยลูกปัดพลาสติก เป็นสร้องทองคำของจริง!

19. เปลี่ยนจาก รูดหมูปิ้งข้าวเหนียวมื้อเช้า เป็น แครอทสดกับน้ำมะเขือเทศ!

20. คุณหัวเราะเสียงดังกระจายในร้านอาหารกับเพื่อนสาว ได้อย่างไม่สนใคร จะมีแค่คนหันมามองคุณ แล้วนึกเอ็นดูว่า ดูสิผู้หญิงเหล่านี้เขามีความสุขจังเลยนะ

02 กันยายน 2552

6 วิธีสร้างกายและใจให้มีความสุข

สังคมสมัยนี้เต็มไปด้วยการแข่งขัน ส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาด้านความเครียดและความไม่สบายใจตามมา เมื่อเกิดความเครียดและภาวะที่จิตใจไม่สบาย ทำให้อีกสารพัดโรคพาเหรดกันถามหาคุณโดยมิได้นัดหมาย เป็นเรื่องยากที่จะสามารถหลีกหนีปัญหาหรือความเครียดรอบๆ ตัวไปได้

แต่ก็มีอีกหลายวิธีที่ช่วยให้คุณผ่อนหนักเป็นเบาได้ เริ่มต้นจากการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจของคุณก่อน เพราะเมื่อจิตใจเป็นสุขจะสามารถรับมือกับสารพัดปัญหารอบตัวได้เป็นอย่างดี Men’s Health ฉบับนี้ขอแนะนำวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้จิตใจมีความสุข เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้คุณ

อย่าติดอุปกรณ์สื่อสารมากเกินไป

ปัจจุบันมีอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อให้การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่สะดวกสบายขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น การใช้อุปกรณ์แบล็คเบอร์รีที่สามารถเช็คอีเมลได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างไรก็ตามการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างพร่ำเพรื่อ บางครั้งอาจทำให้คนรอบข้างคุณไม่สบายใจ กรณีที่คุณมีประชุมงานสำคัญ แต่คุณกลับสนใจกับอุปกรณ์มือถือมากกว่าบทสนทนาในการประชุม จนก่อให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเทคโนโลยีสื่อสารอันทันสมัยกำลังทำลายบรรยากาศการทำงาน ไม่เพียงเท่านั้นยังพลอยทำให้คนรอบข้างอารมณ์เสียตามไปด้วย

ทอม มัสแบ็ก บรรณาธิการบริหารอาวุโส ยาฮู! ฮอตจ็อบส์ บอร์ดหางานออนไลน์ ได้ทำการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 3 จากกว่า 5,000 คน โดยพวกเขาเผยว่า เช็คอีเมลระหว่างการประชุมอยู่บ่อยๆ ในการสำรวจยังพบว่า อุปกรณ์อย่างแบล็คเบอร์รีทำลายสมาธิ และนำไปสู่การสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน เนื่องจากคนไม่สนใจงานของตัวเอง ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของ ฮอตจ็อบส์ ยังระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 1 ใน 5 บอกว่า ถูกตักเตือน เพราะใช้อุปกรณ์ไร้สายไม่รู้จักเวลา

ขยันทำงานช่วยให้กาย-ใจ แข็งแรง

ใครบางคนเคยพูดไว้ว่า มีงานเยอะดีกว่าไม่มีงานทำยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ ใครมีงานทำก็ถือว่าโชคดีแล้ว แม้ว่าคุณจะบอกว่างานที่ทำอยู่เครียด แถมงานก็เยอะขึ้นทุกวัน แต่ถ้าลองคิดให้ดี การไม่มีงานทำเลยจะยิ่งเครียดกว่าหลายเท่าตัวนัก เพราะจะมีสารพัดปัญหารุมเร้าเข้าหาคุณทันที

บางคนที่ถูกปลดออกจากงานเนื่องจากพิษเศรษฐกิจทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจเขาแย่ลงโดยไม่รู้ตัว ผลการศึกษาล่าสุดจากคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสหรัฐอเมริกา พบว่า คนที่ถูกปลดออกจากงานอย่างกะทันหันมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น เคต สตัลลี นักวิจัยบอกว่า ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันการตกงานเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และเกิดได้กับทุกคนและส่งผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขาตามมา

ผู้ที่ถูกปลดออกจากงานสุขภาพจะแย่ลง โดยเฉพาะคนที่เคยสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์มาโดยตลอด เมื่อโดยปลดออกจากงานแล้วกลับพบว่าสุขภาพเสื่อมลงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และอีก 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพปานกลางหรือไม่ค่อยดีนัก ขณะที่ศาสตราจารย์เดวิดวิลเลียมส์ จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอกว่า ยุคนี้ไม่ใช่ว่าเราจะเน้นการดูแลสุขอนามัยอย่างเดียว แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าผลกระทบจากการตกงานส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพกายและใจในระยะยาวของเรา

เบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาชั่วคราว

ไม่ได้แนะนำให้คุณวิ่งหนีปัญหา แต่เมื่อสารพัดปัญหาประเดประดังเข้ามาจนทำให้คุณเครียด บางคนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเมื่อคุณยังแก้ปัญหาไม่ตกในขณะนั้น แนะนำให้คุณพาตัวเองไปทำอย่างอื่นก่อน เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนที่ชายทะเล หรือนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วค่อยหาทางแก้ปัญหาใหม่งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า การหันเหความสนใจไปจากปัญหาชั่วคราว จะทำให้คุณมีสมาธิมากขึ้นในการตัดสินใจกับปัญหาเฉพาะหน้า

เดวี เลอรูจ ศาสตราจารย์ด้านการตลาดของมหาวิทยาลัยทิลเบิร์กในเนเธอร์แลนด์ได้ทำการวิจัยเรื่องนี้เพราะต้องการหาคำตอบว่าการหันแหสมาธิจากการที่ต้องตัดสินใจอย่างกะทันหัน เพื่อประเมินข้อดีและข้อเสียของผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน (เป็นตัวอย่างสิ่งของที่นำมาให้กลุ่มตัวอย่างทดสอบ)

เขาบอกด้วยว่าการเบี่ยงเบนความสนใจจากการตัดสินใจต่อเรื่องเฉพาะหน้า โดยหันไปทำอย่างอื่นแทนจากนั้นค่อยมาตัดสินใจในเรื่องนั้นอีกครั้งพบว่า พวกเขามีกระบวนการคิด การตัดสินใจที่แยบยลมากยิ่งขึ้น และสามารถชี้ให้เห็นอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำมาทดสอบนั้นมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ปล่อยให้ตัวเอง

ฝันกลางวันเสียบ้าง

การฝันกลางวันไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นเป็นคนเลื่อนลอยหรือเพ้อฝันไปวันๆ หนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วการฝึกตัวเองให้ฝันกลางวันเสียบ้างก็เป็นผลดีกับสมองของคนเรา เนื่องจากมีผลการวิจัยบ่งบอกว่าขณะที่ความคิดของเราล่องลอยไปนั้นสมองจะทำงานควบคู่ไปด้วย เพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญหน้าในชีวิตประจำวัน

เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยได้สแกนสมองของอาสาสมัครที่นอนอยู่ภายในอุปกรณ์ที่สร้างด้วยสนานแม่เหล็กไฟฟ้า พบว่าสมองของเราจะทำงานหนักขึ้น เพื่อขบคิดปัญหาระหว่างที่เราฝันกลางวัน และยังพบว่าสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนสูง มีการทำงานหนักเช่นกัน ผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ผลการวิจัยยังระบุด้วยว่าการฝันกลางวันอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่าการพยายามบีบคั้นความคิดเพื่อให้ได้คำตอบต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างกะทันหัน

คาลินา คริสทอฟฟ์ นักวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาท ผู้อำนวยการห้องวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียในแคนาดา ซึ่งร่วมทำงานวิจัยครั้งนี้บอกว่าคนทั่วไปมักคิดไปเองว่าคนที่ใจลอย ฝันกลางวันไปเรื่อย มักเป็นพวกจิตว่าง ซึ่งจากการศึกษาล่าสุดได้ผลออกมาในทางตรงกันข้าม กล่าวคือระหว่างที่ดูเหมือนล่องลอยอยู่นั้น สมองของเราจะทำงานหนักกว่าเดิมเสียอีก คนที่ปล่อยให้ตัวเองฝันกลางวันจะสามารถนำความคิดที่อยู่ในสมองออกมาใช้งานได้มากกว่า

นอนตื่นสายบ้างในวันหยุด
ผมไม่ได้แนะนำให้คุณเป็นคนนอนกินบ้านกินเมืองนะครับ แต่อยากบอกคุณว่าในช่วงวันสุดสัปดาห์ หรือช่วงที่ลาพักร้อน และคุณไม่ได้มีธุระที่ไหน แนะนำว่าให้คุณหาเวลาไว้สำหรับการนอนตื่นสายบ้าง เพราะมีผลการวิจัยที่ทำโดยการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างระบุว่าการหาเวลานอนตื่นสายบ้างจะช่วยให้สมองของคุณปลอดโปร่ง ขบคิดปัญหาอะไรก็ง่ายขึ้น นักวิจัยได้นำคนสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกันโดยการมอบหมายภารกิจที่ใช้วัดปฏิกิริยาการตอบสนอง โดยระหว่างการทดลอง อาสาสมัครจะเข้านอนและตื่นตามเวลาปกติ พบว่าพวกที่นอนหัวค่ำมีแนวโน้มตื่นก่อนคนนอนดึก 4 ชั่วโมง

ผลการทดลองยังพบว่า อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มปฏิบัติภารกิจได้ดีพอๆ กัน หลังตื่นนอนได้ไม่นาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 9 ชั่วโมงแล้ว ผลปรากฏว่าคนที่นอนดึกแต่ตื่นสายจะทำภารกิจได้เร็วกว่าและมีปฏิกิริยาตื่นตัวที่ดีกว่า ดร.ฟิลิปเป เปโนช์ จากมหาวิทยาลัยแลจในเบลเยียม ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัยครั้งนี้เปิดเผยว่า แม้ทั้งสองกลุ่มจะตื่นนอนมานานพอๆ กัน แต่ดูเหมือนว่าคนที่นอนแต่หัวค่ำจะรู้สึกง่วงมากกว่า ซึ่งจากการสแกนสมองพบว่าสมองส่วนที่เชื่อมโยงกับความสนใจสิ่งรอบตัวของพวกเขาเริ่มทำงานลดลงแล้ว

มอบความรักให้แก่กัน

ว่ากันว่าความรักเหมือนเป็นยาขนานเอกที่ช่วยเติมเต็มชีวิตให้มีความสุขและจิตใจพองโต ความรักยังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้บุคคลนั้นมีพลังในการทำงานและใช้ชีวิต งานวิจัยจากเว็บไซต์ confetti.co.uk เปิดเผยข้อมูลว่าทีมนักวิจัยได้สอบถามสามีภรรยาประมาณ 3,000 คู่ เกี่ยวกับเคล็ดลับในการครองเรือนและสรุปผลออกมาว่า หลังแต่งงานแล้วสามีภรรยาควรบอกรักกันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง มีเพศสัมพันธ์กัน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กินข้าวด้วยกันภายใต้บรรยากาศโรแมนติกเดือนละ 2 ครั้ง และนอนอิงแอบแนบชิดกันบนโซฟาที่บ้านสัปดาห์ละ 3 คืน

ทีมนักวิจัยบอกด้วยว่าการโทรศัพท์หากันวันละ 3 ครั้ง ส่งอีเมล หรือส่งข้อความระหว่างอยู่ที่ทำงานจะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มั่นคง แม้ว่าคุณทั้งสองจะมีงานอดิเรกที่ทำร่วมกันแล้วก็ตาม แต่ต่างฝ่ายควรมีเวลาส่วนตัวบ้าง เช่น ออกไปเที่ยวกับเพื่อนของตัวเองเดือนละ 2 ครั้ง นักวิจัยกล่าวว่า การมีลูกหลังจากแต่งงานกันสองปังจะช่วยประคับประคองอารมณ์โรแมนติกของคนทั้งคู่ให้ยั่งยืนได้อีกด้วย

ที่มา : kapook.com

29 สิงหาคม 2552

บทความจากน้าเน็ก.."อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะ"


อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ
- ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์

1. คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า......... แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้ นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว
นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่ เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น
...... คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอม ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....
พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว ทำงานในสิ่งที่เรารัก
เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว ใช้เวลา ( ที่อาจจะ)
สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล .......
คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบ แยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

25 สิงหาคม 2552

สร้างความสุขด้วยตนเอง

1.รู้จักรัก รักตัวเองให้ถูกทาง ดูแลตังเองให้ดี อย่าจมปลักอยู่กับอดีตและสิ่งที่จะให้ตัวเองย่ำแย่ และก็อย่ารักมากจนเห็นแก่ตัว


2.พอใจ..เพียงพอ พอใจกับสิ่งที่ตนเองมี ยินดีกับสิ่งที่คนอื่นได้ ลดอาการอิจฉาเพื่อความบั่นทอนความสุขเอาซะมากๆ


3.เข้าใจ เข้าใจโลกให้มากขึ้นอย่ามองในแง่ร้าย แง่ดีๆก็มีให้มองตั้งเยอะแยะและอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่าง


4. อิสระ ให้อิสระกับตัวเองให้มากขึ้น อยากทำอะไรก็ทำตามใจตัวเองแต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ


5. รู้จักให้ สะกดคำว่าเสียสละให้คุ้นหู ท่องคำว่าแบ่งปันให้ขึ้นใจ คำว่าให้ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่อาจจะเป็นความรัก ความรู้สึกหรือความเห็นอกเห็นใจ


6.ให้โอกาสตัวเอง ลองทำอะไรที่คิดว่าทำไม่ได้ กล้าๆหน่อย ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นอย่างที่คิด เชื่อสิว่าสนุก...


7. ให้อภัย ใครๆก็พลาดได้ ให้อภัยความผิดพลาดกับตัวเองหรือคนอื่น ถ้าไม่เคยทำผิด แล้วจะมั่นใจได้ไงว่าถูก แค่ระวังไม่ให้ทำผิดซ้ำสองก็พอ


8. อารมณ์ขัน เป็นยาลดความเคลียดชั้นดี ไม่ต้องซื้อหาจากแหล่งยากๆและแพงๆยังพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก คนอารมณ์ขัน ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ เป็นเสน่ห์ น่ารักอย่างร้ายกาจที่เดียวเลยล่ะ


9.จงมีเพื่อนมากกว่าแฟน ถ้าตรงกันข้ามเมื่อไร ชีวิตยุ่งยากเมื่อนั้น


10.เป็นคนดี ทำตัวดีๆ ไม่ไห้ใครเดือดร้อน ใครก็อยากอยู่ด้วย ทำไม่ดีต้องหนีต้องซ่อน จะมีความสุขได้เยี่ยงไร มาเป็นคนดีกันดีกว่า


ทั้ง 10 ข้อนี้ คงทำให้เพื่อนที่กำลังเครียดกับชีวิต ลองมาปฏิบัติกันน่ะค่ะ รับรองค่ะว่าได้ผลแน่ๆ ถ้ามันหลายข้อไป ก็ลองซักข้อก็ยังดีค่ะ


ที่มา http://www.siamsouth.com/

22 สิงหาคม 2552

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (3)


@ ไม่รู้เป็นอะไรอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาแต่ไม่มีเงิน
แหะๆ "อยากได้โน่นอยากได้นี่" มีแต่เสียเงินลูกเดียว " อยากทำโน่นอยากทำนี่ " ดีกว่า สนุกดี แฮปปี้ตลอดวัน แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท

@ แง ... เพื่อนไม่สนใจเราเลยทำดีเอาใจทุกอย่างแล้วนะ
ทำดีเพื่อให้คนอื่นมาสนใจมันก็เหื่ยวแห้งอย่างนี้แหละเธอ เป็นแม่พระดีกว่านะ... ดูแลเพื่อน ๆ เหมือนอย่างกับแม่ที่ดูแลลูก ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ....เฮ้อ ! เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วก้อสบายใจ

@ ถ้าหนูจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำเช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
(อ้าว ! ) ทำยังไงไม่ให้ขี้เกียจ ให้คิดดูว่า เราจะได้อะไรจากงานที่ทำนี้บ้าง คิดไปเรื่อย ๆ จนเกิดความรู้สึก "อยากทำ" เช่น "ล้างส้วม" เราได้อะไรบ้าง โห !เยอะแยะ 1."ได้ออกกำลัง" ดีจังเรายิ่งอ้วน ๆ อยู่ด้วย2."ได้เสียสละ" เพื่อพ่อแม่จะได้เข้าห้องน้ำอย่างมีความสุข 3. "ได้ฝึกอดทน" โตขึ้นเราจะได้แข็งแกร่ง ลุยได้ทุกที่ 4. "ได้บุญ" ใครเห็นห้องน้ำสะอาด เขาก็จะสบายใจ เราก้ออิ่มบุญ ฯลฯ ..(คิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก้อทนไม่ไหว อยากจะไปทำเองแหละ)

@ ช่วยตัวเองบ่อยมากทำไงให้ลดลง
เบรคตัวเองแรง ๆ ดิ เช่น .. " ไม่คุ้มเลย.. สุขวูบเดียว เพลียไปทั้งวัน...มันก็แค่อร่อยเหมือนแทะเนื้อติดกระดูก แทะยังไงก็ไม่อิ่ม ... ไม่มีปัญญาคิดสร้างสรรค์ความสุขอื่น ๆ แล้วหรือไง ถึงได้จมอยู่แต่เรื่องพวกนี้... เราวุ่นกับมัน มันก็วุ่นกับเรา ไม่เป็นอิสระสักที " ฯลฯ(ถ้าคิดแล้วยังเอาไว้ไม่อยู่ ก็ตามบายเหอะ มันไม่เสียหายอะไรนักหรอก)

@ คืนนี้ อยู่คนเดียวกลัวผีอะบรื๋วว..ว์
นี่พวกผี ตอนนี้ฉันกำลังสวดนะโม ตัสสะ ฯ อยู่นะ เตือนไว้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทับอยู่ในใจฉัน ผีตัวไหนอย่าอุตริโผล่ขึ้นมาหลอกล่ะ บาปกรรมหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงไม่รู้ด้วยนะเออ

@ คนตามจองล้างจองผลาญกลั่นแกล้งเราไม่ยอมเลิก
" เจ้ากรรมนายเวร" ภาค 2 ชัวร์ !! อย่างนี้ยิ่งตอบโต้ยิ่งเกมยาว (ถึงชาติหน้า) เจ๊ากันไปดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรื่อยๆ ศัตรูได้ส่วนบุญเยอะ ๆ เดี๋ยวก็เลิกรากันไปเองแหละ

@ กระเป๋ารถเมล์สายที่นั่งประจำพูดจาไม่สุภาพฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย
น่าเห็นใจนะอาชีพนี้ นี่ถ้าฉันลองไปทำดูบ้าง ฉันก็คงจะเครียด และต้องแสดงอาการกริยาแบบนี้แหละ

@ ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใครแต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี
ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว..

@ ผมเป็นคนจับจดทำงานอะไรไม่เคยสำเร็จชาตินี้จะเอาดีกะเขาได้มั้ยเนี่ย
นึกถึงภาระกิจที่จะต้องทำแล้วคิดด้วยความมั่นใจว่า " เข้ามาเล้ย..ย งานน่ะ ไม่กลัวอยู่แล้ว (ทุบกำปั้นบนฝ่ามือ) เรามั่นใจ ทำได้แน่ไม่เลี่ยง ไม่หนี ลุยลูกเดียว " (คิดทั้งวันทั้งคืน ชาตินี้จะไม่มีวันเป็นคนจับจด)

@ นิสัยตัวเองไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น
" มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย "

@ ติดเกมงอมแงมเสียการเสียงานอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้
พูดท้าทายตัวเองดิ เช่น" เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง ลองทำงานให้สนุกเหมือนเกมดูซิโด่...ทำได้หรือเปล่า มีปัญญาอ๊ะป่าว "

@ ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา(ทำอะไรไม่บอกอะ) รู้สึกกังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย
หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก "

@ ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอยฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน
โห..! คิดได้ไงเนี่ยจะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่

@ ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วยหมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัด ๆ
ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาว ๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณคับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที

@ ไม่สบอารมณ์คนนั่งข้าง ๆ
(ใครหว่า ?)ขอคาถาขับไล่หน่อยสิ ได้สิ.. " โอมเพี้ยง.. ชิ๊ว ๆ ๆ ไปพวกความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย หายวับกับตาไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะได้ใจเย็นๆ สักที "

@ ฮือ..ๆๆเราติดเอดส์เรากลัวตาย..ฮือๆๆ
เข้มแข็งๆ กล้าหาญไว้ โอ.!.ฉันขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันทำให้ฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกต่อไป ฉันจะรักษาสุขภาพกายใจให้ดีๆ อายุจะได้ยืนยาวไปอย่างน้อยอีกสิบปี (ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นอาจจะมียารักษาให้หายแล้วก็ได้ ) ฉันจะทำความดีให้มากๆๆๆ จวบจนวินาทีสุดท้ายเพราะพระท่านว่าคนที่ทำความดีไม่ต้องกลัวโลกหน้า ตายไปเมื่อไหร่จะสุขเหลือล้นจนคนข้างหลังอิจฉาเลยทีเดียวเชียว

@ เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ
ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น"อึมม์..เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆแต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า แต่.. เล็บมือด๊ำดำ ว๊า ! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อ สก๊อตสีน้ำเงินซะด้วย แต่ดูดีๆ ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่น ๆ มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง แหวะ .. ทีหลังมีเราลูก เราไม่ส่งเรียนที่นี่หรอก นิสัยไม่ดี ฯลฯ " (บางคนกว่าจะออกจากตู้ สงสัยสังเกตจนเขียนตำราได้หนึ่งเล่ม หุ หุ ) "

@ เป็นคนขึ้อายมากกกกค่าเวลาคุยกะใครม้วนไปม้วนมา
จะคุยกับหนุ่มใช่มั๊ยล่า..า รู้ทันหรอกน่า ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเราดิ แม่รู้สึกยังไงกะลูกล่ะ เอ็นดูใช่มั๊ย สงสารใช่มั๊ย ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกะใครง่าย ๆ ความอายจะหายไป ............ทำได้ป่าว

@ มีคนใส่ร้ายเราเราโกรธมากจนนอนไม่หลับ
เขาทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก

@ มีแฟนหลายคนสับหลีกไม่ทันอะ
มีแฟนเยอะ แสดงว่าเรายังไม่เจอรักแท้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะลองแกล้งป่วยดู ถ้าคนไหนมาเยี่ยม แสดงว่าคนนั้นก็ผ่านรอบคัดเลือก เราจะทดสอบกลั่นกรองให้เหลือคนที่ดีที่สุด เพราะรักเดียวใจเดียวคือความสุขที่แท้จริง

@ ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา
โดดเรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ อึมม์...มันก้อดีเหมือนกันนะ แต่ทว่า...มันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อยไป หนีหน้าคน -หนีการงาน -หนีความรับผิดชอบ ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย..! จะไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ วันหน้าสบายมาก เย.."

@ เป็นโรคใจง่ายเข้าใกล้คนหล่อ ๆทีไรหวั่นไหวทุกที
เวลาเข้าใกล้คนหล่อ ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลี๊ยด น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น ขนจมูกของเขา ขี้หูของเขา ขี้ตา... .. รังแค.... อึ ..(แหวะ) คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ..ไม่เชื่อ ลองดูดิ

@ เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้วมีเหลือแต่เรา "แหง่ว..ว" อยู่คนเดียว
คิดมุมกลับ.. " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย..! "

@ อยากเที่ยวกลางคืนให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย
สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง


ที่มา : narak.com

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (2)


@ คนชอบมาแซวเราว่า"น้องดำ ดอทคอม"
ผิวอย่างฉันเขาเรียกว่า "คมขำ" ย่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งหลงใหลจะตายไป พวกนายคงโดนโฆษณาหลอกแล้วล่ะ"ฉันคือตัวฉัน" ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกหรอกนะ

@ เฮ้อ..! ไม่รู้จะทำอะไรดีเซ็ง..ง ระเบิด !
แอ็คทีฟเข้าไว้เพื่อน อย่าให้ความเซ็งเข้าครอบงำ ทำทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉง หนึ่ง สอง..ๆๆๆ หาอะไรทำให้มันสนุก หนึ่ง สอง... ๆๆ

@ รู้สึกว่าตัวเองโง่โดนคนอื่นหลอกอยู่เรื่อย
นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ (แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ) @ เพื่อนเห็นแก่ตัวกินไหนกินด้วยแต่ไม่เคยช่วยสักบาท เฮ้อ..นึกว่าช่วยชีวิตเพื่อนให้รอดไปได้สักมื้อก็แล้วกัน ได้บุญดีนะ (แหะๆ....แต่นาน ๆ เจอกันสักที ก็แล้วกัน)

@ กลุ้มใจจังไม่มีใครมาจีบ
"กลุ้มใจ" ไม่มีคนมาจีบ มันยังดีกว่า "ช้ำใจ" ที่โดนคนมาหลอก ถ้าอยากจะพบรักแท้ มันก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะเธอ

@ หน้าเป็นสิวไปไหนมาไหนอายเพื่อน
วัยรุ่นมีสิวน่ารักจะตายไป เออถ้าคนแก่มีสิวสิ ค่อยน่าอายหน่อย พวกบริษัทขายยาแก้สิวทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบโฆษณาทำร้ายจิตใจวัยรุ่นดีนัก ระวังตัวใว้ดีๆเหอะ ชาติหน้ากรรมสนอง ไปเกิดเป็น "ท้าวแสนปม" ไม่รู้ด้วย อิอิ

@ ทำตังค์ตกหาย 500 แง..!
ไม่เป็นไร..คิดเสียว่าเสียค่าหน่วยกิต วิชา "ละเอียดรอบคอบระมัดระวัง" ก็แล้วกัน นี่ถ้าชีวิตเรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะเงิน หายในคราวนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว

@ พ่อแม่ชอบเห็นเราเป็นเด็กตลอดชาติ
ถึงใครจะมองเราว่าเป็นเด็ก แต่เราก็จะเคารพตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา (เอ...ชักยากแฮะ หรือว่าจะยอมเป็นเด็กเหมือนเดิมดีกว่าม้าง...ง )

@ อิจฉาเพื่อนแฟนมันสวยอะ
มีแฟนสวยก็ยินดีด้วย แต่เราว่ามีแฟนนิสัยดีดูแลเอาใจใส่ดี แบบนี้สุดยอดกว่านะ

@ รักเธอแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก
อย่างนี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ .. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้วจึงค่อยไปบอกรักกะเธอ

@ ช่วยเพื่อนแทบตายแต่เพื่อนยังคิดร้ายกะเราอีก
เฮ้อ..คิดว่าช่วยเสือตกน้ำให้รอดตายสักตัวก็แล้วกัน เสือเนี่ยนะ ถึงเราช่วยมัน แต่ถ้าเราเข้าใกล้มัน มันก็กัดเราอยู่ดี คงต้องปล่อยเข้าป่าไป เจ้าเพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน ฉันช่วยแกแค่เอาบุญ แต่คราวหน้าคงไม่ช่วยแล้วล่ะ ปรับปรุงตัวเองให้นิสัยดีกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่

@ พอแฟนเจอคนที่รวยกว่าเธอบอกเลิกกับผมทันที
อย่างนี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้

@ เหงามากขอบอก มองรอบๆ ดู
.. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ

@ เพื่อนกวนยียวนมากอยากชกสักที
โด่..คนกวนๆ แบบนี้ไปที่ไหนก็มีคนอยากชกกันทั้งนั้น เราจะต้องไปชกเองทำไมให้เจ็บมือ เดี๋ยวก็มีคนอื่นชกให้เองแหละ แต่ดูๆแล้วก็น่าสงสารนะ...โถ..! เกิดมาชาตินี้มีแต่คนอยากชก

@ อยากตัดใจจากคนรักค่ะทรมานใจมาก
อยากทำใจให้ไวสุดๆ ทุกครั้งที่นึกถึงเขาให้ทำอย่างนี้ดิ " หายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเขา(คนนั้น) หายใจออกยาว ๆ สลายภาพของเขาใหัหายไป " แล้วก็พูดในใจว่า "โอ้..! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ใช่ของเรา มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย " (จับฝึกกรรมฐานเสียเลย อิอิ )

@ พ่อบังคับผมจะให้สอบเอ็นฯติดให้ได้..เครียดมาก
โอเคครับ...ผมจะพยายามเพื่อพ่อ แต่ผมขอเวลาทำอะไรเพื่อตัวผมเองบ้างนะครับ อ้อ..! ถ้าเอ็นฯไม่ติด ก้อไม่ว่ากันนะครับ เพราะสุดฝีมือแล้ว แต่พ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของผมหรอกครับ เพราะถึงผมจะเอ็นฯไม่ติด ผมได้เตรียมหนทางของผมไว้แล้ว รับรองไปได้สวยอย่างแน่นอนครับ

@ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ฮ้าว..ว
(หาว) แล้วส่งกระแสจิตไปยังสัตว์โลกแบบนี้ดิ หนึ่ง.. ฉันรักแมว สอง..ฉันรักหมา สาม..ฉันรักยีราฟ สี่...ฉันรักหนอน ห้า...ฉันรักสิงโต หก...ฉันรักนก เจ็ด.. ฉันรักเม่น.... ฯลฯ ( ส่งความรักไปถึงสัตว์โลกอย่างนี้เรื่อยๆ สักร้อยตัว รับรองประเดี๋ยวก็..คร้อกก..ก)

@ เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเราแต่ลับหลังเผาเราเซียะไม่มีดี
ไม่เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่ เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย )

@ ท้อใจอยากโดดตึก
ขืนโดดก็โง่ดิ .. โด่....ชีวิตนี้มันก็แค่แบบฝึกหัดเล่มใหญ่ ปัญหาผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมาแวะทักทายเราให้ลองแก้ไขดูเท่านั้นเอง แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทางออก ยอมแพ้ได้ไง

@ เพื่อนชอบพูดข่มเราประจำ
คนมีปมด้อยมาก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ชอบข่มคนอื่นให้ด้อย เพื่อตัวเองจะได้เด่น เราไม่ถือสานายหรอก เอาไว้นายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นายก็จะรู้เอง

@ เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆรู้สึกประหม่า ๆไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง
เวลายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ " ..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ

@ เกิดมาจน
โธ่ ! คนอย่างเรา เกิดมาจน ก็ได้เปรียบน่ะสิ เพราะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยลำแข้งของตัวเองจริง ๆ ชีวิตจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เกิดมาสบาย ๆ ตั้งแต่เด็ก แหม..ได้เปรียบแล้ว ยังมาทำบ่นอีก

@ เพื่อนจะขายตัวบอกว่าไม่เห็นจะหนักหัวใครเลย
ช่าย..ย ..เราก้อเห็นด้วยกับเธอนะ นั่นไง เจ้า HIV ยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย

@ เรา"นมเล็ก"อยากใหญ่กว่านี้ทำไงดีอะ
เล็กๆ กระทัดรัด น่ารักนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่าง ธรรมชาติของผู้ชายเนี่ย เขาต้องการความอบอุ่น จาก "การดูแลเอาใจใส่" ต่างหาก ไม่ใช่จาก "หน้าอกใหญ่ ๆ "

@ เรียนหนังสือยังไงให้เป็นเลิศและไม่ให้เครียดครับ
คิดอย่างนี้ทุกวัน รับรองเป็นเลิศ"ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ฉันจะขยันอย่างไม่หยุดหย่อน ฉันจะค้นคว้าด้วยความอยากรู้จริง ๆ และ...ฉันจะไม่แข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเอง "

ที่มา : narak.com

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (1)



@ เพื่อนนินทา
เพื่อนนินทาเรา แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉาอย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเองแทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ

@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส
ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ.. ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน

@ โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่
แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของแม่ต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก

@ ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย
ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้ เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋นให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น

@ เพื่อนหักหลัง
ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.

@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนายคงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา

@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)

@ วันหยุดการบ้านเพียบ
สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด

@ อกหักอีกแล้ว
ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ

@ รถติดหงุดหงิดๆ
นั่งสมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจเข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร

@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย
" เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง

@ เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี
โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ

@ เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์
..อายจัง โด่..หล่อจะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย...อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้

@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ
ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า

@ เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ
ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนักไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ)

@ ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B
เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา

@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว

@ ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน
เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข

ที่มา : narak.com

17 สิงหาคม 2552

หลวงตากับคำสอน "ช่าง - มัน - เถิด"









ที่มา : fwd

16 สิงหาคม 2552

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี



ความสุขเป็นสิ่งดีที่ใครๆ ก็อยากได้ แม้จะรู้ว่ามักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ถ้าเราไม่ฝึกจิตใจ ฝึกให้มีนิสัยให้มีความสุขอย่างแท้จริง ความสุขก็หลุดล่องลอยไปจากตัวเราได้ง่าย

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี เป็นความสุขในแนวนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้อย่างหนึ่งมนุษย์ทั่วไปมักจะมองโลก ชีวิตตัวเอง และคนอื่นเป็น 3 แบบ คือ
มองโลกในแง่ดี หรือบวก (+)
มองโลกในแง่ไม่ดี หรือ (-)
และมองโลกในแง่กลางๆ หรือ ศูนย์ (0)

มีรายงานว่าคนที่คิดแบบบวกหรือมองโลกในแง่ดี จะมีความสุขมากกว่าอีก 2 ชนิด เพราะในช่วงที่คิดแบบบวกนั้นจะมีการหลั่งสารของความสุขออกมาทำให้เกิดความหวังในชีวิตเสมอ มีกำลังใจ มองตัวเองและคนอื่นแบบมีค่าและมีศักดิ์ศรี มีมิตรเพิ่มขึ้น เข้ากับผู้คนได้ง่าย ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ และสามารถแก้ไขอุปสรรคในชีวิตและการทำงานได้ดี รับความจริงได้ง่าย ขอโทษเป็น มีอารมณ์ขันได้ ไม่กังวลใจหรือสงสัยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และรู้จักทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้ด้วย

สิ่งดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ทำให้มีความสุขทั้งนั้น

คนที่มองโลกในด้านดีมักมีจิตใต้สำนึกที่ดี เคยได้รับความรักและความสนใจจากครอบครัวมาก่อน หรือเป็นเพราะเห็นแบบอย่างและประโยชน์จาการมองโลกในด้านดีจากสิ่งแวดล้อมหรือครอบครัวมาก่อน หรือเป็นเพราะมีการฝึกจิตใจให้มองโลกในด้านดีเสมอมา

อาจมีคำถามว่าถ้าเรามองโลกในด้านดี แล้วเชื่อคนอื่นได้ง่ายๆ มิเสียรู้คนบ่อยๆ หรือ

ก็ชอบตอบว่า คนมองโลกในด้านดีก็มีสติและปัญญา รู้จักเลือกว่าควรจะปล่อยใจให้เชื่อคนแต่ละคนได้ต่างกัน รู้จักวางตัวและถอยตัวเป็นเมื่อพบคนไม่ดีหรือสิ่งไม่ดีจริงๆ เขาไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้ชักจูงได้ง่าย หรือแม้จะเสียรู้บ้างก็ไม่เสียใจมากนัก พร้อมจะรับไว้เป็นบทเรียน และยังมองโลกในแง่ดีอีกต่อไป เพราะรู้ว่าประโยชน์มีมากกว่าโทษ

ในการบรรยายนั้นได้สอนวิธีพัฒนาความคิดจาก (-) ให้เป็น (+) ในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อจะได้มองโลกในแง่ดี จากนั้นเราจะรู้จักรักตัวเองเป็นมากขึ้น อยากทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองเช่น การออกกำลังกาย การสร้างความสัมพันธ์ดีๆ กับเพื่อนมากขึ้น ได้สอนวิธีให้ความรัก ถนอมความรัก วิธีการให้อภัยตนเองและคนอื่น รวมทั้งวิธีลดความเครียด มองข้ามความหยุมหยิม ไม่ทำตัวน่าเบื่อจำเจ รู้จักลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ซาบซึ้งความดีของตนเองและคนอื่น รู้จักยิ้มและมีความสุขได้แม้ในยามที่ลำบากหรือไม่มีความสุข

ประโยชน์ของการฝึกนิสัยให้มองโลกในแง่ดีนั้นมีมากมาย เป็นการเปิดประตูให้เป็นมิตรกับตัวเองและคนอื่นได้มากขึ้น และทำให้ชีวิตมีพลังของการคิดในแนวบวก ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่มี

อ่านถึงตรงนี้แล้วนึกอยากฝึกตัวเองให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้นไหมเล่า อย่าบอกว่าฝึกไม่ได้ หรือมันยากเกินไป เพราะนั้นเป็นการเริ่มต้นวิธีคิดแบบคนมองโลกในแง่ไม่ดีต่างหาก

อย่าคิดอย่างนั้นเลย...^^

ที่มา : teenee.com

01 สิงหาคม 2552

เนื้อคู่ฉันยังไม่เกิดจริงหรือ


ความหมายของคำว่า ' เนื้อคู่ '
โดย อ.ประภัตร รหัสดาว ขออนุญาตให้ความหมายของคำว่า ' เนื้อคู่ ' ในมุมมองของผมสำหรับท่านที่เข้ามาดูดวงครับ คำว่า ' เนื้อคู่ ' หลายคนจะให้ความหมายว่าคือคนที่จะได้แต่งงานออกหน้าออกตาด้วย (ทั้งจดทะเบียนสมรส หรือ ไม่จดทะเบียนสมรสก็ตาม) หรือได้ใช้ชีวิตร่วมกัน หรือ เป็นคนที่ส่งเสริม อุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน เคยสังเกตไหมครับว่า ช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมีคนเดินเข้ามาในชีวิตมากมายหลายคน บางคนเข้ามา 1 ปีแล้วก็เลิกกัน บางคนคบกัน 6 เดือนแล้วเค้าก็จากเราไป บางคนเจอกันแค่อาทิตย์เดียวแล้วเราก็ทิ้งเค้าไปเอง บางทีคุณก็คบหาคนรู้ใจในเวลาเดียวกันถึง 3 คน บางคนแต่งงานกันมาแล้ว 20 ปีก็เลิกกันไป แต่งงานอีกทีตอนอายุ 70 ปีอยู่กินกันกับคนใหม่ได้แค่ 2 ปีแล้วก็ล้มหายตายจากกันไป
นี่เป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ที่อยากให้ลองคิดตามครับ

คิดออกหรือยังครับว่าคำว่าเนื้อคู่มันอยู่ตรงไหน * ในมุมมองของผมแล้วคำว่าเนื้อคู่ ' ไม่มีครับ ' มีแต่คำว่า ' กรรม '

ทั้งกรรมดี และ กรรมไม่ดี

บางคนทำกรรมดีกันมาในอดีต ในภพ ในชาติที่แล้ว ช่วงประจวบเหมาะได้มาเจอกันในภพในชาตินี้ ก็อยู่ด้วยกันอย่าง! มีความสุข ตามกรรมของตัวเองเป็นตัวกำหนดว่าจะได้อยู่กันนานแค่ไหน

บางคนอยู่ด้วยกันก็มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง มีแต่เรื่องเดือดร้อนแต่ทนอยู่กันได้หลายปี
นั่นก็เกิดจากกรรมในอดีตแต่เป็นกรรมไม่ดีต่อกัน ภพนี้ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกัน

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้พอจะสรุปคำว่าเนื้อคู่ ( ของหนุ่มสาวยุคนี้ ) ได้ดังนี้ครับ

ความหมายที่ 1 คือ คนที่มีกรรมดีต่อกันในอดีต ภพนี้ชาตินี้กลับมาเพื่อการอิ่มเอิบใจซึ่งกันและกัน ดูแล้วน่าจะใกล้เคียงกับ คำว่า เนื้อคู่ที่หลาย ๆ คนถามหามากที่สุด ส่วนจะเจอเมื่อไร ได้อยู่ร่วมกันนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของกรรมในอดีตเป็นตัวกำหนด

ความหมายที่ 2 คือ คนที่มีกรรมไม่ดีต่อกันในอดีต ภพนี้ชาตินี้จึงกลับมาเพื่อทวงคืน เพื่อชำระหนี้ จะสังเกตว่าคู่ประเภทนี้อยู่ด้วยกันแล้วมีแต่เรื่องเดือดร้อนทำอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่เรื่องเสียเงิน เสียใจ เสียเวลา เสียความรู้สึก แต่คนเรามักจะคิดว่าคนประเภทนี้ไม่ใช่คู่เรา เป็นที่มาของคำถามว่า 'เมื่อไรจะเจอคู่ซะที ' ซึ่งที่จริงแล้วคนที่เผชิญอยู่ในความหมายที่ 2 นี่แหละก็คือคู่เหมือนกัน แต่เป็นคู่เวรคู่กรรม

ดังนั้น ผมบอกได้เลยว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของเราทุกคนเราจะได้พบกับเพศตรงข้าม หรือ แม้แต่เพศเดียวกัน ในลักษณะคู่รัก ไม่น้อยกว่า 1 คน ในช่วงชีวิตนี้ก่อนสิ้นอายุขัยแน่นอน แล้วจะไปแคร์อะไรละครับ ถึงเวลาคนดี ๆ ที่เราตามหาเค้าจะมาเอง
ในทำนองเดียวกันไอ้คนที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ดั่งใจแต่ต้องทนคบอยู่ทุกวันนี้สักวันเมื่อชดใช้กันหมดแล้วเค้าก็จะไปเอง
ช่วงสูญญากาศที่ยังไม่มีใครมาเชื่อมต่อละมั้งที่ทำให้หลายคนวิตกกังวล จึง เป็นที่มาของคำถามว่า เมื่อไรจะเจอ คำแนะนำในยามที่คบหาใครอยู่ ไม่ว่าเค้าจะดี หรือไม่ดี ขอให้ตัวคุณทำดีต่อเค้าให้มากที่สุด เพราะเค้าจะไม่ได้มาวุ่นวายกับเราตลอดไปหรอกครับ อย่างน้อยกรรมดีที่มีต่อกันในวันนี้จะส่งผลให้คุณได้อิ่มเอิบในวันข้างหน้าได้

ในทางกลับกัน !

ถ้าได้เจอใครที่เรารู้สึกดี รู้สึกรัก รู้สึกห่วงใยเค้า รู้สึกคิดถึงเค้าตลอดเวลาแล้วละก็ รักเค้าให้มากๆครับ ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่งอาจจะต้องผิดหวัง เพราะถึงแม้จะไม่มีอะไรมาพรากคุณ และเค้าก็ตาม อย่างน้อยความตายก็เตรียมพลัดพรากคุณและเค้าในวันหนึ่งอยู่แล้ว ขอให้ทุกท่านฉลาดที่จะใช้ชีวิตคู่และรู้เท่าทัน..