แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ mylife-goodday แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ mylife-goodday แสดงบทความทั้งหมด

25 พฤศจิกายน 2552

โรคชอบเปรียบเทียบ


การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรามักจะอยากรู้ว่าคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อนฝูงของเราได้ดิบได้ดีไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เขาขับรถอะไร ได้ตำแหน่งระดับไหนแล้ว ลูกๆ ของเขาเรียนโรงเรียนอะไร สอบเข้าอะไรได้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเราเองว่าเราดีกว่าหรือด้อยกว่า และก็เป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะดีกว่าคนอื่น แต่หลายๆ ครั้งการเปรียบเทียบทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น

ความรู้สึกแบบนี้มักเกิดเมื่อเราเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีดีมากกว่าเรา โดยเฉพาะเป็นการมีในสิ่งที่เราอยากมี แต่ยังไม่มี หรือยังมีไม่พอ และโดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่าคนคนนั้นเป็นคู่แข่งด้วย เช่น เราคงไม่รู้สึกด้อยเวลาได้ข่าวนักเรียนไทยได้เหรียญทองชีวโอลิมปิค เราชื่นชมว่าเขาเก่ง แต่ความรู้สึกอาจต่างกัน ถ้านักเรียนคนนั้นเป็นลูกของญาติของเรา และเรียนชั้นเดียวกับเรา



เราเปรียบเทียบตัวเราในปัจจุบันกับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ก่อนเราอาจจะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจแต่เดี๋ยวนี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนเราอาจเคยเรียนเก่งมากแต่เดี๋ยวนี้ด้วยปัญหาต่างๆ ทำให้เราเรียนได้แค่ปานกลาง แต่ก่อนเราเคยมีเงินมากมายแต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้เรามีหนี้มากมาย ถ้าเราหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้เราก็จะรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเรากำลังตกอับ และมักจะคิดไปเองว่าคนอื่นก็มองว่าเรากำลังตกอับด้วย

เราเปรียบเทียบปัจจุบันกับความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เช่น อยากมีบ้านสวยๆ แต่ก็ยังไม่มีสักทีทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่น

หลายๆ ครั้งเราก็อยู่ของเราดีๆ แต่คนอื่นชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งแล้วก็มาตัดสินว่าเราด้อยกว่า และมาพูดให้เราได้ยินด้วย เช่น บรรดาแม่ๆ มักจะเอาลูกของคนอื่นที่เรียนเก่งมาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองแล้วบ่นให้ลูกฟัง เพราะหวังจะกระตุ้นให้ลูกเกิดความมานะ เอาอย่างคนเก่งๆ นั่น แต่ลูกอาจกลับเกิดความรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าคนอื่น บางครั้งการที่คนอื่นเอาเราไปเปรียบเทียบ แล้วมาพูดให้เราได้ยิน อาจเป็นการเหน็บแนมไม่ใช่ความหวังดีแบบนี้ก็ได้

การเปรียบเทียบนั้น บางครั้งก็ช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นมา ถ้าเรารู้สึกด้อยกว่าแล้วเราพยายามปรับปรุงตนเอง หรือเมื่อเราอยากเป็นแบบบุคคลที่เราชื่นชมแล้วพยายามพัฒนาตนเอง หรือพยายามเอาชนะคำสบประมาทของคนอื่น แต่ถ้าการเปรียบเทียบทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งแทนที่จะพยายามปรับปรุงตนเอง หรือยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้มีอย่างคนอื่นเขา แบบนี้ท่าทางเราจะเกิดภาวะการเปรียบเทียบที่เป็นพิษเสียแล้ว

การพบว่าจริงๆ แล้วเราด้อยกว่าคนอื่นนั้นเป็นความเจ็บปวด แต่การเปรียบเทียบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เกินจริง และเป็นไปในแง่ลบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเรากำลังเจ็บปวดจากการเปรียบเทียบอยู่ให้ลองถามตัวเองว่า กำลังเปรียบเทียบอะไร เช่น ความสวย ความเก่ง ความรวย ความเด่นดัง ฯลฯ เพราะบางครั้งเราจะ "มึน" แยกประเด็นไม่ออกแล้วสรุปรวมว่าตัวเราโดยรวมทั้งหมดนั่นแหละที่ด้อย สู้เขาไม่ได้ ข้อมูลแม่นแค่ไหน รู้แน่หรือเดาเอา เรารู้แน่แล้วหรือรถที่เขาขับน่ะ ใช่รถของเขา เพื่อนเราไปเรียนเมืองนอกเพราะเก่งหรือเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้

เรารู้หมดทุกแง่ทุกมุมหรือยัง? หรือเห็นแต่แง่ดีของเขาเพียงด้านเดียว เวลาเห็นคนที่ร่ำรวยเรามักคิดว่าเขาคงจะมีความสุข ที่จริงแล้วคนที่ร่ำรวยไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขเสมอไป คนที่มีแฟนแล้วหรือคนที่ "ขายออก" แต่งงานแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขมากกว่าสาวโสด คนที่มีเงินเหลือเก็บมากเพราะประหยัดมากๆ ก็ไม่น่าจะมีความสุขเท่าไร โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกเป็นภรรยา

เมื่อพิจารณาความเป็นจริงแล้วลองคิดต่อไปว่า เขาดีกว่าเราแล้วมันจะเป็นอะไรไป ถึงเขาจะมีเงินมากกว่า แต่เราก็ยังมีเงินเท่าเดิม เงินที่เรามีอยู่มันไม่ได้หดหายไป ถึงคนข้างบ้านจะสวยกว่าเรามันก็ไม่ได้ทำให้เราสวยน้อยลง เราก็ยังคงเป็นคนสวยคนหนึ่งเหมือนกัน

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เราพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรบางอย่างเหมือนที่เขาทำหรือไม่ เพื่อนของเราอาจจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาดูแลลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาไปว่ายน้ำหลังเลิกงานจึงมีเงินขนาดนั้นได้ จะทำอย่างนั้นหรือไม่


เปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ แทนที่จะจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไปเราอาจเปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ โดยเปรียบเทียบตัวเราตอนนี้กับตัวเราในอีก 1 ปีข้างหน้า ถ้าเราลงมือทำอะไรบางอย่าง เช่น ออกวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 1 ปีผ่านไปเราน่าจะหุ่นดีขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ดีขนาดคนข้างบ้านก็ตาม

การเปรียบเทียบจะเป็นปัญหาเมื่อมันไม่สมเหตุผล มากเกินไป บ่อยเกินไป ลดการเปรียบเทียบลงแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น

17 พฤศจิกายน 2552

ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม


เรื่อง ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม...โดย คุณสุวิไล บุญธวัชชัย

ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสามีที่อนุญาตให้นำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีคู่ครองติดสุราหรืออบายมุขอื่นๆ ที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ได้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นาน ก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน คุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามี คุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ

ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ ไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น

เหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปี สามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆ ตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท ทำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบ สามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย

ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่ หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉัน ดูแลแทนทั้งหมด ตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเอง เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คน และลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่

เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืน จนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึก ดิฉันจะเป็นห่วงและไม่เข้านอนจนกว่าเขาจะกลับมา โรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้น ถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย ดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว

ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระ จุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถา เพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง และไม่เข้าใจว่าสวดมนต์เพื่ออะไร

ขณะที่ดิฉันแทบจะหมดอาลัยตายอยาก อาจจะเป็นเพราะได้ทำบุญกุศลร่วมกับพี่สาวของดิฉัน อยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆเขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมาก จึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงาน เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้น

ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด) การสวดมนต์และแผ่เมตตาที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำได้ยากมาก เพราะการที่จะสำรวมกายสำรวมใจสวดมนต์ในตอนแรกๆ ต้องอดทนและฝืนใจตัวเองอย่างมากๆ

คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวดิฉันเองมักจะพูดว่าไม่มีเวลาสวดมนต์ ทำงานเหนื่อยทั้งวัน สวดมนต์ทีไรง่วงทุกที แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะ เมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุด จากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุงมหากา บทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ) พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง

อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับ สามีลงมาก แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับ ธรรมะจัดสรรให้

หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่าน มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทาง ธรรมะมากขึ้น ความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว ทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมะจากหลวงพ่อโดยตรง ทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ดิฉันจะนำคำสอนจากท่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเอง

ดิฉันเริ่มมอง ตัวเองและแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ซึ่งแต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์ และจะโกรธเขาทุกข์ครั้งที่เห็นเขาดื่มเหล้า แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรม และฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้

ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติ และไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉัน ได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามี และอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน ไม่รื้อฟื้นสิ่งที่ไม่ดีในอดีต ปรับปรุงตัวเอง ลดทิฐิ พูดจาดีๆกับเขา ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เขาเลิกเหล้า

หลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆลดการดื่มเหล้าลง จนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ และเป็นสามีที่ดีของดิฉัน การปฏิบัติธรรมนอกจากทำให้ดิฉันมีชีวิตครอบครัวที่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ดิฉันได้ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับผีเสื้อเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ดิฉันได้จับผีเสื้อมา ๔ ตัว และให้เพื่อนคนหนึ่งฉีดยากลางหลังทุกตัวเพื่อสต๊าฟไว้ส่งครูในวิชาชีวะ แต่หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ฝันเห็นผีเสื้อยักษ์ตัวใหญ่บินเข้ามาหาดิฉัน เพื่อจะมาทำร้าย จนดิฉันตกใจตื่น โดยไม่ทราบว่านี่คือความอาฆาตแค้นที่ผีเสื้อเหล่านั้นมีต่อดิฉัน จนกลายเป็นกรรมที่ดิฉันต้องชดใช้นานถึง ๑๐ ปี กับอาการปวดหลัง ที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทุกครั้งที่ปวดหลังดิฉันจะเดินไม่ได้ จะนั่งจะนอนก็ทรมานไปหมด กว่าจะดีขึ้นก็ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ จนกระทั่งได้มานั่งกรรมฐาน จึง ระลึกได้ว่า ที่ปวดหลังมาเป็นเวลา ๑๐ ปีนั้นเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ทำไว้กับผีเสื้อ ดิฉันจึงขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้กับผีเสื้อเหล่านั้น หลังจากนั่งกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลาหลานเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ยอมอโหสิให้กับดิฉัน เพราะอาการปวดหลังของดิฉันได้หายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นเป็นเวลา ๔ ปีแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการขออโหสิกรรมโดยการเจริญ กรรมฐาน ดิฉันขอสรุปว่า ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ของเรามีทางออกที่ดีได้ ถ้าเรายอมลดทิฐิลง มองดูตัวเองก่อนเพื่อแก้ไขความบกพร่อง ให้อภัยและอโหสิกรรมผู้อื่น เรื่องในอดีตอย่าไปรื้อฟื้น ขอให้ตั้งสติเพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันการที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็โดยการเจริญกรรมฐานเท่านั้น

จากประสบการณ์ชีวิตของดิฉันเอง การที่จะได้ของดีมักจะมีอุปสรรค ขอให้อดทน เริ่มจากสวดมนต์ อโหสิกรรม และแผ่เมตตาทุกวัน แล้วธรรมะก็จะจัดสรรเป็นขั้นเป็นตอนให้ได้มีโอกาสเจริญกรรมฐานในที่สุด ถึงแม้ต้องต่อสู้กับตัวเองและใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อทำให้เป็นกิจวัตร แต่พอทำได้แล้วจะรู้สึกไม่ยากเลย และจะพบแต่สิ่งดีๆที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ (ปัจจังตัง เวทิตัพโพ วิญญฺหิ)

04 พฤศจิกายน 2552

พอเพียงกับชีวิตที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีสไตล์ 5 คนดัง


หลายคนมักเข้าใจว่า "ชีวิตพอเพียง" มีความหมายแค่อยู่อย่างประหยัด และไม่ช็อปปิ้ง ทั้งที่ในความเป็นจริง "ชีวิตพอเพียง" ครอบคลุมไปถึงวิธีคิด วิธีตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมกับตัวเราโดยไม่ได้มุ่งหวังความร่ำรวยในบั้นปลาย หากแต่มีเป้าหมายคือ ความสุขที่ยั่งยืน ไม่มีวันสูญหาย ไม่ว่าเงินในกระเป๋าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง นี่คือตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่หาหนทางพอเพียงของตัวเองเจอ และพิสูจน์ให้เราเห็นว่าชีวิตพอเพียงนั้นไร้กรอบและไม่ได้มีอยู่แค่แบบเดียว

บี้ - สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว "พอเพียง" คือคำที่ใช่ตัวผม
แม้หนุ่มคนนี้จะถูกจับตามองว่าเป็นว่าที่ซูเปอร์สตาร์คนต่อไปแต่ตัวเขาเองกลับพอใจชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ พอใจที่จะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ และ “ให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
Did you know: เรื่องที่บี้ยอมฟุ่มเฟือยที่สุดคือการกิน เพราะเขาให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมากๆ


ดร.สิงห์ อินทรชูโต "สิ่งที่ทำคือความสุขทางใจล้วนๆ"
ชายคนนี้มีดีกรีหลายตำแหน่ง เขาเป็นทั้งดอกเตอร์ด้านสถาปัตยกรรม เทคโนโลยีการออกแบบ จากมหาวิทยาลัย MIT, อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, นักวิจัยและสถาปนิก แต่สิ่งที่ทำให้เราทึ่งในความเป็น ดร.สิงห์ คือ เขาสามารถนำขยะที่หลายคนมองว่าไร้ประโยชน์มาสร้างสรรค์ให้เกิดมูลค่าได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง
Did you know: ดร.สิงห์มักใช้ช่วงเวลาก่อนนอนคิดดีไซน์เฟอร์นิเจอร์จากขยะ และใช้เวลาว่างเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ในการออกแบบของตนเอง

ปอ - ทฤษฎี สหวงษ์ "ใช้เงินต้องรู้จักวางแผน ไม่ใช่มีแล้วใช้จนหมด"
แม้พระเอกมาแรงของช่อง 3 คนนี้จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนิยมวัตถุ แต่เขาก็มีภูมิคุ้มกันคือ นิสัยอดออมและพอใจในชีวิตเรียบง่ายซึ่งเป็นความสุขทางใจที่เขาบอกว่าไม่ต้องไปหาจากที่ไหน เพราะอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง
Did you know: หลังไปทำกิจกรรมคนหล่อขอทำดีปีแรกกับ สุดสัปดาห์ ที่บ้านป้านิดาซึ่งรับอุปการะหมาจรจัด ปอตัดสินใจรับสุนัขจรจัดมาเลี้ยงหนึ่งตัว แล้วตั้งชื่อว่า น้าโป๊ะ นอกจากนี้ปอลงทุนซื้อที่ดิน 90 ไร่ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อปลูกยางพารา ด้วยเหตุผลว่า เขาอยากให้โลกนี้มีสีเขียวมากขึ้น

หนูดี - วนิษา เรซ "ปิดเสียงข้างนอก แล้วกลับมาฟังเสียงข้างใน"
เธอเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ เจ้าของหนังสือเบสท์เซลเลอร์อย่าง “อัจฉริยะสร้างได้” “อัจฉริยะ...เรียนสนุก” และ “อัจฉริยะสร้างสุข” รวมถึงยังเป็นเจ้าของโรงเรียนวนิษา สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา ไม่ใช่แค่สวย รวย เก่ง แต่เธอยังมีเบื้องหลังชีวิตที่ฉลาดใช้และฉลาดคิดเพื่อสังคมด้วย
Did you know+ ความสุขของหนูดีทุกวันนี้คือการได้ปลูกผักและดูแลต้นไม้ที่โรงเรียนและที่บ้าน+ ทุกเดือนหนูดีจะไปเข้าอบรมเรื่องการวางแผนการเงินและการลงทุนที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากฟรีแล้วยังนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

ทราย เจริญปุระ "แค่รู้จักพอ และคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น"
เธอคนนี้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาแล้ว 15 ปี แม้จะเคยถูกเมาท์ว่าเป็นนางเอกขี้เหร่ แต่ในสายตาเรา เธอทั้งสวย ทั้งเก่ง และแกร่ง เพราะทุกวันนี้ทรายต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนคุณพ่อ (รุจน์ รณภพ) ซึ่งป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ในขณะเดียวกัน เธอก็สามารถบาลานซ์ชีวิตเรื่องงานและช่วยเหลือสังคมได้อย่างลงตัว
Did you know: ทรายเชื่อว่าการเป็นคนดีไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้จักพอและคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น และส่วนหนึ่งที่เธอตั้งใจทำเพื่อให้ความเชื่อนั้นเป็นจริงคือ แวะไปบริจาคเลือดทุกๆ 3 เดือนจนเป็นกิจวัตร และรวบรวมหนังสือที่มีอยู่ไปบริจาคให้แก่โรงเรียนที่ยากไร้ตามต่างจังหวัดเป็นประจำติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ใน

สกู๊ปพิเศษNo.638 (16 SEPTEMBER 2009)
สุดสัปดาห์

29 ตุลาคม 2552

7 เทคนิคทำให้ชีวิตผ่อนคลาย

ใน โลกปัจจุบันนี้ หลายๆคนคงต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การหาหนทางที่จะผ่อนคลายตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน้ต่อร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างมาก บางคนอาจเข้าสปา ไปนวดหน้านวดตัว บางคนไปเที่ยว ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ความลับของการผ่อนคลายที่แท้จริงก็คือ การควบคุมภาวะจิตใจของเรานั้นเอง ถ้าคุณขาดการควบคุมจิตใจแล้ว การเข้าสปาที่ดีที่ การเที่ยวที่ที่สวยที่สุด ก็ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้เลย

เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง
1. ปัจจุบัน คือสิ่งที่สำคัญที่สุด - บ่อยแค่ไหนที่คุณมักจะพบว่าคุณเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนส่วนมากมักจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วการวิตกกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะอยู่ในโลกแห่งอดีตหรืออนาคต คุณก็จะไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย ฉะนั้นถ้าคุณต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริงคุณจะต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราเท่าทันตนเองอยู่เสมอ

2. สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ - ที่ที่คุณอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุณต้องเจอก็ส่งผลต่อจิตใจของคุณเช่นเดียวกัน หลายๆคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยนี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี การอยู่มรบางที่ มันก็ยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายได้ คราวนี้ เริ่มมองไปที่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเห็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้คุณทำโน่นทำนี้ คุณคงต้องลงมือทำอะไสักอย่างกับห้องของคุณแล้ว เจ้าพวกของที่คอยกวน ใจคุณเป็นเหมือนภาระ หนักของจิตใจคุณ จัดการจัดห้องให้เป็นระเบียบและเก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตา หาของประดับห้องให้มีความรื่นรมณ์มากขึ้น คุณอาจยอมเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง หรือเทียนหอมมาจุด ก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นการเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงานของคุณอีกด้วย

3. การทำสมาธิ - ระหว่างที่เรามีสมาธิ จิตของเราจะอยู่ในความเงียบ สงบ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง การทำสมาธิสอนให้เรารู้จักจัดระเบียบของความคิดที่ยุ่งเหยิงของเรา ขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะหยุดนิ่ง ซึ่งนำมาซึ่งความสงบและความเบิกบาน การทำสมาธิจึงเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด คุณลองหาเวลาวันละ 10 - 15 นาทีเพื่อทำสมาธิ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกแห่งความสงบและผ่อนคลายที่แท้จริงเป็นอย่างไร

4. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม - การ ผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปล่อยกายปล่อบใจอยู่ในสปา หรือบนชายหาดตลอดทั้งวัน เราจะต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายท่านกลางกิจกรรมปกติของเรา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำอย่างเป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้คุณทำงานสบายขึ้น และได้ผลงานที่มากขึ้น ในขณะที่คุญทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ความสบสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึกถึงการผ่อนคลายได้เลย เริ่มทำงานที่สำคัญมากที่สุดและเร่งที่สุดก่อน และวค่อยๆทำงานที่สำคัญลอองลงมา ค่อยๆทำอย่างรอบคอบ อย่ากดดันตัวเองให้ต้องทำงานให้มากที่สุด การทำวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานถูกต้องมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความสบายใจมีมากขึ้น นี่แหละคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ

5. อย่าขึ้นผูกติดกับความคิดเห็นของคนอื่น - บ่อย แค่ไหนที่คุณยึดติดกับความคิดของคนอื่น ตอนที่เรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะพูดอน่างไร นั้นก็คือเราได้สร้างภารทางใจให้กับตัวเอง เพราะลึกๆแล้ว เราพยายามต้องสนองความต้องการของคนอื่นอยู่ เราก็จะกดดันตัวเองและก็จะไม่มีทางที่จะผ่อนคลายเลย คุณรู้ไหมว่า คนอื่นก็มักจะคอยจับผิดเรา เราจะไม่มีทางดีพอสำหรับคนอื่นได้ ดังนั้น จงอย่าผูกติดตัวเองกับคำวิภากษ์วิจารณ์ของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ ไม่ ได้หมายความว่าเราจะไม่สนใจความคิด เห็นของคนอื่น แต่หมายความว่า เราอย่าาทำให้ตัวเราต้องรู้สึกสนวุ่นวายใจเพียงเพราะความเห็นของคนอื่น เรารับฟังและนำมาคิดด้วยสติอย่างมีเหตุมีผล มันอาจจะทำยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่าคุณยึดติดกับความคิดผู้อื่นน้อยลงเรื่อยๆ

6. ให้เวลากับตัวเอง - แบ่ง เวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะว่างตลอด 24 ชั่วดมงเพื่อใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า หรือแม้กระทั่งเพื่อน จงรับโทรศัพท์หรือตอบ email ลูกค้า หรือหัวหน้าในเวลทำงานเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกวนใจ และบั่นทอนพลังกายและใจของคุณ

7. การเปลี่ยนแปลงก็ดีไม่แพ้การพักผ่อน - ชีวิต เราคงไม่ดีแน่ถ้าเหมืนละครที่เล่นซ่ำไปซ่ำมา ถ้าคุณพบว่าคุณติดอยู่ในบ่วงของการทำสิ่งที่จำเจทุกวัน ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้สหล่ะ เช่น ถ้าคุณดูโทรทัศน์หรือท่องอินเตอร์เน็ตหลังอาหารเย็นทุกวัน วันนี้คุณลองเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบหมู่บ้านดูบ้าง การได้ทำสิ่งอะไรใหม่ๆ พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว การผ่อนคลายง่ายเหมือนแค่การหายใจ เมื่อ ใดที่คุณรู้สึกเครียดหรือกดดัน คุณลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ แค่นี้คุณก็จะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ไม่ยาก

ขอบคุณข้อมูล : hbwellness

08 ตุลาคม 2552

ความสุขกับเงิน


คุณทราบหรือไม่ว่า คน ๓ กลุ่มต่อไปนี้ ได้แก่

เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ มีอะไรบ้างที่เหมือนกันหรือเท่ากัน ?

ก)อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด

ข)สัดส่วนการมีโทรศัพท์มือถือต่อประชากร ๑,๐๐๐ คน

ค)อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน

ง)ความสุข

ถ้าคุณตอบข้อ ก)-ค) คุณก็ตอบผิดแล้ว คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ ง)

จากการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว พบว่าคนทั้ง ๓ กลุ่มข้างต้นมีความสุขกับชีวิตคิดเป็นคะแนนเท่ากัน คือ ๕.๘ (จากคะแนนเต็ม ๗) โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗

ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว

การค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า ความร่ำรวยมิใช่ปัจจัยหลักของความสุข จริงอยู่คนเราจะมีความสุขก็ต้องมีเงินหรือทรัพย์สมบัติ อย่างน้อยก็ต้องเกินระดับความยากจน ถ้ายังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น ก็ยากจะมีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้คนเร่ร่อนไร้บ้านในแคลิฟอร์เนียกับคนเร่ร่อนในกัลกัตตาจึงมีความ สุขแค่ ๒.๙ นั่นคือมีความสุขเพียงครึ่งเดียวของเศรษฐีอเมริกัน มองในแง่นี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า คนรวยมีความสุขมากกว่าคนจน

แต่เมื่อมีเงินหรือทรัพย์สมบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย คนอเมริกันและคนญี่ปุ่นมีรายได้สูงขึ้นและมีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วหลายเท่าตัว แต่น่าสังเกตว่าอัตราส่วนของคนที่บอกว่า “มีความสุขมาก” ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

ทำไมมีเงินมากขึ้นจึงไม่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น? เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เราชินชากับความร่ำรวยหรือสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วมาก วันแรกที่คุณได้รถคันใหม่ที่ขับนิ่มกว่าเดิมหรูหรากว่าเดิม แน่นอนคุณย่อมมีความสุข แต่เมื่อผ่านไปสัก ๓ เดือนหรือครึ่งปี คุณก็จะรู้สึกเฉย ๆ กับรถคันนั้นแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่ง ความสุขที่เคยเพิ่มขึ้นได้ลดมาสู่ระดับเดิมก่อนที่จะได้รถคันนั้น

คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว ถ้าให้ถูกจริง ๆ น่าจะพูดว่า “เงินเช่าความสุขได้” อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

มีความสุขอีกมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินเลย และสามารถอยู่ได้ยั่งยืนกว่า เช่น ความสุขท่ามกลางครอบครัวอันอบอุ่น ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตร ความสุขจากการชื่นชมธรรมชาติ ความสุขจากการเอื้อเฟื้อผู้อื่น รวมถึงความสุขจากการทำสมาธิภาวนาชาวอามิช ชาวอินุยต์ และชาวมาไซ อาจไม่มีโอกาสเสพสุขจากวัตถุได้มากเท่าเศรษฐีอเมริกัน แต่สิ่งที่ให้ความสุขแก่พวกเขาอย่างมากมายคือ สัมพันธภาพอันงดงามทั้งกับผู้อื่นและกับธรรมชาติ รวมทั้ง

ความสุขจากใจที่สงบเย็นความสุขจากเงินนั้นมีเสน่ห์ตรงที่เข้าถึงได้ง่าย แต่อะไรที่ได้มาง่ายนั้นไม่ค่อยยั่งยืน (ลองนึกถึงความสุขจากเซ็กส์และยาเสพติดเป็นตัวอย่าง) แต่ความสุขจากสัมพันธภาพและความสุขจากจิตใจอันสงบนั้น แม้จะเข้าถึงยาก แต่อยู่ได้ยั่งยืนกว่าอย่างไรก็ตามมีวิธีหนึ่งที่เงินสามารถให้ความสุขอย่างรวดเร็วและยั่งยืน (อย่างน้อยก็นานกว่าการเที่ยวห้าง) นั่นคือ บริจาคเงินให้แก่คนจนหรือผู้ทุกข์ยาก รอยยิ้มของเขาสามารถทำให้คุณอิ่มเอิบไปได้นานทีเดียว
ที่มา : teenee.com

29 กันยายน 2552

7 วันไหนดีที่สุด



วันไหนเป็นวันดีที่สุด...ที่จะขอเงินเดือนเพิ่มหรือคิดโครงการใหม่ การวิจัยพบว่า การทำงานมีแบบแผนเฉพาะซ่อนอยู่

การทำงานในสำนักงานดูจะเหมือนกันทุกวัน ตามจริง สัปดาห์แห่งการทำงานนั้นมีจังหวะของมัน เป็นจังหวะที่สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ถ้าผู้ทำงานรู้จักใช้ เด็บบี มอสโควิตซ์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแม็กกิลในแคนาดา วิจัยพบว่า "คนเราจะเริ่มทำงานตอนต้นสัปดาห์อย่างมีไฟ แต่พอใกล้ถึงวันศุกร์ก็เริ่มตระหนักว่าคงต้องเพลาๆลงบ้าง"

วันจันทร์ ผู้ทำงานจะตั้งใจทำงานและอยากให้งานสำเร็จลุล่วง ดังนั้น จึงเป็นวันดีที่สุดที่จะมอบหมายงาน จัดระบบงาน วางเป้าหมาย ทำตามคำสั่งของเจ้านาย และหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

วันอังคาร อาจเป็นวันที่มีผลงานและประสิทธิภาพในการทำงานดีที่สุด แต่การวิจัยโดย fish4jobs ระบุว่า วันอังคารเป็นวันที่คนใช้อินเทอร์เน็ตหางานกันมากที่สุด "เราพบว่าคนใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่บ่ายสามโมงเป็นต้นไป" โจ สลาวิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว

วันพุธ ผู้ทำงานจะเริ่มผ่อนคลาย แต่ยังไม่ถึงกับหมดเรี่ยวแรง กลาเดียนา แม็กมาห์น ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ กล่าวว่า วันพุธเป็นวันดีที่สุดสำหรับการคิดสร้างสรรค์ "ให้จัดประชุมระดมความคิดและวางแผนอนาคต"

วันพฤหัสบดี มอสโควิตซ์กล่าวว่า "เป็นวันดีที่สุดที่จะขอให้ผู้อื่นทำอะไรๆให้" เพราะผู้ทำงานจะค่อนข้างว่าง่ายและยอมเจรจาด้วย ดังนั้น อาจเป็นวันดีที่สุดที่จะขอขึ้นเงินเดือน

วันศุกร์ ต้องระวัง เพราะเป็นวันที่ผู้ทำงานจะกล้าเสี่ยงมากขึ้นและประสบอุบัติเหตุมากกว่าวันอื่น เป็นวันที่ควรจะเผชิญหน้ากับผู้ร่วมงานที่มีข้อข้องใจ อะแลสแตร์ ฮามิล นักจิตวิทยาด้านการทำธุรกิจ แนะ "พวกเขาอาจยอมรับสิ่งที่คุณเคยบอกเขาไว้ก่อนจะมาพบคุณในวันจันทร์ ก็ได้"

วันสุดสัปดาห์ คุณเป็นพวกที่เครียดกับงานมาตลอดสัปดาห์ แล้วล้มป่วยในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่ ให้ลองออกกำลังในคืนวันศุกร์เพื่อปรับร่างกายจากเวลาแห่งงานไปสู่เวลาแห่งการพักผ่อน

ที่มา : http://www.readersdigest.co.th/

22 กันยายน 2552

ป่านนี้แล้ว ยังไม่มีคู่


สาวสวยเพียบพร้อมบางคน รู้สึกเป็นทุกข์เพราะอายุ 35 แล้ว ยังไม่มีแฟน รู้สึกถึงแรงกดดันจากสังคม ไปไหนคนเดียวมักจะถูกถามว่า เมื่อไหร่จะมีข่าวดี เช่นเดียวกับบางคนที่อายุ 40 กว่าแล้วและเป็นทุกข์กับคำว่าขึ้นคาน ทำให้รู้สึกเครียด อึดอัด เหมือนตัวเองมีปมด้อย มีผู้ใหญ่บอกฉันว่า ถ้าเราเติมเต็มให้ตัวเองได้ ดูแลกายและใจของตัวเองเป็น มีกัลยาณมิตรที่ดีแล้ว ไม่ต้องแต่งงานก็ถือเป็นข่าวดีเช่นกัน
ข่าวดีอย่างไร ?
วดีเพราะมีเรื่องทุกข์กาย ทุกข์ใจน้อยกว่าปกติ คนเราตัวคนเดียวก็ทุกข์เพราะกายและใจเราอยู่แล้ว อาจจะให้คะแนนความทุกข์เท่ากับ 10 แต้ม ถ้ามีคู่ชีวิต ถึงแม้ได้คนดีมีคุณธรรม ก็ยังทุกข์ เพราะความห่วงใยในตัวคนรัก เขาทุกข์กายเวลาเข้าโรงพยาบาล เราก็ทุกข์ใจ ทำให้ได้แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 20 แต้ม

ถ้ามีลูก 1 คน ก็ได้ แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 30 แต้ม
ถ้ามีลูก 2 คน ก็ได้ แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 40 แต้ม
ถ้ามีลูก 3 คน ก็ได้ แต้มความทุกข์สะสม เพิ่มเป็น 50 แต้ม
การอยู่คนเดียวจึงเป็นข่าวดีอีกอย่างหนึ่ง...เช่นนั้นอย่าทำร้ายตัวเองด้วยค่านิยมเก่าๆของสังคมเลย

อ่านแล้วคนโสดที่เป็นทุกข์ต้องปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่ คุณน่ะโชคดีแล้ว

ที่มา Love Box

วิธีสร้างสุขแบบสาวโสด


วิธีสร้างความสุข แบบสาวโสดสาวคนไหนที่กำลังโสด มาสร้างความสุขให้ตัวเองกันดีกว่า วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาฝาก...

1. ถึงเวลาแล้วที่จะมีเวลาเพิ่มความสำเร็จให้กับชีวิต ด้วยการทุ่มเทหัวใจทั้งหมดไปกับการทำงาน ความโสดจะทำให้มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความรักบางครั้งก็ทำให้ไขว้เขวและหดหู่ การไม่มีภาระทางใจจะทำให้เราสนุกไปกับการทำงานได้อย่างสบายๆ

2. หันมามองครอบครัวได้อย่างเต็มตา ถึงเวลาที่จะมีเวลาทำกิจกรรมกับคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง และหลานๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วงว่าวันหยุดนี้ หวานใจจะพาไปไหน ครอบครัวก็ไม่ต้องเหงาเพราะคิดถึงคุณอีกต่อไป ความสุขแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

3. ได้เวลาสนุกให้สุดๆ กันเสียที สำหรับปาร์ตี้สุดสนุกกับเพื่อนๆ ก๊วนเดิมที่ห่างหายไปเสียนาน เวลาแห่งความสุดเหวี่ยงของชีวิตกลับมาอีกครั้ง ช่วงนี้จะสามารถกิน เที่ยว ได้อย่างอิสระเชียว

4. เวลาคุณภาพที่ดีที่สุดคือ การให้เวลากับตัวเองด้วยกิจกรรมดีๆ มากมาย ทั้งการดูแลร่างกายและหัวใจ อย่างการไปเข้าสปา ทำสมาธิ หรือจะดูหนังรัก 3 เรื่องติดต่อกันก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องสนใจเสียงบ่นของใครอีกเลย

5. ถึงเวลาอัพเดทสมองกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปเฉยๆ เมื่อต้องอยู่คนเดียว นั่นคือความรู้จากสื่อที่อยู่รอบตัว ควรหาเวลาเหมาะๆ ตั้งหลักหาความรู้ใส่สมองเสียหน่อยจะดีที่สุด จำไว้ว่า ผู้หญิงสวยก็ควรมีความฉลาดควบคู่ไปด้วย

6. ลองสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นดูบ้าง ความสุขที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากการให้ เพียงแค่ใส่ใจกับกิจกรรมเพื่อสังคมที่พบเห็นอยู่ทั่วไปบ้าง แล้วการให้จะทำให้อิ่มใจจนลืมไม่ลงสาวคนไหนโสดอยู่ ก็อย่าลืมหาความสุขให้กับตัวเองกันดูได้
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์

07 กันยายน 2552

ผู้ชายดี ๆ ที่ควรมองข้าม


ภายใต้สังคมสมัยใหม่ที่ลึกลับและสลับซับซ้อน การเลือกผู้ชายสักคนมาเป็นคู่รักคู่ชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ มีผู้ชายไม่ดีที่ผู้หญิงต้องระวังอยู่มากมายหลายประเภท อาทิ ผู้ชายเจ้าชู้ ผู้ชายหลายใจ ผู้ชาย นอกจากผู้ชายไม่ดีที่ผู้หญิงต้องระวังแล้ว ในโลกยุคใหม่นี้ยังผู้ชายดี ๆ ที่ผู้หญิงพึงต้องระวังอีก เขาเป็นใคร คือคนที่ใช่และใกล้ตัวหรือเปล่า!!!!

ผู้ชายไม่ยอมโต

ผู้ชายที่ไม่ยอมโต สังเกตง่าย ๆ เขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน นุ่มนวล มีความประนีประนอมสูง เป็นคนรักครอบครัว รักพ่อแม่พี่น้อง เป็นคนที่เชื่อฟังพ่อแม่และ การตัดสินใจไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ มักจะมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญตัดสินใจให้เสมอมา เป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองน้อย ขาดความเป็นผู้นำ เพราะอยู่บ้านพึ่งพ่อแม่ ออกสังคมพึ่งเพื่อนฝูง ถ้าแต่งงานก็พึ่งภรรยา แต่เป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู สนุกสนาน การมีเขาอยู่ข้างกายก็เหมือนมีเด็กซน ๆ คนหนึ่งอยู่เคียงข้าง ผู้ชายไม่ยอมโต อาจจะไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงหลาย ๆ คน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนอบอุ่น จริงใจ ไม่หลอกลวง หากคุณกำลังคบหาดูใจกับใครสักคน แล้วบังเอิญเขาเข้าข่ายเป็นผู้ชายไม่ยอมโต คุณก็ต้องทำใจและเตรียมใจ ถ้าแต่งงานกับเขา ก็เหมือนแต่งงานกับคนทั้งครอบครัวเขา พ่อแม่ของเขาก็ยังคงเข้ามาดูแลเขา ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าคู่อื่น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งปัญหาจริง ๆ อาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวฝ่ายชาย แต่อยู่ครอบครัวของฝ่ายชายมากกว่า วิธีแก้ไขก็ไม่ยาก นั่นคือ ไปตั้งรกราก สร้างงาน สร้างครอบครัวใหม่ ให้ไกลแสนไกลจากครอบครัวเดิมของเขา

ผู้ชายบ้างาน

ผู้ชายบ้างาน ส่วนใหญ่เป็นคนมีความทะเยอทะยานสูง รักความเจริญก้าวหน้า มีความเป็นผู้นำ มั่นใจในตัวเอง ไฟแรง รอบรู้ มักประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม มีอนาคตสดใส เป็นผู้ชายในอุดมคติของหญิงสาวเกือบทุกคน แต่ ผู้ชายบ้างาน วันทั้งวันทำแต่งาน ไม่เคยมีวันว่าง ไม่เคยมีวันหยุดยาว ไม่เคยมีวันที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว การแต่งงานของเขาอาจจะไม่ได้มาจากความรักล้วน ๆ แต่มาจากความเหมาะสม และเพื่อสถานะทางสังคม หากคุณกำลังคบหาดูใจกับใครสักคน แล้วบังเอิญเขาก็เข้าข่ายหรือเป็นผู้ชายบ้างาน คุณก็มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือ ทำใจและยอมรับ หรือไม่ก็ยอมรับและทำใจ เพราะการที่จะไปเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนใจ เปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือถ้าจะเลิกคบกัน แล้วปล่อยให้เขาหลุดมือไป ก็ถือว่าน่าเสียดาย เพราะจริง ๆ แล้วผู้ชายบ้างานก็มีข้อดีมิใช่น้อย ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว ส่วนใหญ่ เป็นคนน่าค้นหา มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สุขุม ลุ่มลึก พูดน้อย ใจเย็น เป็นมิตร ช่างคิด ช่างฝัน ช่างจินตนาการ ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว มักอยู่กับอดีตเก่า ๆ ที่ผ่านพ้นไปแล้วเป็นคนที่ไม่มีใจให้ปัจจุบัน ชอบคิดถึงแฟนเก่า เพื่อนเก่า ความรู้สึกเก่า ๆ หรือไม่ก็ใฝ่ฝันถึงผู้หญิงในอุดมคติหรือความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง

ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว

ชื่นชอบกิจกรรมที่ทำคนเดียว เช่น ท่องอินเตอร์เน็ต เขียนและอ่านอีเมล อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบา ๆ นอนดูหนังแผ่นเรื่องโปรดอยู่กับบ้าน อาการของโรค "มีโลกส่วนตัวสูง" หรือการมีรสนิยมส่วนตัวที่ไม่เหมือนใคร เช่น ชอบฟังเพลงเฉพาะกลุ่ม ซึ่งคนทั่วไปฟังยังไงก็ไม่เพราะ ชอบดูหนังนอกกระแสที่นักวิจารณ์ชื่นชมแต่คนดูหนังทั่วไปดูไม่รู้เรื่องหรือการชอบอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว การที่ใครสักคนหนึ่งมีโลกส่วนตัวสูง อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเรื่องเลวร้าย แต่เป็นเรื่องที่น่าน้อยใจ น่าหงุดหงิด น่ารำคาญ มากกว่า แต่คุณจะรับได้หรือไม่ ก็ไม่รู้ ถ้าได้รู้ว่า ในโลกส่วนตัวของเขาไม่เคยมีคุณ

ผู้ชายสีม่วง

ผู้ชายสีม่วง เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน และถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่เขาจะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยรสนิยมทางเพศนี้ให้สังคมได้รับรู้ ผู้ชายสีม่วง ส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง เฉลียวฉลาด เชื่อมั่นในตัวเอง ทันสมัย มีหัวศิลปะ มีรสนิยม อ่อนไหว อ่อนโยน โรแมนติค พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน รักความสวยงาม ความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งยังเป็นคนรักษาสุขภาพ รักษาหุ่น ดูแลผิวพรรณ ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยรวม ๆ ถือว่าเป็นชายหนุ่มที่ดูดีมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นเทพบุตรในฝันของหญิงสาวหลาย ๆ คน ผู้ชายสีม่วง ส่วนใหญ่เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง เขามีโลกของเขา มีทางเดินของเขาเองแต่ฝ่ายผู้หญิงเองต่างหากที่ไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นฝ่ายที่ไปทึกทัก รักเขาข้างเดียว โดยที่เขาอาจจะไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ฝ่ายชายอาจจะคิดคบหล่อนในฐานะเพื่อนสาวแต่ฝ่ายหญิงตั้งความหวังไว้ที่สามีในอนาคต ผู้ชายสีม่วงข้อดีมีมากมาย แต่ข้อเสียก็ยากเกินกว่าจะรับได้ นั่นคือ เขาไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัว

ผู้ชายไม่แต่งงาน

ผู้ชายไม่แต่งงาน หมายถึง ผู้ชายที่พร้อมทุกอย่างทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ตำแหน่งหน้าที่การงาน และฐานะการเงิน แต่ไม่คิดจะแต่งงาน ผู้ชายไม่แต่งงาน ส่วนใหญ่เป็นคนอารมณ์ดี มีความสุขกับชีวิต ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น รักบ้าน รักครอบครัว มนุษยสัมพันธ์ดี มีความเป็นมิตร มีความจริงใจ ไม่คิดเอาเปรียบใคร ไม่หลอกลวง ไม่โป้ปดมดเท็จกับใคร เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลาย ๆคน และเชื่อว่า ถ้าเขาคิดจะแต่งงาน เขาก็คงแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะได้มาพบเจอกับคุณ ผู้ชายที่ไม่แต่งงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาเหตุมาจาก อกหัก ผิดหวัง ซึ่งสาเหตุจริง ๆ ที่เขาไม่อยากแต่งงานนั้น น่าจะมาจากแนวคิดที่ว่า อยู่คนเดียวก็ได้ ผู้ชายไม่แต่งงาน มีข้อดีมากมาย สาธยายไม่หมด แต่ข้อเสียมีอยู่ข้อเดียวและเป็นข้อที่ผู้หญิง ส่วนใหญ่รับไม่ได้แน่นอน นั่นคือ "เขาไม่ยอมแต่งงาน"

ที่มา : teenee.com

29 สิงหาคม 2552

บทความจากน้าเน็ก.."อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะ"


อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ
- ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก เกตุเสพย์สวัสดิ์

1. คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า......... แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้ นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว
นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่ เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น
...... คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอม ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ
ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....
พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว ทำงานในสิ่งที่เรารัก
เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว ใช้เวลา ( ที่อาจจะ)
สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล .......
คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบ แยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา

22 สิงหาคม 2552

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (3)


@ ไม่รู้เป็นอะไรอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาแต่ไม่มีเงิน
แหะๆ "อยากได้โน่นอยากได้นี่" มีแต่เสียเงินลูกเดียว " อยากทำโน่นอยากทำนี่ " ดีกว่า สนุกดี แฮปปี้ตลอดวัน แถมไม่ต้องเสียเงินสักบาท

@ แง ... เพื่อนไม่สนใจเราเลยทำดีเอาใจทุกอย่างแล้วนะ
ทำดีเพื่อให้คนอื่นมาสนใจมันก็เหื่ยวแห้งอย่างนี้แหละเธอ เป็นแม่พระดีกว่านะ... ดูแลเพื่อน ๆ เหมือนอย่างกับแม่ที่ดูแลลูก ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ....เฮ้อ ! เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วก้อสบายใจ

@ ถ้าหนูจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำเช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
(อ้าว ! ) ทำยังไงไม่ให้ขี้เกียจ ให้คิดดูว่า เราจะได้อะไรจากงานที่ทำนี้บ้าง คิดไปเรื่อย ๆ จนเกิดความรู้สึก "อยากทำ" เช่น "ล้างส้วม" เราได้อะไรบ้าง โห !เยอะแยะ 1."ได้ออกกำลัง" ดีจังเรายิ่งอ้วน ๆ อยู่ด้วย2."ได้เสียสละ" เพื่อพ่อแม่จะได้เข้าห้องน้ำอย่างมีความสุข 3. "ได้ฝึกอดทน" โตขึ้นเราจะได้แข็งแกร่ง ลุยได้ทุกที่ 4. "ได้บุญ" ใครเห็นห้องน้ำสะอาด เขาก็จะสบายใจ เราก้ออิ่มบุญ ฯลฯ ..(คิดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก้อทนไม่ไหว อยากจะไปทำเองแหละ)

@ ช่วยตัวเองบ่อยมากทำไงให้ลดลง
เบรคตัวเองแรง ๆ ดิ เช่น .. " ไม่คุ้มเลย.. สุขวูบเดียว เพลียไปทั้งวัน...มันก็แค่อร่อยเหมือนแทะเนื้อติดกระดูก แทะยังไงก็ไม่อิ่ม ... ไม่มีปัญญาคิดสร้างสรรค์ความสุขอื่น ๆ แล้วหรือไง ถึงได้จมอยู่แต่เรื่องพวกนี้... เราวุ่นกับมัน มันก็วุ่นกับเรา ไม่เป็นอิสระสักที " ฯลฯ(ถ้าคิดแล้วยังเอาไว้ไม่อยู่ ก็ตามบายเหอะ มันไม่เสียหายอะไรนักหรอก)

@ คืนนี้ อยู่คนเดียวกลัวผีอะบรื๋วว..ว์
นี่พวกผี ตอนนี้ฉันกำลังสวดนะโม ตัสสะ ฯ อยู่นะ เตือนไว้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านกำลังประทับอยู่ในใจฉัน ผีตัวไหนอย่าอุตริโผล่ขึ้นมาหลอกล่ะ บาปกรรมหัวแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงไม่รู้ด้วยนะเออ

@ คนตามจองล้างจองผลาญกลั่นแกล้งเราไม่ยอมเลิก
" เจ้ากรรมนายเวร" ภาค 2 ชัวร์ !! อย่างนี้ยิ่งตอบโต้ยิ่งเกมยาว (ถึงชาติหน้า) เจ๊ากันไปดีกว่า เอาเป็นว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เรื่อยๆ ศัตรูได้ส่วนบุญเยอะ ๆ เดี๋ยวก็เลิกรากันไปเองแหละ

@ กระเป๋ารถเมล์สายที่นั่งประจำพูดจาไม่สุภาพฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย
น่าเห็นใจนะอาชีพนี้ นี่ถ้าฉันลองไปทำดูบ้าง ฉันก็คงจะเครียด และต้องแสดงอาการกริยาแบบนี้แหละ

@ ทำตัวดีไม่เป็นภัยกับใครแต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี
ภูผาหินไม่กลัวพายุร้าย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะไปหวั่นไหวอะไรกะอีแค่ลมปาก เขาพูดป้ายสี สีก็เลอะที่ปากเขาสิ เราไม่เกี่ยว..

@ ผมเป็นคนจับจดทำงานอะไรไม่เคยสำเร็จชาตินี้จะเอาดีกะเขาได้มั้ยเนี่ย
นึกถึงภาระกิจที่จะต้องทำแล้วคิดด้วยความมั่นใจว่า " เข้ามาเล้ย..ย งานน่ะ ไม่กลัวอยู่แล้ว (ทุบกำปั้นบนฝ่ามือ) เรามั่นใจ ทำได้แน่ไม่เลี่ยง ไม่หนี ลุยลูกเดียว " (คิดทั้งวันทั้งคืน ชาตินี้จะไม่มีวันเป็นคนจับจด)

@ นิสัยตัวเองไม่ดีชอบจ้องจับผิดคนอื่น
" มิน่าเล่า เราถึงไม่มีเพื่อนที่ดีเหลือเลยสักคน จับผิดตัวเองดีกว่า สนุกกว่ากันเยอะเลย "

@ ติดเกมงอมแงมเสียการเสียงานอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้
พูดท้าทายตัวเองดิ เช่น" เล่นเกมสนุก แต่ไม่มีสาระ เสียเวลาไปเปล่าๆ ไหนเก่งจริง ลองทำงานให้สนุกเหมือนเกมดูซิโด่...ทำได้หรือเปล่า มีปัญญาอ๊ะป่าว "

@ ทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างมา(ทำอะไรไม่บอกอะ) รู้สึกกังวลและเครียดมากหายใจไม่ทั่วท้องเลย
หายใจเข้าออกลึก ๆ ให้สุดปอดตลอดทั้งวัน และบอกกับตัวเองว่า "ถ้ามันไม่ร้ายแรงถึงกับตาย เราก็ไม่ต้องไปกลัวไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรารับได้อยู่แล้ว เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้ สบายมาก "

@ ถูกขาใหญ่ตบกระโหลกที่หน้าปากซอยฮึ่ม..แค้นมาก เดี๋ยวจะลากปืนไปยิงมัน
โห..! คิดได้ไงเนี่ยจะเอาเพชรไปแลกกะถ่าน คุ้มจริงๆ นะเพ่

@ ทำไมโรงเรียนต้องบังคับนักเรียนชายให้ตัดผมด้วยหมดหล่อเลยเรา เผด็จการชัด ๆ
ลดความหล่อบ้างสักนิดก็ดีนะสาว ๆ จะได้ไม่กวน ขอบคุณคับคุณครู ที่ช่วยให้ผมได้เรียนหนังสือเต็มที่กับเขาสักที

@ ไม่สบอารมณ์คนนั่งข้าง ๆ
(ใครหว่า ?)ขอคาถาขับไล่หน่อยสิ ได้สิ.. " โอมเพี้ยง.. ชิ๊ว ๆ ๆ ไปพวกความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย หายวับกับตาไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะได้ใจเย็นๆ สักที "

@ ฮือ..ๆๆเราติดเอดส์เรากลัวตาย..ฮือๆๆ
เข้มแข็งๆ กล้าหาญไว้ โอ.!.ฉันขอบคุณโรคเอดส์ เพราะมันทำให้ฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกต่อไป ฉันจะรักษาสุขภาพกายใจให้ดีๆ อายุจะได้ยืนยาวไปอย่างน้อยอีกสิบปี (ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นอาจจะมียารักษาให้หายแล้วก็ได้ ) ฉันจะทำความดีให้มากๆๆๆ จวบจนวินาทีสุดท้ายเพราะพระท่านว่าคนที่ทำความดีไม่ต้องกลัวโลกหน้า ตายไปเมื่อไหร่จะสุขเหลือล้นจนคนข้างหลังอิจฉาเลยทีเดียวเชียว

@ เจอพวกชอบโทร(สาธารณะ)นานแทบจะกางมุ้งนอนรอ
ถ้าไม่กล้าเคาะเตือน ขณะที่เรายืนรอ ลองฝึกสังเกต คนพวกนี้เล่นๆ ก็ได้ สนุกดีนะ เช่น"อึมม์..เจ้าหมอนี่ นุ่งกางเกงยีนส์ปะๆแต่ว่าซักสะอาด แสดงว่าชอบโชว์ความเก๋า แต่.. เล็บมือด๊ำดำ ว๊า ! หมดท่าเลย สังเกตดูเสื้อ สก๊อตสีน้ำเงินซะด้วย แต่ดูดีๆ ตะเข็บเย็บไม่ประณีต สงสัยจะเป็นเสื้อโหล ชอบยืนพิงตู้โทรคุยแบบนี้ น่าจะเป็นคนขี้เกียจนะ นั่น ๆ มีสมุดเรียนเหน็บที่กระเป๋าหลัง อ๋อ ! เรียนอยู่สถาบันนี้เอง แหวะ .. ทีหลังมีเราลูก เราไม่ส่งเรียนที่นี่หรอก นิสัยไม่ดี ฯลฯ " (บางคนกว่าจะออกจากตู้ สงสัยสังเกตจนเขียนตำราได้หนึ่งเล่ม หุ หุ ) "

@ เป็นคนขึ้อายมากกกกค่าเวลาคุยกะใครม้วนไปม้วนมา
จะคุยกับหนุ่มใช่มั๊ยล่า..า รู้ทันหรอกน่า ให้คิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของเราดิ แม่รู้สึกยังไงกะลูกล่ะ เอ็นดูใช่มั๊ย สงสารใช่มั๊ย ให้มีเมตตากรุณาต่อผู้ชายทุกคนที่คุยด้วย แต่ไม่หวั่นไหวกะใครง่าย ๆ ความอายจะหายไป ............ทำได้ป่าว

@ มีคนใส่ร้ายเราเราโกรธมากจนนอนไม่หลับ
เขาทำความชั่วเขาก็ได้ผลชั่วของเขาเอง เรามามัวนอนโกรธ จนนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็สมใจเขาสิ เปลี่ยนไม่ถือสาหาความ เมตตาเอ็นดูเขาดีกว่านอนหลับสบาย แถมฝันดีอีกต่างหาก

@ มีแฟนหลายคนสับหลีกไม่ทันอะ
มีแฟนเยอะ แสดงว่าเรายังไม่เจอรักแท้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะลองแกล้งป่วยดู ถ้าคนไหนมาเยี่ยม แสดงว่าคนนั้นก็ผ่านรอบคัดเลือก เราจะทดสอบกลั่นกรองให้เหลือคนที่ดีที่สุด เพราะรักเดียวใจเดียวคือความสุขที่แท้จริง

@ ครูสอนน่าเบื่อโดดเรียนดีกว่าเรา
โดดเรียน ได้ผ่อนคลาย มีเสรี จะไปไหนก็ได้ อึมม์...มันก้อดีเหมือนกันนะ แต่ทว่า...มันเป็นการหนีปัญหา เพราะอีกหน่อยเราก็คงต้องหนีเรื่อยไป หนีหน้าคน -หนีการงาน -หนีความรับผิดชอบ ขืนเป็นอย่างนี้ อนาคตของเราคงจะไปไม่รอดแน่ๆ สู้เลย..! จะไปกลัวอะไร ถ้าครูสอนน่าเบื่อ เราก็เรียนให้มันน่าสนุกสิ ง่ายจะตายไป เรื่องอะไรจะหนีเรียนให้เสียชื่อ เราสู้วันนี้ วันหน้าสบายมาก เย.."

@ เป็นโรคใจง่ายเข้าใกล้คนหล่อ ๆทีไรหวั่นไหวทุกที
เวลาเข้าใกล้คนหล่อ ให้นึกถึงอะไรที่น่าเกลี๊ยด น่าเกลียดภายในตัวของเขาสิ เช่น ขนจมูกของเขา ขี้หูของเขา ขี้ตา... .. รังแค.... อึ ..(แหวะ) คิดอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายหวั่นไหวไปเอง ..ไม่เชื่อ ลองดูดิ

@ เพื่อนๆ ในห้องมีแฟนกันหมดแล้วมีเหลือแต่เรา "แหง่ว..ว" อยู่คนเดียว
คิดมุมกลับ.. " เพื่อนๆ ในห้องหาเรื่องไปร้อนรนทุรนทุรายกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่เย็นเป็นสุขอยู่คนเดียว เย..! "

@ อยากเที่ยวกลางคืนให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย
สุดเหวี่ยงจนลงเหวน่ะสิไม่ว่า เที่ยวกลางคืนเนี่ยปากทาง แห่งความเสื่อมเลยนะตัวเอง


ที่มา : narak.com

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (2)


@ คนชอบมาแซวเราว่า"น้องดำ ดอทคอม"
ผิวอย่างฉันเขาเรียกว่า "คมขำ" ย่ะ หนุ่มๆ ฝรั่งหลงใหลจะตายไป พวกนายคงโดนโฆษณาหลอกแล้วล่ะ"ฉันคือตัวฉัน" ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกหรอกนะ

@ เฮ้อ..! ไม่รู้จะทำอะไรดีเซ็ง..ง ระเบิด !
แอ็คทีฟเข้าไว้เพื่อน อย่าให้ความเซ็งเข้าครอบงำ ทำทุกอย่างด้วยความกระฉับกระเฉง หนึ่ง สอง..ๆๆๆ หาอะไรทำให้มันสนุก หนึ่ง สอง... ๆๆ

@ รู้สึกว่าตัวเองโง่โดนคนอื่นหลอกอยู่เรื่อย
นึกว่าตัวเองโง่ ยังดีกว่านึกว่าตัวเองฉลาด พระท่านว่าคนฉลาดคือคนที่รู้ตัวเองว่าโง่นะ (แต่อย่าเผลอไปโดนเขาหลอกอีกล่ะ อิ อิ) @ เพื่อนเห็นแก่ตัวกินไหนกินด้วยแต่ไม่เคยช่วยสักบาท เฮ้อ..นึกว่าช่วยชีวิตเพื่อนให้รอดไปได้สักมื้อก็แล้วกัน ได้บุญดีนะ (แหะๆ....แต่นาน ๆ เจอกันสักที ก็แล้วกัน)

@ กลุ้มใจจังไม่มีใครมาจีบ
"กลุ้มใจ" ไม่มีคนมาจีบ มันยังดีกว่า "ช้ำใจ" ที่โดนคนมาหลอก ถ้าอยากจะพบรักแท้ มันก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะเธอ

@ หน้าเป็นสิวไปไหนมาไหนอายเพื่อน
วัยรุ่นมีสิวน่ารักจะตายไป เออถ้าคนแก่มีสิวสิ ค่อยน่าอายหน่อย พวกบริษัทขายยาแก้สิวทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบโฆษณาทำร้ายจิตใจวัยรุ่นดีนัก ระวังตัวใว้ดีๆเหอะ ชาติหน้ากรรมสนอง ไปเกิดเป็น "ท้าวแสนปม" ไม่รู้ด้วย อิอิ

@ ทำตังค์ตกหาย 500 แง..!
ไม่เป็นไร..คิดเสียว่าเสียค่าหน่วยกิต วิชา "ละเอียดรอบคอบระมัดระวัง" ก็แล้วกัน นี่ถ้าชีวิตเรามีความรอบคอบมากขึ้น เพราะเงิน หายในคราวนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว

@ พ่อแม่ชอบเห็นเราเป็นเด็กตลอดชาติ
ถึงใครจะมองเราว่าเป็นเด็ก แต่เราก็จะเคารพตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา (เอ...ชักยากแฮะ หรือว่าจะยอมเป็นเด็กเหมือนเดิมดีกว่าม้าง...ง )

@ อิจฉาเพื่อนแฟนมันสวยอะ
มีแฟนสวยก็ยินดีด้วย แต่เราว่ามีแฟนนิสัยดีดูแลเอาใจใส่ดี แบบนี้สุดยอดกว่านะ

@ รักเธอแต่ว่าไม่กล้าเอ่ยปาก
อย่างนี้ต้องซ้อมบอกรักกับคนอื่นให้เกิดความเคยชินเสียก่อน พ่อคับ ผมรักคุณพ่อมากคับ .. แม่คับ ผมรักคุณแม่มากคับ .. ไอ้ตูบ ข้ารักเอ็งมากนะ .. เฮ้ย..เจ้าศักดิ์ เรารักนายจริงๆ ว่ะ .. ฯลฯ อิอิ.. ทีนี้พอพูดคล่องแล้วจึงค่อยไปบอกรักกะเธอ

@ ช่วยเพื่อนแทบตายแต่เพื่อนยังคิดร้ายกะเราอีก
เฮ้อ..คิดว่าช่วยเสือตกน้ำให้รอดตายสักตัวก็แล้วกัน เสือเนี่ยนะ ถึงเราช่วยมัน แต่ถ้าเราเข้าใกล้มัน มันก็กัดเราอยู่ดี คงต้องปล่อยเข้าป่าไป เจ้าเพื่อนคนนี้ก็เหมือนกัน ฉันช่วยแกแค่เอาบุญ แต่คราวหน้าคงไม่ช่วยแล้วล่ะ ปรับปรุงตัวเองให้นิสัยดีกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่

@ พอแฟนเจอคนที่รวยกว่าเธอบอกเลิกกับผมทันที
อย่างนี้เรียกว่า..โชคดีที่เลิกกัน จริงๆ นะ ..คนที่เห็นเงินทองสำคัญกว่าความรักอย่างเงี้ยะ ขืนได้แต่งงานด้วย รับรองว่าเจอปัญหาตลอดชีวิตแน่เราโชคดีแล้วล่ะ ที่แคล้วคลาดออกมาได้

@ เหงามากขอบอก มองรอบๆ ดู
.. อะไรต่ออะไรล้วนแต่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเราทั้งน้าน.น โต๊ะก็เพื่อนเรา เก้าอื้ก็เพื่อนเรา หน้าต่างก็เพื่อนเรา หนังสือก็เพื่อนเรา แก้วน้ำก็เพื่อนเรา ฯลฯ...(สามชั่วโมงผ่านไป) .....ฯลฯ หมาก็เพื่อนเรา ต้นหญ้าก็เพื่อนเรา ท่อระบายน้ำก็เพื่อนเรา ตู้ไปรษณีย์ก็เพื่อนเรา... ฯลฯ .... (ต่อไปอีกห้าชั่วโมง)..... ฯลฯ

@ เพื่อนกวนยียวนมากอยากชกสักที
โด่..คนกวนๆ แบบนี้ไปที่ไหนก็มีคนอยากชกกันทั้งนั้น เราจะต้องไปชกเองทำไมให้เจ็บมือ เดี๋ยวก็มีคนอื่นชกให้เองแหละ แต่ดูๆแล้วก็น่าสงสารนะ...โถ..! เกิดมาชาตินี้มีแต่คนอยากชก

@ อยากตัดใจจากคนรักค่ะทรมานใจมาก
อยากทำใจให้ไวสุดๆ ทุกครั้งที่นึกถึงเขาให้ทำอย่างนี้ดิ " หายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเขา(คนนั้น) หายใจออกยาว ๆ สลายภาพของเขาใหัหายไป " แล้วก็พูดในใจว่า "โอ้..! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ใช่ของเรา มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย " (จับฝึกกรรมฐานเสียเลย อิอิ )

@ พ่อบังคับผมจะให้สอบเอ็นฯติดให้ได้..เครียดมาก
โอเคครับ...ผมจะพยายามเพื่อพ่อ แต่ผมขอเวลาทำอะไรเพื่อตัวผมเองบ้างนะครับ อ้อ..! ถ้าเอ็นฯไม่ติด ก้อไม่ว่ากันนะครับ เพราะสุดฝีมือแล้ว แต่พ่อไม่ต้องห่วงอนาคตของผมหรอกครับ เพราะถึงผมจะเอ็นฯไม่ติด ผมได้เตรียมหนทางของผมไว้แล้ว รับรองไปได้สวยอย่างแน่นอนครับ

@ นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ฮ้าว..ว
(หาว) แล้วส่งกระแสจิตไปยังสัตว์โลกแบบนี้ดิ หนึ่ง.. ฉันรักแมว สอง..ฉันรักหมา สาม..ฉันรักยีราฟ สี่...ฉันรักหนอน ห้า...ฉันรักสิงโต หก...ฉันรักนก เจ็ด.. ฉันรักเม่น.... ฯลฯ ( ส่งความรักไปถึงสัตว์โลกอย่างนี้เรื่อยๆ สักร้อยตัว รับรองประเดี๋ยวก็..คร้อกก..ก)

@ เพื่อนรักต่อหน้าทำดีกับเราแต่ลับหลังเผาเราเซียะไม่มีดี
ไม่เป็นไร..เราให้อภัย เพราะนายเคยทำดีกะเราไว้เยอะ เอาเป็นว่าถ้านายเลิกนิสัยนี้ได้เมื่อไหร่ เราทั้งสองคน ค่อยมาคบกันใหม่นะ ...สวัสดี ( โห..! เลิกคบเลย )

@ ท้อใจอยากโดดตึก
ขืนโดดก็โง่ดิ .. โด่....ชีวิตนี้มันก็แค่แบบฝึกหัดเล่มใหญ่ ปัญหาผ่านมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมาแวะทักทายเราให้ลองแก้ไขดูเท่านั้นเอง แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอทางออก ยอมแพ้ได้ไง

@ เพื่อนชอบพูดข่มเราประจำ
คนมีปมด้อยมาก ๆ ก็อย่างนี้แหละ ชอบข่มคนอื่นให้ด้อย เพื่อตัวเองจะได้เด่น เราไม่ถือสานายหรอก เอาไว้นายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นายก็จะรู้เอง

@ เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆรู้สึกประหม่า ๆไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง
เวลายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ให้คิดอย่างนี้ดิ " ฉันคือราชสีห์ผู้สง่างาม ยืนอยู่ท่ามกลาง หมู่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ( ก็เพื่อน ๆ ไง ) นั่น ยีราฟ (คนสูง ๆ ) โน่น ฮิปโป้ (อิ อิ) นู่น เม่น (คนผมแข็ง ๆ) ฯลฯ " ..เดี๋ยวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเองแหละ

@ เกิดมาจน
โธ่ ! คนอย่างเรา เกิดมาจน ก็ได้เปรียบน่ะสิ เพราะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยลำแข้งของตัวเองจริง ๆ ชีวิตจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เกิดมาสบาย ๆ ตั้งแต่เด็ก แหม..ได้เปรียบแล้ว ยังมาทำบ่นอีก

@ เพื่อนจะขายตัวบอกว่าไม่เห็นจะหนักหัวใครเลย
ช่าย..ย ..เราก้อเห็นด้วยกับเธอนะ นั่นไง เจ้า HIV ยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย

@ เรา"นมเล็ก"อยากใหญ่กว่านี้ทำไงดีอะ
เล็กๆ กระทัดรัด น่ารักนะจะบอกให้ แล้วอีกอย่าง ธรรมชาติของผู้ชายเนี่ย เขาต้องการความอบอุ่น จาก "การดูแลเอาใจใส่" ต่างหาก ไม่ใช่จาก "หน้าอกใหญ่ ๆ "

@ เรียนหนังสือยังไงให้เป็นเลิศและไม่ให้เครียดครับ
คิดอย่างนี้ทุกวัน รับรองเป็นเลิศ"ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง ฉันจะขยันอย่างไม่หยุดหย่อน ฉันจะค้นคว้าด้วยความอยากรู้จริง ๆ และ...ฉันจะไม่แข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเอง "

ที่มา : narak.com

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (1)



@ เพื่อนนินทา
เพื่อนนินทาเรา แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉาอย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเองแทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ

@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส
ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ.. ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน

@ โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่
แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของแม่ต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก

@ ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย
ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้ เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋นให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น

@ เพื่อนหักหลัง
ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.

@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนายคงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา

@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)

@ วันหยุดการบ้านเพียบ
สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด

@ อกหักอีกแล้ว
ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ

@ รถติดหงุดหงิดๆ
นั่งสมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจเข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร

@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย
" เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง

@ เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี
โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ

@ เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์
..อายจัง โด่..หล่อจะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย...อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้

@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ
ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า

@ เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ
ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนักไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ)

@ ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B
เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา

@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว

@ ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน
เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข

ที่มา : narak.com

27 กรกฎาคม 2552

คนที่มีความสุขตลอดชีวิต

เก็บมาฝากค่ะ เห็นด้วยอย่างยิ่งทุกข้อเลยอะ


ที่มา : teenee.com

26 กรกฎาคม 2552

สุขใจจากคำ 'รัก' มีค่ามากกว่าแสน


เดลิเมล์ - การได้ยินคนบอกรักเป็นหนึ่งในเสี้ยววินาทีอันมีค่าของชีวิต ที่อาจคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้ที่ 163,424 ปอนด์ จำนวนดังกล่าวคำนวณมาจากการขอให้กลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน จัดลำดับ 50 เหตุการณ์ในชีวิต เช่น การมีลูก หรือการไปท่องเที่ยว และนำมาเปรียบเทียบกับความสุขจากการถูกล็อตเตอรี่

เบรนจุยเซอร์ บริษัทวิจัยตลาดเผยผลการสำรวจที่ระบุว่า
อันดับ 1 คือ การมีสุขภาพดีโดยผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่ามีค่าเท่ากับเงิน 181,105 ปอนด์
อันดับ 2 คือ การที่มีใครคนหนึ่งมาบอกว่า 'ฉัน (ผม) รักคุณ' มีค่าเท่ากับเงิน 163,424 ปอนด์
อันดับ 3 คือ ความสัมพันธ์ที่มั่นคงที่มีมูลค่า 154,849 ปอนด์
อันดับ 4 คือ การอยู่ในประเทศที่ปลอดภัยและสงบสุขถูกคำนวณออกมาเป็นตัวเงิน 129,448 ปอนด์
อันดับ 5 คือ การมีลูก 123,592 ปอนด์
อันดับ 6 คือ การหัวเราะเป็นประจำที่มีค่า 108,021 ปอนด์
อันดับ 7 คือ กิจกรรมใต้ผ้าห่มโดยมีค่า 105,210 ปอนด์
อันดับ 8 คือ การไปท่องเที่ยวมีค่าเท่ากับ 91,769 ปอนด์
อันดับ 9 คือ การอ่านหนังสือ 53,660 ปอนด์

สตีฟ เฮนรี ผู้เขียน 'ยู อาร์ เรียลลี ริช: ยู จัสต์ ดอนท์ โนว์ อิต' ที่มอบหมายให้เบรนจุยเซอร์ทำการสำรวจนี้ บอกว่าหนังสือของเขาเป็นเรื่องราวของระบบมูลค่าใหม่ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับระบบการเงิน "ผลลัพธ์โดยตรงจากวิกฤตสภาพคล่องก็คือ คนเราแสวงหาวิธีใช้ชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม และมองหาบางสิ่งที่จะมาแทนที่เงินในการใช้เป็นเกณฑ์การประเมินค่า"

เดวิด อัลเบิร์ตส์ นักเขียนร่วมของหนังสือดังกล่าวสำทับว่า "คุณอาจพบเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่รวยกว่านายแบงก์ ช่างประปาที่รวยกว่านักการเมือง "เราเริ่มมองสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างแท้จริงในชีวิตของผู้คน และพบว่าชีวิตมีอะไรมากมายกว่าการมัวกังวลกับการรัดเข็มขัดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย "คนพูดถึงเงินกันน้อยลง และหันไปให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกับครอบครัว ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ใช้เวลากับตัวเองเงียบๆ และไปสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนมากขึ้น"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

21 กรกฎาคม 2552

ข้อคิดดี ๆ เพื่อครอบครัว

** การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ**

1. ข้อสำคัญของการเลือกคู่ คือ เราไม่ได้เลือกใครเพราะเขาสมบูรณ์แบบ แต่เพราะเขามีจุดดีหลัก ๆ ที่เราประทับใจ ส่วนจุดอ่อนด้อยนั้นเป็นส่วนปลีกย่อยที่เราสามารถยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็น
2. ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์แบบ ถ้าเรามองไม่เห็นจุดอ่อนด้อยของเขาเลย นั่นแสดงว่า เรายังไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง หรือไม่ เราก็กำลังตกอยู่ในความหลงใหล ..จนไม่ลืมหูลืมตา

3. การแต่งงาน คือ การผูกพันกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพียงร่างกายและยิ่งไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เชิงธุรกิจ

4. คนที่แต่งงานเพราะความเหงา จะยิ่งเหงาหนักเป็น 2 เท่า แต่งงานแบบคลุมถุงชน ก็มีแนวโน้มว่า ชีวิตจะมืดมนไปอีกนาน

5. ความสุข ความทุกข์ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ชีวิตหลังแต่งงาน คิดให้ดีก่อนที่จะเลือกใคร มาเป็นคู่ชีวิต…

6. บ้านจะเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญ แต่ “ความรัก” ต้องใหญ่ที่สุดในบ้าน

7. คำว่า “รัก” พูดมากไป ย่อมดีกว่า พูดน้อยไป…

8. เมื่อเรา ทำผิด….จง “ขอโทษ” เมื่อเขา ทำผิด ….จง “ให้อภัย”

9. ชีวิตแต่งงาน คือ ชีวิตแห่งการปรับตัว ถ้าไม่คิดจะปรับตัวเข้าหาใคร อยู่เป็นโสดไป ก็ดีกว่า…

10. ยอมเป็นผู้แพ้ ดีกว่า เป็นผู้ชนะที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากชีวิตสมรสที่หักพัง…

11. “แก้ตัว” …. ช่วยอะไรไม่ได้ “แก้ไข” …….ช่วยได้ทุกอย่าง…

12. เมื่อมีปัญหาในครอบครัว อย่าลืมใช้ความรักและหลักเหตุผลเป็นกรรมการตัดสิน ไม่ใช้ อารมณ์ หรืออาวุธ..

13. งอนแต่พองาม…ก็งามดี แต่งอนเกินพอดี ก็เกินงาม…

14. ต่างคนต่างแข็ง ไม่มีใครยอมอ่อนข้อต่อกัน…บ้าน…ก็คงไม่ต่างอะไรกับสนามรบ

15. เมื่อสามีอ่อนแอ ไม่รับบทบาทผู้นำ ความสับสนวุ่นวาย ก็ตามมา หรือเมื่อภรรยา พยายามแย่งบทบาทการนำจากสามี ชีวิตครอบครัวก็รอดยาก

16. ความไม่ซื่อสัตย์ ต่อกันเพียงครั้งเดียว ก็อาจสั่นคลอนความไว้วางใจที่มีให้กันได้ ท้ายที่สุด ชีวิตคู่ก็จบลงด้วยความแตกร้าว ยากเยียวยา

17. ความเห็นแก่ตัว สนใจแต่ปัญหา อารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจของตัวเองชีวิตคู่ ก็อยู่ด้วยกันยาก
18. ก่อหนี้สินจนล้นพ้นตัว ครอบครัวก็มีแต่ความตึงเครียดทุกเช้าเย็น

19. เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายเรียกร้องและคาดหวังจากกันและกันมากเกินพอดี ปัญหาก็จะมีเรื่อยไป…ไม่สิ้นสุด

20. ควรตระหนักว่า…ภรรยา ไม่ใช่ผู้ปรนนิบัติรับใช้สามี แท้จริงแล้ว สามีภรรยา ควรเอาใจใส่ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุด…ย่อมดีกว่า

21. ไม่มีอะไร ทำให้ภรรยาปวดร้าวใจ มากเท่าการค้นพบว่า สามีมีหญิงอื่นในหัวใจ (กลับกันถ้าสามีพบว่าภรรยามีคนอื่นอยู่ในใจ สามีก็ปวดร้าวใจเช่นกัน)

22. รักเดียว …ใจเดียว ไม่ใช่เรื่องเชย แต่เป็นเรื่องดีที่สามีทุกคนในโลกควรกระทำ

23. การขอโทษภรรยาเมื่อทำผิด ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี แต่เป็นศักดิ์ศรีของสามี…ที่แท้จริง (ภรรยาก็ต้องรู้จักขอโทษสามีเช่นกัน ไม่มีคำว่าศักดิ์ศรีหรอกเมื่อคุนผิด)

24. ไม่ควรมองว่า งานดูแลบ้าน เป็นความรับผิดชอบของภรรยา สามีควรมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระอย่างสุดความสามารถเสมอ

25. สรีระรูปร่างหน้าตา ที่เปลี่ยนไปของภรรยา ไม่ควรเป็นเหตุให้ความรักในหัวใจของสามีจืดจางลงแม้แต่น้อย (สารีระของสามีก็เช่นกัน)

26. ควรระลึกอยู่เสมอว่า …การนำครอบครัวนั้น คือ การนำโดยเห็นผลประโยชน์ของครอบครัวเป็นหลักไม่ใช่ เพื่อความสุข ความพึงพอใจของตนเอง

27. ภรรยาที่ดี ควรสนับสนุนสามีให้ก้าวไกลในชีวิต ไม่ใช่ดึงรั้งให้หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลัง (สามีก็เช่นกัน ควรสนับสนุนภรรยาให้เจริก้าวหน้าในชีวิต ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน)

28. ภรรยาที่ดี ไม่ควรใช้วิธีการบับบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้สามีตัดสินใจตามความคิดของตน (สามีที่ดีก็เช่นกันอย่าไปบังคับ)

29. ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน สามี/ภรรยา ต้องการภรรยา/สามี ที่สงบนิ่ง ช่วยกันคิดหาทางออก ไม่ใช่ภรรยาที่เอาแต่โวยวาย ตีโพย ตีพายหรือร้องไห้ฟูมฟาย โดยปล่อยให้เขาต้องแบกภาระหนักอึ้งเพียงลำพัง

30. การไม่ตีลูก เพราะกลัวลูกเจ็บ เมื่อยังเป็นเด็ก กลับจะทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างปัญหา และถูกลงโทษ… จากสังคม (ตีได้ แต่ต้องมีเหตุผล คุยกับเค้าก่อนที่จะตีว่าเค้าผิดหรือไม่ บางครั้งการมองเห็นเหตุตอนปลาย อาจไม่ใช่บทสรุปก็ได้)

31. ช่องว่างระหว่างวัย…ระหว่างรุ่น…ย่อมไม่มี ถ้าพ่อแม่ตระหนักถึงความสำคัญ และใช้ความพยายามที่มากพอ วิธีที่ดีที่สุด คือ พ่อแม่ควรวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับลูก ไม่ใช่ตามแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว

32. พึงตระหนักว่า ลูกไม่ใช่ดินน้ำมัน ที่พ่อแม่ อยากจะปั้นให้เขาเป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เขาย่อมมีจิตใจที่มีเอกลักษณ์แห่งความชอบ ความสนใจที่แตกต่างไปจากพ่อแม่ได้เสมอ
ที่มา : fwd

20 กรกฎาคม 2552

สูตรแห่งความสุขแบบที่ 3(ทัศนคติ)

...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ

๒. จงหาอะไรดี ๆให้คนอื่นทุกวัน

๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ

๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า คนที่เราร่วมงานด้วย....get up, dress up and show up.

๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ....ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

ที่มา : fwd

สูตรแห่งความสุขแบบที่ 2 (บุคลิก)

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ
๑.อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น
คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒.อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้
แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓.อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้
...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก
เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ
....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖.จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗.ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ม ๆ
...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย
และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร
...จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น,
จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน
คุณมาเพื่อเรียนรู้และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓.จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔.คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก

ที่มา : fwd

18 กรกฎาคม 2552

รวมเด็ด เกร็ดชีวิต

^_^ ..

เกร็ดที่ 1 ... เจ็ดทะเลาะ
ทะเลาะกับเมีย เพลียที่สุด
ทะเลาะกับผัว ปวดหัวที่สุด
ทะเลาะกับแฟน แค้นใจที่สุด
ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน รำคาญที่สุด
ทะเลาะกับผู้ร่วมประชุม กลุ้มที่สุด
ทะเลาะกับลูกน้อง มัวหมองที่สุด
ทะเลาะกับนาย ฉิบหายที่สุด
เกร็ดที่ 2 ... ความสุขตามกาลเวลา

- อยากมีความสุข 3 ชั่วโมง ให้ตั้งวงดื่มเหล้า/เม้าท์
- อยากมีความสุข 3 วัน ให้ใส่เสื้อใหม่
- อยากมีความสุข 3 เดือน ให้มีแฟนใหม่
- อยากมีความสุข 3 ปี ให้ปลูกบ้านใหม่
- อยากมีความสุขตลอดไป *ให้รักษาสุขภาพ*

เกร็ดที่ 3 ... จงจำไว้

- ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด คือ *ตัวเราเอง*
- ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุด คือ *สุขภาพที่ดีทั้งใจและกาย*
- ของขวัญที่มีค่ามากที่สุด คือ *การให้อภัย*
- สิ่งที่น่าสังเวชมากที่สุด คือ *ความถดถอย*
- การกระทำที่โง่เขลาที่สุด คือ *การติดยาเสพติด*
- สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุด คือ *การหลอกตัวเอง*

เกร็ดที่ 4 ... โอวาท ท่านพุทธทาส *

"ก็ขัดแย้งกันบ้างในบางครั้ง ก็ชิงชังกันบ้างเป็นบางหนก็เจ็บปวดกันบ้างเป็นบางคน ต้องสู้ทนรู้รักสามัคคีด้วยไม่มีที่ใดไร้ปัญหา จึงอุตส่าห์ทนสู้อยู่ที่นี่ ต้องยึดถือคุณธรรมนำชีวี จึงต้องมีความจริงใจให้แก่กัน"

* เกร็ดที่ 5 ... การทำงาน (จาก ดร.ไชย ณ พล)

*คนโง่* ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆของงาน
*คนฉลาด* ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และ ได้เงินมาโดยง่าย
*คนเจ้าปัญญา* ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงแลมิตรมหาศาล ย่อมตามมาเสมอ

เกร็ดที่ 6 ... เตือนตน

ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด

ใครชู ใครเชิด ช่างเขา

ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา

ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

เกร็ดที่ 7 ... คาถา 3 ช

1. ชอบ - ทำให้เขาชอบก่อน รักเขาให้มากๆ/รักกันๆ

2. เชื่อ - เมื่อเขาชอบเรา เขาจะเชื่อเรา/ทำดีทำถูก

3. ช่วย - ช่วยเขาก่อนแล้ว เขาจะช่วยเราทำงาน หรือเมื่อเขาชอบเราเขาเชื่อเรา / เขาจะช่วยเราเองอัตโนมัติ

ทำงาน 20% ได้ผลงาน 80% ตามกฎพาเรโต

เกร็ดที่ 8 .. สันดานเดิมอันเป็นชั่วร้าย (พระพิพิธธรรมสุนทร)

เร็วก็หาว่าล้ำหน้า ช้าก็หาว่าอืดอาดโง่ก็ถูกตวาด

ที่มา : fwd

16 กรกฎาคม 2552

10 วิธีดูแลสมอง


เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปไกลมาก วิวัฒนาการใหม่ๆ เข้ามามีส่วนช่วยให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น แต่การที่คนเราสะดวกสบายมากขึ้น ก็ทำให้ใช้สมองน้อยลงและพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น แต่สมองนั้นเหมือนมีดที่ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งไม่ได้ใช้ยิ่งทื่อ สุขภาพกายฉบับนี้จึงมีวิธีดูแลสมองของเราให้พัฒนาอยู่ตลอดเวลามาฝากกัน

1. กินเพื่อสมองดี
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้งๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด

2. คิดเพื่อสมองดี
ลองสังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อๆ หรือเจอเรื่องแย่ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็ลืมมันซะ
3. พักผ่อนหันหาอากาศบริสุทธิ์
การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมากๆ และเรื่องราวความเครียดต่างๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบายๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง

4. เรียนรู้สิ่งใหม่
การพัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อยๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549)

5. เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด
การเขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย

6. ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้
เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดีๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย

7. หายใจช่วยให้สมองใส
การหายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้าๆ ลึกๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม

8. เข้านอนแต่หัวค่ำ
ภายในร่ายกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

9. นั่นสมาธิ จิตมีพลัง
การนั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุดๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์

10. เสริมวัตามิน กินไขมันดี
กินไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่นๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า
ขอขอบคุณ : Mix Magazine