แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เคล็ดลับง่ายๆ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เคล็ดลับง่ายๆ แสดงบทความทั้งหมด

10 พฤศจิกายน 2552

เทคนิคการทำข้อสอบ


1 ฝึกทำข้อสอบ

- ควรหาข้อสอบเก่าๆ ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี มาทดลองหาคำตอบจากสิ่งที่ได้เรียนและได้อ่านมาเพื่อจะได้เป็นการทดสอบว่าเรามีความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านมาหรือไม่ ฝึกเขียนเพื่อสร้างความชำนาญในการเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ การนำองค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาใช้ จะทำให้เมื่อพบข้อสอบจริงจะสามารถเชื่อมโยงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งจะทำให้ทราบว่าตัวเรายังบกพร่องตรงจุดไหนเพื่อจะได้ไปอ่านทบทวนให้มากขึ้น

2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบ

- ปากกาที่ใช้ควรเป็นสีเข้ม เช่น สีดำ ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ไม่ปวดตาเวลาที่เขียนข้อสอบนานๆและช่วยให้อาจารย์ตรวจข้อสอบของเราได้ง่ายขึ้น เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ตรวจข้อสอบในเวลากลางคืน ก็จะทำให้อาจารย์สบายตาเวลาตรวจ และหากอยากให้เขียนได้เร็วและชัดเจน อาจเลือกใช้ปากกาเจล และควรเลือกปากกาที่ตนเองมีความถนัด ไม่ใช่เลือกรูปแบบที่ไม่มีความถนัด เมื่อต้องเร่งเขียนข้อสอบอาจจะเขียนได้ไม่คล่อง- ไม่ควรใช้ Liquid paper เพราะจะทำให้เสียเวลามานั่งลบ มานั่งคอยให้แห้ง ซึ่งในความเป็นจริง หากมีการเขียนข้อความผิดควรใช้วิธีขีดฆ่าให้เป็นระเบียบ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว- อาจมี Template รูปเรขาคณิต เพื่อช่วยในการวาดรูป เขียน diagram จะทำให้ใช้เวลาน้อยลงส่วนไม้บรรทัดสามารถนำเอาไปใช้ในการเน้นหัวข้อต่างๆ ก็ได้ หรือใช้เป็นตัวช่วยในการขีดฆ่าข้อความที่ไม่ใช้แล้ว- ไม่ควรใช้ปากกาเน้นข้อความในกระดาษคำตอบ เพราะอาจจะทำให้อาจารย์ต้องใช้สายตามากขึ้น ถ้าอยากเน้นข้อความใดให้ใช้ปากกาสีแดงขีดเส้นใต้ก็พอแล้ว

3 ลักษณะข้อสอบ

- เป็นข้อสอบอัตนัย แยกของแต่ละอาจารย์ผู้สอน (ถ้ามีอาจารย์ 3 ท่านจะมี 3 ส่วน แต่ถ้ามี 4 ท่าน ก็อาจจะออกทั้ง 4 ท่านหรือออกเพียง 3 ท่าน) จำนวนข้อสอบต่ออาจารย์หนึ่งท่านไม่มีกฎตายตัวว่าจะมีข้อสอบกี่ข้อ อาจารย์หนึ่งท่านอาจมีข้อสอบข้อย่อย 1-2 ข้อ และในข้อย่อยจะมีหลายคำถามต้องอ่านโจทย์และคำสั่งให้ดี- ข้อสอบส่วนใหญ่เป็นการทดสอบความสามารถในเชิงวิเคราะห์ คือ นำองค์ความรู้มาใช้ในการตอบโจทย์ มีบางครั้งเท่านั้นที่อาจารย์จะถามตรงๆ และให้ตอบตรงๆ (ต้องการแต่เนื้อ ไม่ต้องการน้ำ)

4 สมุดคำตอบ

- สมุดคำตอบจะมีลักษณะเป็นเล่ม เล่มหนึ่งมีจำนวน 8 หน้า ปกจะมี 3 สี คือ เขียว ชมพู และเหลือง โดยแต่ละอาจารย์จะกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้สีอะไรสำหรับการเขียนคำตอบ ต้องระวังการเขียนคำตอบสลับอาจารย์ เพราะจะทำให้เสียเวลามากๆ ในการแก้ไข

5 การเขียนคำตอบ

- ควรเขียนด้วยตัวหนังสือให้มีขนาดใหญ่ เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่ใช้เวลากลางคืนในการตรวจข้อสอบ จะช่วยให้อาจารย์อ่านได้สะดวก หากลายมืออ่านยากควรเขียนบรรทัดเว้นบรรทัด เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้น

6 วิธีการทำข้อสอบ

- เมื่อเข้าห้องสอบควรรีบอ่านโจทย์ของแต่ละอาจารย์แล้วคิดว่าจะใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) อะไรมาตอบ รีบจดสิ่งที่คิดว่าจะนำมาใช้ในการตอบลงไปในข้อสอบก่อน เพื่อที่ว่าเวลาที่เขียนคำตอบจะได้เชื่อมโยงได้เร็ว ไม่ต้องเสียเวลาคิด ควรยอมเสียเวลาประมาณ 15 นาทีในการระลึกถึงองค์ความรู้ทั้งหมดที่จะนำมาใช้ในการตอบ เพราะเมื่อเริ่มลงมือเขียนจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคิดทบทวนอีก) โดยควรกำหนดโครงเรื่องไว้ว่าจะตอบอย่างไร เริ่มต้นจากอะไร จบลงด้วยอะไรประเด็นใดควรเป็นประเด็นหลัก ประเด็นรอง

- ควรเลือกทำข้อสอบข้อที่คิดว่าทำได้มากที่สุดก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และข้อสอบข้อที่ทำได้มากที่สุดก็จะได้เป็นตัวช่วยให้ได้คะแนนดี

- ในการอ่านโจทย์ต้องแตกประเด็นให้ได้ว่า ในโจทย์นั้นมีทั้งหมดกี่คำถาม เขียนหมายเลขกำกับไว้ทุกคำถามเพื่อกันลืม และต้องตอบให้ครบทุกประเด็นคำถาม เช่น ถ้าถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ก็ต้องมีคำตอบว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร ทำไม (ต้องตอบให้ครบทุกประเด็นที่ถาม)

- วางแผนการใช้เวลาให้เหมาะสม เพราะในการสอบจะกำหนดเวลาไว้ 3 ชั่วโมง คือระหว่างเวลา18.00 – 21.00 น. ดังนั้น ควรใช้เวลาของแต่ละอาจารย์ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาแล้วควรเปลี่ยนไปทำของอาจารย์ท่านอื่น อย่าใช้เวลากับข้อสอบข้อใดข้อหนึ่งนานเกินไป เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการทำข้อสอบข้ออื่นๆ หากมีเวลาเหลือค่อยกลับมาทบทวนหรือเพิ่มเติมหรือทำข้อที่ค้างไว้เพื่อให้คำตอบนั้นสมบูรณ์ขึ้น และหาจ ุดบกพร่องที่ควรแก้ไข

- ต้องใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาเป็นหลักในการตอบทุกครั้ง โดยในการตอบข้อสอบทุกข้อ ต้องเริ่มด้วยองค์ความรู้ ทฤษฎี นักคิด ต่างๆ ก่อน แล้วจึงนำองค์ความรู้นั้นมาประกอบกับการตอบโจทย์

- ในการตอบข้อสอบทุกครั้งจะต้องยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย เพื่อให้คำตอบนั้นมีความชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้อาจารย์เห็นว่าเรามีความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่การท่องมาตอบแบบนกแก้วนกขุนทอง

- เมื่อตอบข้อสอบในทุกประเด็นครบแล้ว ตอนจบสุดท้ายควรมีสรุป คือ การสรุปจากประเด็นที่เขียนมาทั้งหมดให้เป็นแบบย่อๆ อีกครั้ง- ถ้าข้อสอบให้มีการอภิปรายถามความเห็น และจำเป็นต้องใช้คำเรียกแทนตัว ผู้ชายควรใช้ว่า“กระผม” หรือ “ผม” ส่วนผู้หญิงควรใช้ว่า “ดิฉัน” ไม่ควรใช้ว่า “ข้าพเจ้า” เพราะอาจารย์จะไม่ทราบว่าผู้ตอบข้อสอบเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

- ควรทำข้อสอบทุกข้อแม้ว่าจะมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไม่มาก ควรพยายามเขียน เพราะการเขียนยังมีโอกาสให้อาจารย์ให้คะแนนบ้าง ถ้าไม่เขียนอะไรเลยอาจารย์ก็ไม่ทราบว่าจะให้คะแนนตรงไหน

- จำนวนหน้าไม่มีผลกับคะแนน การเขียนหลายเล่มแต่มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ไม่มีองค์ความรู้ก็ไม่ได้ทำให้ได้คะแนนดี ความสำคัญอยู่ที่องค์ความรู้ที่เอามาใช้ และต้องตอบให้ครบทุกประเด็น มีเกริ่นนำตอบครบ ยกตัวอย่าง มีข้อเสนอแนะ และสรุป โดยควรเขียนให้กระชับ ไม่วกวน มีเวลาไปทำของอาจารย์ท่านอื่น

7 คำแนะนำทั่วไป

- ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลาพอสมควร เพื่อลดความวิตกกังวล และให้สมองได้ผ่อนคลาย

- ควรฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่คุมสอบอย่างตั้งใจ เพราะผู้คุมสอบจะให้ข้อมูลว่าสมุดเล่มใดเป็นของอาจารย์ท่านใด (จะแยกแยะโดยใช้สีสมุด ดังนั้น ห้ามตอบสลับเล่มกันโดยเด็ดขาด) มีข้อสอบทั้งหมดกี่หน้า มีทั้งหมดกี่ข้อ ทำทุกข้อหรือให้เลือกทำ

- เน้นกลุ่มเป้าหมาย ในระหว่างการเรียนควรจับทิศทางให้ได้ว่า อาจารย์แต่ละท่านชอบแนวทางใด สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ หรือเป็นนักวิชาการด้านใด การตอบในแนวทางที่อาจารย์สนใจ ให้ความสำคัญจะช่วยให้ได้คะแนนดี ไม่นิยมการท่องจำ หนังสือที่จัดให้อ่านมีกี่เล่มต้องอ่าน เพราะอาจนำเนื้อหาจากหนังสือที่ให้อ่านมาถามทั้งๆ ที่ไม่ได้สอนในห้องเรียน

19 ตุลาคม 2552

เพิ่มเนื้อที่ความจำให้สมอง


1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมอง ประกอบด้วยน้ำ 85 % เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ทำงานอยู่กับบ้าน

2. กินไขมันดี คน ไม่ค่อยรู้ว่าสมอง คือ ก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลัง จากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การ ตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรม เราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริง กับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่าง จึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุก ครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่ง ใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงาน และเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมอง ใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอา ออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%

ที่มา ladinaclub

08 ตุลาคม 2552

ความสุขกับเงิน


คุณทราบหรือไม่ว่า คน ๓ กลุ่มต่อไปนี้ ได้แก่

เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ มีอะไรบ้างที่เหมือนกันหรือเท่ากัน ?

ก)อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด

ข)สัดส่วนการมีโทรศัพท์มือถือต่อประชากร ๑,๐๐๐ คน

ค)อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนน

ง)ความสุข

ถ้าคุณตอบข้อ ก)-ค) คุณก็ตอบผิดแล้ว คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ ง)

จากการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว พบว่าคนทั้ง ๓ กลุ่มข้างต้นมีความสุขกับชีวิตคิดเป็นคะแนนเท่ากัน คือ ๕.๘ (จากคะแนนเต็ม ๗) โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗

ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว

การค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า ความร่ำรวยมิใช่ปัจจัยหลักของความสุข จริงอยู่คนเราจะมีความสุขก็ต้องมีเงินหรือทรัพย์สมบัติ อย่างน้อยก็ต้องเกินระดับความยากจน ถ้ายังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น ก็ยากจะมีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้คนเร่ร่อนไร้บ้านในแคลิฟอร์เนียกับคนเร่ร่อนในกัลกัตตาจึงมีความ สุขแค่ ๒.๙ นั่นคือมีความสุขเพียงครึ่งเดียวของเศรษฐีอเมริกัน มองในแง่นี้ก็เห็นได้ไม่ยากว่า คนรวยมีความสุขมากกว่าคนจน

แต่เมื่อมีเงินหรือทรัพย์สมบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย คนอเมริกันและคนญี่ปุ่นมีรายได้สูงขึ้นและมีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วหลายเท่าตัว แต่น่าสังเกตว่าอัตราส่วนของคนที่บอกว่า “มีความสุขมาก” ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

ทำไมมีเงินมากขึ้นจึงไม่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น? เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เราชินชากับความร่ำรวยหรือสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วมาก วันแรกที่คุณได้รถคันใหม่ที่ขับนิ่มกว่าเดิมหรูหรากว่าเดิม แน่นอนคุณย่อมมีความสุข แต่เมื่อผ่านไปสัก ๓ เดือนหรือครึ่งปี คุณก็จะรู้สึกเฉย ๆ กับรถคันนั้นแล้ว พูดอีกอย่างหนึ่ง ความสุขที่เคยเพิ่มขึ้นได้ลดมาสู่ระดับเดิมก่อนที่จะได้รถคันนั้น

คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว ถ้าให้ถูกจริง ๆ น่าจะพูดว่า “เงินเช่าความสุขได้” อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

มีความสุขอีกมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินเลย และสามารถอยู่ได้ยั่งยืนกว่า เช่น ความสุขท่ามกลางครอบครัวอันอบอุ่น ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตร ความสุขจากการชื่นชมธรรมชาติ ความสุขจากการเอื้อเฟื้อผู้อื่น รวมถึงความสุขจากการทำสมาธิภาวนาชาวอามิช ชาวอินุยต์ และชาวมาไซ อาจไม่มีโอกาสเสพสุขจากวัตถุได้มากเท่าเศรษฐีอเมริกัน แต่สิ่งที่ให้ความสุขแก่พวกเขาอย่างมากมายคือ สัมพันธภาพอันงดงามทั้งกับผู้อื่นและกับธรรมชาติ รวมทั้ง

ความสุขจากใจที่สงบเย็นความสุขจากเงินนั้นมีเสน่ห์ตรงที่เข้าถึงได้ง่าย แต่อะไรที่ได้มาง่ายนั้นไม่ค่อยยั่งยืน (ลองนึกถึงความสุขจากเซ็กส์และยาเสพติดเป็นตัวอย่าง) แต่ความสุขจากสัมพันธภาพและความสุขจากจิตใจอันสงบนั้น แม้จะเข้าถึงยาก แต่อยู่ได้ยั่งยืนกว่าอย่างไรก็ตามมีวิธีหนึ่งที่เงินสามารถให้ความสุขอย่างรวดเร็วและยั่งยืน (อย่างน้อยก็นานกว่าการเที่ยวห้าง) นั่นคือ บริจาคเงินให้แก่คนจนหรือผู้ทุกข์ยาก รอยยิ้มของเขาสามารถทำให้คุณอิ่มเอิบไปได้นานทีเดียว
ที่มา : teenee.com

22 กันยายน 2552

วิธีสร้างสุขแบบสาวโสด


วิธีสร้างความสุข แบบสาวโสดสาวคนไหนที่กำลังโสด มาสร้างความสุขให้ตัวเองกันดีกว่า วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาฝาก...

1. ถึงเวลาแล้วที่จะมีเวลาเพิ่มความสำเร็จให้กับชีวิต ด้วยการทุ่มเทหัวใจทั้งหมดไปกับการทำงาน ความโสดจะทำให้มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความรักบางครั้งก็ทำให้ไขว้เขวและหดหู่ การไม่มีภาระทางใจจะทำให้เราสนุกไปกับการทำงานได้อย่างสบายๆ

2. หันมามองครอบครัวได้อย่างเต็มตา ถึงเวลาที่จะมีเวลาทำกิจกรรมกับคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง และหลานๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วงว่าวันหยุดนี้ หวานใจจะพาไปไหน ครอบครัวก็ไม่ต้องเหงาเพราะคิดถึงคุณอีกต่อไป ความสุขแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

3. ได้เวลาสนุกให้สุดๆ กันเสียที สำหรับปาร์ตี้สุดสนุกกับเพื่อนๆ ก๊วนเดิมที่ห่างหายไปเสียนาน เวลาแห่งความสุดเหวี่ยงของชีวิตกลับมาอีกครั้ง ช่วงนี้จะสามารถกิน เที่ยว ได้อย่างอิสระเชียว

4. เวลาคุณภาพที่ดีที่สุดคือ การให้เวลากับตัวเองด้วยกิจกรรมดีๆ มากมาย ทั้งการดูแลร่างกายและหัวใจ อย่างการไปเข้าสปา ทำสมาธิ หรือจะดูหนังรัก 3 เรื่องติดต่อกันก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องสนใจเสียงบ่นของใครอีกเลย

5. ถึงเวลาอัพเดทสมองกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปเฉยๆ เมื่อต้องอยู่คนเดียว นั่นคือความรู้จากสื่อที่อยู่รอบตัว ควรหาเวลาเหมาะๆ ตั้งหลักหาความรู้ใส่สมองเสียหน่อยจะดีที่สุด จำไว้ว่า ผู้หญิงสวยก็ควรมีความฉลาดควบคู่ไปด้วย

6. ลองสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นดูบ้าง ความสุขที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากการให้ เพียงแค่ใส่ใจกับกิจกรรมเพื่อสังคมที่พบเห็นอยู่ทั่วไปบ้าง แล้วการให้จะทำให้อิ่มใจจนลืมไม่ลงสาวคนไหนโสดอยู่ ก็อย่าลืมหาความสุขให้กับตัวเองกันดูได้
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์

12 กันยายน 2552

ขอกอดทีกับคนที่เรารักครั้งหนึ่งในชีวิต...‏




เขียนโดย ไพลิน ถาวรวิจิตร และ GTH Team

เคยสังเกตไหม... เวลาคุณ *"กอด" *ใคร คุณมักซบไปทางด้านซ้ายของอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะนั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจ

หากคุณ *"กอด"* เขาไว้นานเพียงพอ จังหวะการเต้นของหัวใจ 2 ดวง ก็จะเปลี่ยนเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุด
*"กอด"* คือเสื้อกันหนาวที่มีหัวใจ ?
*Hugging* is a jacket which has a heart.


ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะทำได้แทบทุกอย่าง แต่ข้อเสียของมันก็คือ ลุกขึ้นมา *"กอด"* คุณไม่ได้
Although a computer can do almost everything but certainly, it cannot give you *?a hug?*.

ถ้าวันหนึ่งไม่มีเธอให้ *"กอด"* แล้วฉันจะโทษใครได้ ?
If one day you are not here to *hug*, who else should I blame?

*"กอด"* คือ การแสดงความเป็นเจ้าของที่น่ารัก ?
*Hugging* is a cute expression between lovers.



แม้ชีวิตนี้คุณจะมีใครให้ *"กอด"* แม้เพียงคนเดียว นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิต ?
Even though you?ve got only one person in your life to *hug*, that?s enough.


*"กอด"* คือ การได้ให้และการได้รับพร้อม ๆ กัน ?
*Hugging* is at the same time, the giving and receiving.

ในอนาคต *"กอด"* อาจหายากพอ ๆ กับเวลา ?
In the near future, *?hug?* might be as hard to find as ?time?.

*"กอด"* ทำให้รู้ว่าเมื่อหัวใจอีกดวงมาเต้นอยู่ที่อกด้านขวาบ้างจะเป็นไง ?
*Hugging* displays that ?there will be a heart beat of others which keeps beating while you hug?

เมื่อคุณถูก *"กอด"* คุณจะตัวเล็กลง ?

When you are being *hugged*, you will be smaller.


แต่เมื่อคุณ *"กอด"* คนอื่น คุณจะตัวใหญ่ขึ้น ?
BUT When you *hug* someone, you will be bigger.

*"กอด"* คือคำว่า "ฉันอยู่นี่" ?
*Hugging* is ? I am here?.


*"กอด"* ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก ?
*Hugging* displays that we are not alone in the planet.

ภาษาพูดแทนความรู้สึกได้ดี แต่สำหรับบางเวลา *"กอด"* อาจเป็นตัวช่วยที่ดีกว่า ?
Speaking is the good way of feeling communication but sometime *?hug?* might be a better assistance.



*"กอด"* คือ การแลกเปลี่ยน "ความลับทางอารมณ์" ระหว่างกัน ?
*Hugging* is the exchange of two people?s secret feelings and emotions.

*"กอด"* ช่วยสลายทิฐิบางอย่างในใจเรา ?
*?Hugging?* disintegrates some conviction in our minds.

บางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าเราต้องการ *"กอด"* มากแค่ไหน จนกว่าจะได้เห็นคนอื่นเค้ากอดกัน ?
Sometime you may not realize to *hug* someone, once you observe it from others.

*"กอด"* คือ ทางสายกลางของการแสดงออกซึ่งความรัก ?
*Hugging* is a mind average of expression.

*"กอด"* คือ การเต้นรำในจังหวะเดียวกัน ?
*Hugging* is the some rhythm of heart beating.

*"กอด"* ทำให้รู้ว่ายังมีคนอ้วนกว่าเรา ?
*Hugging* defines that ?there will be someone who has more weight than you?.

วันนี้คุณกอดใครแล้วหรือยัง ?

09 กันยายน 2552

ข้อคิดดี ๆ มาแบ่งปัน

1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด

2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ

3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”

6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ

7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)

9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง

12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ

16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม

18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์

19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์

23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น

26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

ที่มา : fwd

22 สิงหาคม 2552

สารพัดวิธีมองโลกแง่ดี (1)



@ เพื่อนนินทา
เพื่อนนินทาเรา แสดงว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่าง จนเพื่อนมันอิจฉาอย่างนี้เราน่าจะภูมิใจตัวเองแทนที่จะไปโกรธเพื่อนคนนั้น พูดง่ายๆ เขาไม่มีจุดเด่นเหมือนเราเขาจึงนินทาว่างั้นเหอะ

@ ส่งยิ้มให้เธอแล้ว ไม่แยแส
ยังดี..นะเนี่ย ที่เธอไม่ด่ากลับมา นี่แสดงว่าเธอยังมีน้ำใจดีอยู่บ้างโอ.. ซาบซึ้งเหลือเกิน ถึงเราจะแห้ว..แต่เราก็ยังประทับใจในความดีของหล่อน

@ โดนแม่ด่าแต่เช้าตรู่
แม่ด่าเรา แสดงว่าแม่ยังรักและห่วงใยเราอยู่ โห..ซาบซึ้งมากเลย อีกอย่างหนึ่งในคำด่าของแม่ต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนไว้แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ด่าซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ อย่างนี้หรอก

@ ครูสอนไม่รู้เรื่องเลย
ท้าทายมาก ..ท้าทายมาก นี่หมายความว่าคุณครูกำลังท้าทายเรา ว่าถ้าข้าสอนห่วยๆ แบบนี้ เอ็งจะรู้เรื่องหรือเปล่า อย่างนี้ยอมไม่ได้..เราต้องขวนขวายเอาเอง เพื่อพิสูจน์กึ๋นให้คุณครูรู้ว่าเรานี้ก็ไม่เบาเหมือนกาน..น

@ เพื่อนหักหลัง
ไม่เป็นไร..ขอกันกินมากกว่านี้ แต่น่าสงสารนายนะ เพราะนิสัยของนาย คงจะทำให้นายต้องเสียเพื่อนไปหมดทุกคนในไม่ช้า เพราะคงไม่มีใครหรอกที่จะไว้ใจคนที่หักหลังเพื่อน.

@ เพื่อนล้อว่าเสี่ยว
โห..! ตัวเรานี่มีอะไรดีๆ เยอะแยะ แต่พวกนายกลับมองไม่เห็นคุณค่าสงสัยว่าการมองโลกของพวกนายคงจะมีปัญหาแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ.ที่นายคงหมดโอกาสจะได้คบกับคนดี ๆ อย่างเรา

@ เช็คเมล์เจอแต่จดหมายขยะชวนดูรูปโป๊
ทดสอบ ๆ ทดสอบพลังจิต ถ้าเราลบเมล์พวกนี้ทิ้ง แสดงว่าจิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าเปิดดู ก็อ่อนแอ (เผลอ ๆ โดนหลอกให้เปิดไวรัสอีกต่างหาก อิอิ)

@ วันหยุดการบ้านเพียบ
สบายมาก..คุณครูกำลังท้าทายความสามารถของเรา(อีกแล้ว) เรารู้ทันหรอกน่า การบ้านเยอะอย่างนี้เราก็ว่าดีนะ เพราะได้ฝึก ตัวเองให้เป็นคนสู้งานหนัก ถ้าเราสู้ไม่ถอยในวันนี้ อนาคตไปโลด

@ อกหักอีกแล้ว
ไม่เป็นไร ได้เรียนรู้ชีวิต นี่ป็นการพิสูจน์สัจจธรรมอีกครั้งว่า รักแท้คือแม่เรา ว่าแต่ตัวเราเอง คอยปรับปรุงตัวเองให้ดีๆ เหอะ ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวก็มีคนมาชอบเราเองแหละ

@ รถติดหงุดหงิดๆ
นั่งสมาธิมันเสียเลย จิตใจสว่างไสว เรียนหนังสือจะได้จำแม่น ง่ายจะตาย หลับตาหายใจเข้าออกลึก ๆ นับ 1 2 3 4 5 ดูลมหายใจเข้าออกเพลิน ๆ ไม่ต้องไปรอคอยอะไร

@ โห..ใช้เงินเพลินหมดเรียบเลย
" เงินหมด ก็อดอย่างเสือ" ดีสิ..จะได้ฝึกนิสัยอดทนสักระยะ ยังมีคนอื่นที่ทุกข์มากกว่าเราเยอะแยะ ทุกข์ของเรามันแค่เรื่องขี้ผง

@ เพื่อนมีมือถือ แต่เราไม่มี
โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มี มือถือเนี่ยตัวดูดเงินเลย วัยรุ่นบางคน เมาท์จนล้มละลาย อย่าเห่อไปตามกระแสหน่อยเลย ชีวิตนี้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะมือถือหรอกนะ

@ เราหน้าตี๋ กลม ๆ เหมือนดวงจันทร์
..อายจัง โด่..หล่อจะตาย สมัยก่อนนู้น เขาคลั่งไคล้มาก ขนาดที่เมืองจีน เวลาปั้นพระพุทธรูป เขายังปั้นให้หน้าอูม ๆ เลย จริงอยู่สมัยนี้เขานิยมคนหน้าตาแบบลูกครึ่งฝรั่ง แต่อีกหน่อยก็เลิกฮิต เชื่อเหอะ ไม่แน่นะ ในอนาคตแฟชั่นหน้าตี๋อาจจะกลับมานิยมอีกก็ด้าย...อ้อ ! อีกอย่างสมัยนี้ สาว ๆ ที่ฉลาด เขาชอบคนดีมากกว่าคนหล่อ นะจะบอกให้

@ ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบเราง่ะ
ธรรมดาเลย.. ปิ๊งใครง่าย ๆ มันก็ต้องกิน"แห้ว"ประจำ ที่จริงชีวิตของเรานั้นมีคุณค่ามากนะ จะปล่อยให้เรื่องเล็กๆ แค่นี้มาทำให้ชีวิตของเราไร้ค่าได้อย่างไร ทำตัวเองให้มีค่า ดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ มาชอบเราเองหรอกน้า..า

@ เฮ้อ ! แฟนดูรูปโป๊ประจำ
ดูเข้าไปเลย..เห็นพระท่านว่าพวกผู้ชายที่ชอบดูรูปโป๊มาก ๆ ชาติหน้าพวกนี้จะไปเกิดเป็นผู้หญิงกันหมด เพราะจิตใจฝักใฝ่แต่รูปร่างผู้หญิง ดีสม..! ชอบเอา เปรียบกันนักไปเกิดเป็นผู้หญิงเองเสียบ้าง จะได้รู้สึก (เขาเรียกว่าไป "ที่ชอบๆ" ฮิ ฮิ)

@ ผิดหวังผลสอบดูหนังสือแทบตายได้แค่ เกรด B
เรียนแล้วได้วิชาความรู้ มันก็เหมือนทำงานแล้วได้เงินเดือน การได้เกรด A ก็คล้ายๆ กับว่าเราได้โบนัส ทีนี้ถึงเราจะไม่ได้โบนัส มันก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ก้อเราได้เงินเดือนแล้วนี่นา

@ เข้าคิวซื้อตั๋วหนังอยู่ดีๆเพื่อนเล่นแซงคิวหน้าตาเฉย
โถ.. ! น่าสงสาร ยอมเสียนิสัย เพื่อแลกกับตั๋วหนังเพียงใบเดียว

@ ข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังหนวกหูทั้งวัน
เสียงภายนอกดังสนั่น แต่เสียงภายในเงียบสนิท ถึงเสียงวิทยุจะดังปานใด แต่ใจฉันก็ไม่เคยหงุดหงิด ฉันยังคงทำงานของฉันไปอย่างมีความสุข

ที่มา : narak.com

16 สิงหาคม 2552

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี



ความสุขเป็นสิ่งดีที่ใครๆ ก็อยากได้ แม้จะรู้ว่ามักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ถ้าเราไม่ฝึกจิตใจ ฝึกให้มีนิสัยให้มีความสุขอย่างแท้จริง ความสุขก็หลุดล่องลอยไปจากตัวเราได้ง่าย

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี เป็นความสุขในแนวนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้อย่างหนึ่งมนุษย์ทั่วไปมักจะมองโลก ชีวิตตัวเอง และคนอื่นเป็น 3 แบบ คือ
มองโลกในแง่ดี หรือบวก (+)
มองโลกในแง่ไม่ดี หรือ (-)
และมองโลกในแง่กลางๆ หรือ ศูนย์ (0)

มีรายงานว่าคนที่คิดแบบบวกหรือมองโลกในแง่ดี จะมีความสุขมากกว่าอีก 2 ชนิด เพราะในช่วงที่คิดแบบบวกนั้นจะมีการหลั่งสารของความสุขออกมาทำให้เกิดความหวังในชีวิตเสมอ มีกำลังใจ มองตัวเองและคนอื่นแบบมีค่าและมีศักดิ์ศรี มีมิตรเพิ่มขึ้น เข้ากับผู้คนได้ง่าย ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ และสามารถแก้ไขอุปสรรคในชีวิตและการทำงานได้ดี รับความจริงได้ง่าย ขอโทษเป็น มีอารมณ์ขันได้ ไม่กังวลใจหรือสงสัยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และรู้จักทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้ด้วย

สิ่งดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ทำให้มีความสุขทั้งนั้น

คนที่มองโลกในด้านดีมักมีจิตใต้สำนึกที่ดี เคยได้รับความรักและความสนใจจากครอบครัวมาก่อน หรือเป็นเพราะเห็นแบบอย่างและประโยชน์จาการมองโลกในด้านดีจากสิ่งแวดล้อมหรือครอบครัวมาก่อน หรือเป็นเพราะมีการฝึกจิตใจให้มองโลกในด้านดีเสมอมา

อาจมีคำถามว่าถ้าเรามองโลกในด้านดี แล้วเชื่อคนอื่นได้ง่ายๆ มิเสียรู้คนบ่อยๆ หรือ

ก็ชอบตอบว่า คนมองโลกในด้านดีก็มีสติและปัญญา รู้จักเลือกว่าควรจะปล่อยใจให้เชื่อคนแต่ละคนได้ต่างกัน รู้จักวางตัวและถอยตัวเป็นเมื่อพบคนไม่ดีหรือสิ่งไม่ดีจริงๆ เขาไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้ชักจูงได้ง่าย หรือแม้จะเสียรู้บ้างก็ไม่เสียใจมากนัก พร้อมจะรับไว้เป็นบทเรียน และยังมองโลกในแง่ดีอีกต่อไป เพราะรู้ว่าประโยชน์มีมากกว่าโทษ

ในการบรรยายนั้นได้สอนวิธีพัฒนาความคิดจาก (-) ให้เป็น (+) ในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อจะได้มองโลกในแง่ดี จากนั้นเราจะรู้จักรักตัวเองเป็นมากขึ้น อยากทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองเช่น การออกกำลังกาย การสร้างความสัมพันธ์ดีๆ กับเพื่อนมากขึ้น ได้สอนวิธีให้ความรัก ถนอมความรัก วิธีการให้อภัยตนเองและคนอื่น รวมทั้งวิธีลดความเครียด มองข้ามความหยุมหยิม ไม่ทำตัวน่าเบื่อจำเจ รู้จักลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ซาบซึ้งความดีของตนเองและคนอื่น รู้จักยิ้มและมีความสุขได้แม้ในยามที่ลำบากหรือไม่มีความสุข

ประโยชน์ของการฝึกนิสัยให้มองโลกในแง่ดีนั้นมีมากมาย เป็นการเปิดประตูให้เป็นมิตรกับตัวเองและคนอื่นได้มากขึ้น และทำให้ชีวิตมีพลังของการคิดในแนวบวก ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่มี

อ่านถึงตรงนี้แล้วนึกอยากฝึกตัวเองให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้นไหมเล่า อย่าบอกว่าฝึกไม่ได้ หรือมันยากเกินไป เพราะนั้นเป็นการเริ่มต้นวิธีคิดแบบคนมองโลกในแง่ไม่ดีต่างหาก

อย่าคิดอย่างนั้นเลย...^^

ที่มา : teenee.com

06 สิงหาคม 2552

ศาสตร์แห่งรัก

ศาสตร์แห่งรัก
พบกับ 12 วิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณได้พบคู่ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
โดย เมแกน เกรสเนอร์


ต่อไปนี้คือ 12 วิธีที่พิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพบคู่รักที่เหมาะเจาะที่สุดสำหรับคุณ (ใช่แล้ว นักวิชาการได้รับการว่าจ้างให้ทำการวิจัยศึกษาเรื่องความดึงดูดใจระหว่างคนสองคน หรือที่เราเรียกกันว่าความรัก) การค้นพบ นี้ลบล้างความเชื่อแบบนิยายรักหวานชื่นที่เคยมีมา ตั้งแต่เรื่องแรงดึงดูดของคนที่ตรงข้ามกัน หรือที่ว่ายิ่งห่างก็ยิ่งรัก ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ความเชื่ออื่นๆที่น่าจะเป็นจริงด้วย

คู่กันย่อมคล้ายคลึง
มองหาคนที่คล้ายคุณมากที่สุด เพราะเป็นไปได้ว่าเขาหรือเธอก็กำลังมองหาคุณเหมือนกัน เรานิยมคู่ที่มีภูมิหลังคล้ายๆกัน มีความสนใจคล้ายกัน มีค่านิยมความเชื่อคล้ายกัน เพราะสิ่งนั้นจะพิสูจน์มาตรฐานของตัวเราด้วย ยิ่งกว่านั้น ธรรมชาติจะดึงเราไปหาคู่ที่หน้าตาคล้ายเรา เซอร์ฟรานซิส กัลทัน นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญสนใจปรากฏการณ์นี้ตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว และนับแต่นั้นมา มีผลการวิจัยมากมายยืนยันเรื่องความคล้ายกันระหว่างคู่รักหลายคู่


ใกล้ตัวใกล้ใจ
ลืมเรื่องรักทางไกลไปได้เลย นี่คือกฎเหล็กอีกข้อ วางตัวให้อยู่ใกล้บุคคลที่เป็นเป้าหมายรักของเราเข้าไว้ ไม่ว่าเป็นโต๊ะทำงานที่ใกล้กัน หรือบ้านซอยถัดไปก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้พบกันอยู่เรื่อยๆ นี่จะช่วยได้มาก เพราะยิ่งเราเจอเขาบ่อยขึ้นเท่าไร เราก็จะชอบเขามากขึ้นเท่านั้น (นอกเสียจากว่าเราจะไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรก ในกรณีนี้ผลอาจเป็นตรงกันข้าม) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรามักจะลงเอยกับเพื่อนร่วมงานหรือหนุ่มสาวข้างบ้าน


เผยใจให้รู้แจ้ง
เลิกทำตัวเข้มแข็งและเงียบเฉยไปเลย เพราะ ดร. อาเทอร์ แอรอน นักจิตวิทยาสังคม บอกว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์นั้นคือการแค่ได้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังสนใจคุณอยู่ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดีต่อตัวเองจนเผื่อแผ่ออกมาเป็นความรู้สึกดีๆต่ออีกฝ่ายด้วย เราจะให้ความอบอุ่นต่อคนที่ชื่นชมเรา ดังนั้น การที่รักใครแต่กลับเก็บงำความรู้สึกไว้อย่างนิยายน้ำเน่าจึงไม่ค่อยได้ผลในชีวิตจริง


ดวงตามันฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่นักรักมักจะพูดถูกก็คือ สิ่งที่เราเรียกว่า "รักแรกพบ" อาจมีอยู่จริง กล่าวคือ ถ้าคู่ไหนมองตากันนานเท่าไรเวลาพบกัน คู่นั้นก็จะยิ่งชอบคนที่ตัวเองมองมากขึ้น ถ้าคุณมีรูม่านตาที่เปิดกว้างก็ยิ่งเป็นข้อดี เพราะนั่นคืออวัยวะที่ดึงดูดใจมากที่สุด ผลวิจัยโดยเอกคาร์ด เฮสส์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า เมื่อให้กลุ่มทดสอบดูรูปเพศตรงข้ามสองภาพซึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างยกเว้นขนาดม่านตา รูปคนที่มีรูม่านตาใหญ่กว่าหรือพูดง่ายๆว่าตาโตได้รับเลือกให้เป็นรูปที่มีเสน่ห์มากกว่าถึงสองเท่า แม้กลุ่มทดสอบจะดูเรื่องขนาดม่านตาไม่ออกเลย รูม่านตาที่ขยายกว้างคือสัญญาณของความตื่นเต้นเร้าใจที่รุนแรง


ภาษากาย
ไม่รู้จะใช้มายาเล่มเกวียนไหนแล้วใช่ไหม ลองกลับมาดูที่ภาษากายดีกว่า นี่คือรูปแบบของการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด แต่เข้าใจกันได้ทั้งสองเพศ ภาษากายที่เห็นได้ชัดที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ แค่จ้องตาอีกฝ่ายและยิ้ม จากนั้นก็จะมีท่าทาง "แต่งองค์ทรงเครื่อง" อย่างเช่น เล่นผมตัวเอง เป็นต้น
ตามคำบอกเล่าของอัลลัน พีซ ผู้เขียนหนังสือ ยอดคู่มือภาษากาย (The Definitive Guide to Body Language) กล่าวว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์ผู้ชายได้ดีก็คือท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามของผู้หญิง ซึ่งรวมถึงการเผยให้เห็นจุดอ่อนไหวในร่างกาย เช่น ข้อมือหรือช่วงคอ รวมทั้งท่านั่งไขว้ขา สังเกตได้จากท่วงท่าเด็ดของเจ้าหญิงไดอานาผู้ทรงเสน่ห์ก็คือท่านั่งไขว้ขาและสอดเท้าของขาบนไว้ใต้น่องล่าง)


ส่วนผู้ชายก็จะทำให้ตัวเองดูเด่นขึ้นจากการนั่งแผ่กินที่และอ้าขาทั้งสองออกกว้างเผยให้เห็น "หว่างขา" โดยที่นิ้วหัวแม่มือสอดไว้ในกระเป๋า และนิ้วชี้ชี้ไปที่อวัยวะเพศของตัวเอง (ท่านี้ใช้ได้สำหรับไมเคิล แจ็กสันอยู่พักใหญ่)


แต่งตัวสวยสะ
ลืมที่แม่เคยสอนไว้เรื่องความงามจากภายในได้เลย เกือบทุกคนบนโลกจะมองว่าคนที่ดูดี ฉลาด เซ็กซี จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ดูธรรมดาๆ
ตามมุมมองของนักทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม เราให้คุณค่าต่อคุณลักษณะบางอย่างที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสืบทอดเผ่าพันธุ์ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมชายถึงชอบหญิงที่อายุน้อยกว่า มีผมยาวเป็นเงางาม และมีขนาดสะโพกใหญ่กว่าเอวประมาณหนึ่งในสาม (ทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความเยาว์วัย สุขภาพ และความสมบูรณ์พร้อมของร่างกายที่จะมีลูก) ส่วนหญิงจะชอบผู้ชายที่สูงกว่าอายุมากกว่า เพราะพวกเขามีแนวโน้มจะมีทุกอย่างพร้อมที่เอื้อต่อการมีลูก


เลือกคำพูด
ความแตกต่างทางเพศที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนถึงการใช้คำในการโฆษณาหาคู่ด้วย ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าโฆษณาหาคู่ของผู้หญิงจะเน้นเรื่องรูปโฉม แต่ของผู้ชายจะเน้นเรื่องทรัพย์ และหญิงที่อายุมากหน่อยก็ยอมรับว่าได้รับการตอบรับน้อยกว่า ขณะชายที่อายุมากกลับตรงกันข้าม
แต่คุณผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆและชายผู้ไร้สมบัติทั้งหลายอย่างเพิ่งท้อใจ เพราะยังมีคำคำหนึ่งที่เหมาะจะใส่ลงไปในโฆษณาหาคู่ทุกรูปแบบคือคำว่า "อบอุ่น" คนที่ได้รับการกล่าวถึงว่าอบอุ่นนั้น เชื่อกันว่าเป็นคนที่มีความสุข เข้าสังคมได้ดี ฉลาด และเป็นที่ชื่นชอบ


เลี่ยงการเปรียบเทียบ
ถ้าถืองานวิจัยของซารา กูตีเรส และดักลาส เคนริกจากภาควิชาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนาเป็นเกณฑ์ ก็กล่าวได้ว่าเราชอบเอาคู่เราไปเปรียบกับมาตรฐานที่ค่อนข้างสูง นักวิจัยขอให้ผู้ชายให้คะแนนรูปโฉมของคู่นัดตัวเองหลังดูภาพหน้ากลางของนิตยสารเพลย์บอย หรือดูรายการโทรทัศน์ที่มีดาราสาวสวย เดาได้ไม่ยากว่าคะแนนของบรรดาคู่นัดหลังดูภาพและรายการจะต่ำกว่าเดิม
เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าผลกระทบจากสิ่งตรงกันข้าม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อการรับรู้ในความแตกต่างที่สัมพันธ์กันจะถูกบิดเบือนไปตามลำดับของสิ่งที่เราพบเห็น อย่างเช่น ถ้าคุณมองวัตถุสีทึบชิ้นหนึ่งหลังมองวัตถุสีสว่าง วัตถุสีทึบก็จะดูทึบกว่าเมื่อมองครั้งแรกโดยไม่เปรียบเทียบกับสิ่งอื่น



รักลิงโลด
ในฉากสุดท้ายของหนังปี 2537 เรื่อง Speed แซนดรา บูลล็อกบอกเคียนู รีฟส์ว่า "ฉันได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐาน มาจากประสบการณ์น่าตื่นเต้นที่มีร่วมกันนั้นจะไปไม่รอด" ซึ่งเขาก็ตอบว่า "งั้นเราคงต้องเริ่มจากเซ็กซ์เสียแล้ว" แต่ความจริงนั้นก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองประโยค เพราะประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจะนำไปสู่ความดึงดูดทางเพศ ยิ่งถูกปลุกเร้าจากอะไรก็ตาม ตั้งแต่จากความกลัวไปถึงความสุขที่เรามีร่วมกันกับคนที่เราคาดหมายไว้ เราก็รู้สึกว่าเขายิ่งน่าดึงดูดใจมากขึ้น จากผลการศึกษาของซินดี เมสทันและเพนนี ฟลอริก นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเมื่อขอให้กลุ่มทดสอบให้คะแนนเพศตรงข้ามก่อนและหลังการเล่นรถไฟเหาะด้วยกัน ผลกระทบจากสิ่งที่เราเรียกว่าการถ่ายโอนความตื่นเต้นนี้คือ ไม่ว่าหัวใจเราจะลิงโลดโดดเต้นจากเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราโยงกับคนที่เราร่วมประสบการณ์ด้วย เราก็จะรู้สึกติดใจเขาหรือเธอคนนั้น


ชื่อก็บอกอะไรได้
อัลเบิร์ต เมราเบียนจากภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ค้นพบว่าชื่อบางชื่อสามารถเชื่อมโยงกับคุณลักษณะในทางลบและถูกมองว่าเป็นชื่อที่มีศีลธรรมน้อยกว่า เป็นที่ชื่นชอบน้อยกว่า และประสบความสำเร็จน้อยกว่า และถ้าคุณมีชื่อแรกเหมือนคนมีชื่อเสียง คนอาจมองว่าคุณมีบางอย่างเหมือนคนเหล่านั้น นับเป็นข่าวร้ายของคนที่ชื่อ อะดอล์ฟ หรือโมนิกา


ฤทธิ์เบียร์
อ็อกเดน แนช นักกวี กล่าวว่า "น้ำตาลนั้นหวานกล่อมลิ้น แต่สุรากินแล้วใจแตกซ่าน" ผลวิจัยแสดงว่าคนโสดที่ไปหาคู่ในผับบาร์จะจู้จี้น้อยลงเมื่อใกล้เวลาบาร์ปิด การค้นพบนี้เรียกกันว่า "ฤทธิ์เบียร์พรางตา"
ผู้ค้นพบนี้คือศาสตราจารย์เจมี เพนนีเบเคอร์แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ซึ่งตัด- สินใจจะทดสอบเนื้อหาของเพลงลูกทุ่งที่ร้องว่า "ผู้หญิงสวยขึ้นเมื่อบาร์ใกล้ปิด" เขาขอให้ลูกค้าในบาร์ให้คะแนนเพศตรงข้าม ที่เป็นเป้าหมายสามครั้งในหนึ่งคืน (คือช่วง 21.00 น. 22.30 น. และเที่ยงคืน) แน่นอน ทั้งสองเพศดูดีที่สุดตอนเที่ยงคืน ไม่ได้หมายความว่าคุณเมาจนตาลาย แต่ยิ่งเวลาในการหาคู่เหลือน้อยลงเท่าไร ใครก็ตามที่อยู่รอบๆตัวก็จะเริ่มดูดีขึ้น



มีความสุขร่วมกัน
ยิ่งเรารู้สึกดีเท่าไร เราก็จะชอบคนที่เราอยู่ด้วยมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าคู่นัดของคุณอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่หัวค่ำก็ต้องช่วยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ไม่งั้นคุณอาจไม่มีหวัง ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรับผิดชอบกับทุกความสุขหรือทุกข์ของเขา แต่คุณควรจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งจะช่วย ห่อหุ้มคุณด้วยกลิ่นไอดีๆจากสถานที่นั้น นี่คือเหตุผลที่คุณควรพิถีพิถันในการเลือกสถานที่ซึ่งจะพาคู่นัดไป อย่าพาไปในที่เคร่งเครียด อย่างคลินิกฟัน หรือแดนสงคราม เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน ซึ่งจะพานติดตัวคุณตลอดไปในสายตาของอีกฝ่าย


...คราวนี้ก็ระดมทุกกลเม็ด
ถ้าคุณอยากจะได้แอ้มก็ต้องพาคู่นัดไปเล่นกระโดดบันจี แน่ใจได้เลยว่าต้องเร้าใจสุดๆ แล้วไปดูหนังที่นักแสดงหน้าตาน่าเกลียด ก่อนจะจบค่ำคืนที่บาร์แสงสลัว แม้ฤทธิ์เบียร์พรางตาจะยังไม่ทำงาน แต่ความมืดก็น่าจะช่วยขยายรูม่านตาและเพิ่มโอกาสให้คุณได้


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.readersdigest.co.th/

28 กรกฎาคม 2552

เวลาคุณภาพ...



พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่าทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบกิจการงานต่าง ๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน

กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน

กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ

กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว

กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม

แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะหลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมองถึงบุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???

มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน พร้อมกับคิดว่าการกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วแต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเป็น ที่สุดทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับ งานโดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใดแม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลา เบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้

ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลาให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงินตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า ...ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอกเพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้ เหมาะสมเท่านั้น

8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต

8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่ การงานและอุปสรรคในวันพรุ่งนี้

5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ

2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง

59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคมและ

1 นาทีของคุณที่มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น

จงอย่ากล่าวว่า ' ไม่มีเวลา... 'เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน

ไม่มีใครมีเวลามากและไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจกมีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษ เสี้ยวของวินาที

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า ' ไม่มีเวลา 'จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า ' ไม่มีเวลา 'เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลามนุษย์
ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิตจึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงาน อย่างเดียวแต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จ ในชีวิตต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัววันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทางมิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต

นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก ' ใช้เวลา 'แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า' ไม่มีเวลา ' อีกหรือ? จงเปลี่ยนความคิดของคุณตั้งแต่บัดนี้

27 กรกฎาคม 2552

คนที่มีความสุขตลอดชีวิต

เก็บมาฝากค่ะ เห็นด้วยอย่างยิ่งทุกข้อเลยอะ


ที่มา : teenee.com

18 กรกฎาคม 2552

รวมเด็ด เกร็ดชีวิต

^_^ ..

เกร็ดที่ 1 ... เจ็ดทะเลาะ
ทะเลาะกับเมีย เพลียที่สุด
ทะเลาะกับผัว ปวดหัวที่สุด
ทะเลาะกับแฟน แค้นใจที่สุด
ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน รำคาญที่สุด
ทะเลาะกับผู้ร่วมประชุม กลุ้มที่สุด
ทะเลาะกับลูกน้อง มัวหมองที่สุด
ทะเลาะกับนาย ฉิบหายที่สุด
เกร็ดที่ 2 ... ความสุขตามกาลเวลา

- อยากมีความสุข 3 ชั่วโมง ให้ตั้งวงดื่มเหล้า/เม้าท์
- อยากมีความสุข 3 วัน ให้ใส่เสื้อใหม่
- อยากมีความสุข 3 เดือน ให้มีแฟนใหม่
- อยากมีความสุข 3 ปี ให้ปลูกบ้านใหม่
- อยากมีความสุขตลอดไป *ให้รักษาสุขภาพ*

เกร็ดที่ 3 ... จงจำไว้

- ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด คือ *ตัวเราเอง*
- ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุด คือ *สุขภาพที่ดีทั้งใจและกาย*
- ของขวัญที่มีค่ามากที่สุด คือ *การให้อภัย*
- สิ่งที่น่าสังเวชมากที่สุด คือ *ความถดถอย*
- การกระทำที่โง่เขลาที่สุด คือ *การติดยาเสพติด*
- สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุด คือ *การหลอกตัวเอง*

เกร็ดที่ 4 ... โอวาท ท่านพุทธทาส *

"ก็ขัดแย้งกันบ้างในบางครั้ง ก็ชิงชังกันบ้างเป็นบางหนก็เจ็บปวดกันบ้างเป็นบางคน ต้องสู้ทนรู้รักสามัคคีด้วยไม่มีที่ใดไร้ปัญหา จึงอุตส่าห์ทนสู้อยู่ที่นี่ ต้องยึดถือคุณธรรมนำชีวี จึงต้องมีความจริงใจให้แก่กัน"

* เกร็ดที่ 5 ... การทำงาน (จาก ดร.ไชย ณ พล)

*คนโง่* ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆของงาน
*คนฉลาด* ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และ ได้เงินมาโดยง่าย
*คนเจ้าปัญญา* ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงแลมิตรมหาศาล ย่อมตามมาเสมอ

เกร็ดที่ 6 ... เตือนตน

ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด

ใครชู ใครเชิด ช่างเขา

ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา

ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

เกร็ดที่ 7 ... คาถา 3 ช

1. ชอบ - ทำให้เขาชอบก่อน รักเขาให้มากๆ/รักกันๆ

2. เชื่อ - เมื่อเขาชอบเรา เขาจะเชื่อเรา/ทำดีทำถูก

3. ช่วย - ช่วยเขาก่อนแล้ว เขาจะช่วยเราทำงาน หรือเมื่อเขาชอบเราเขาเชื่อเรา / เขาจะช่วยเราเองอัตโนมัติ

ทำงาน 20% ได้ผลงาน 80% ตามกฎพาเรโต

เกร็ดที่ 8 .. สันดานเดิมอันเป็นชั่วร้าย (พระพิพิธธรรมสุนทร)

เร็วก็หาว่าล้ำหน้า ช้าก็หาว่าอืดอาดโง่ก็ถูกตวาด

ที่มา : fwd

13 กรกฎาคม 2552

สร้างสุขง่าย ๆ สไตล์ "หนูดี"


งานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด “อัจฉริยะสร้างสุข” ของ หนูดี-วนิษา เรซ เจ้าของหนังสือขายดีหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น อัจฉริยะสร้างได้ อัจฉริยะเรียนสนุก ฯลฯ บอกว่า ผลงานจากห้องวิจัยเกี่ยวกับความสุขและความสำเร็จในชีวิตยืนยันว่า การมีความสุขเป็นเรื่องที่สร้างได้ ทดลองได้ พิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แถมความสุขนั้นยังเป็นเรื่องที่มีผลต่อความสำเร็จระยะยาวของชีวิตโดยตรงอีกด้วย

ภายในงานหนูดีได้มาบอกเคล็ดลับที่จะช่วยทำให้คุณเกิดความสุขได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวัน แต่ถ้าทำได้ความสุขก็จะอยู่กับเราอย่างถาวร

1.คนที่มีความสุขเป็นพิเศษในสังคม
หนูดีเล่าให้ฟังว่า มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง คือ ดร.เซลิกแมน และดร.ไดเนอร์ ได้ไปสัมภาษณ์และสังเกตอย่างใกล้ชิดกับคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่จัดการชีวิตได้ดีมาก และมีความสุขมากเป็นพิเศษ และพบว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากคนทั่วไป นอกจากวิธีการตีความปัญหาและวิธีการพลิกฟื้นเยียวยา สำหรับวิธีการตีความปัญหานั้น อย่างเช่น เมื่อคนกลุ่มนี้ถูกโกงขึ้นมา เขาจะไม่ฟูมฟาย แต่จะมองว่าเราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนเวลาในการพลิกฟื้นเยียวยานั้น กลุ่มนี้จะมีเวลาพลิกฟื้นเยียวยาตัวเองที่เร็วกว่าคนทั่วไป อย่างเช่น คนปกติเวลาเกิดเรื่องเสียใจ อาจจะต้องใช้เวลาการพลิกฟื้นเยียวยาสัก 3 เดือน แต่คนกลุ่มนี้จะใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น และศึกษาคนกลุ่มนี้แล้วนำมาปฏิบัติตาม ซึ่งถ้าเกิดปฏิบัติตามนี้ได้ก็มีแนวโน้มว่าเราก็จะมีความสุขได้เช่นกัน

2.สุข ทุกข์ อยู่ที่สมอง
หลายคนบอกว่า สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ แต่สำหรับหนูดีแล้วเธอบอกว่า สิ่งที่ได้ศึกษามานั้นบอกว่าคนเราสุข ทุกข์ อยู่ที่สมอง คนเรามีหน่วยบัญชาการอารมณ์อยู่ในสมองของเรา ซึ่งเรียกส่วนนี้ว่า ลิมบิก ซิสเต็ม (Limbic System) เพราะฉะนั้นทุกอารมณ์ที่คนเรารู้สึกตั้งแต่เด็ก สุข ทุกข์ ดีใจ เศร้า เสียใจ สมหวัง ผิดหวัง อยู่ที่สมอง และสมองเป็นตัวบงการหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็ว ช้า ตามอารมณ์ เพราะฉะนั้นถ้าแต่ละคนดูแลสมองให้ดี หัวใจก็จะดูแลตัวเองได้ดีเช่นกัน

3.ภารกิจลับสุดยอดของสมอง
หลายคนอาจจะคิดว่าภารกิจสำคัญของสมองก็คือการ คิด คิด และคิด แต่หนูดีกลับบอกว่า ภารกิจสำคัญและลับสุดยอดของสมองที่สำคัญที่สุด คือ การเอาตัวรอด เอาชีวิตรอด ให้นานที่สุด ในสถานการณ์ที่หลากหลายที่สุด เพราะถ้าเราเสียชีวิตสมองจะไม่เหลือคุณค่าใดๆ นอกจากส่วนประกอบอย่างไขมัน น้ำ และโปรตีนเท่านั้น เพราะฉะนั้นสมองจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อทำให้มีเรามีชีวิตรอดให้นานที่สุดนั่นเอง

4.ความทุกข์เป็นสิ่งจำเป็น
ความทุกข์เป็นกลไกที่จำเป็นของสมองในการที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดได้นานที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ หนูดี บอกว่า
“บางเรื่องเราอยากจะจำกลับลืม แต่บางเรื่องที่เราอยากจะลืมก็กลับจำได้ ถ้าเราสังเกตเรื่องที่เราอยากจำมักจะเป็นข้อมูลการเรียน การสอบ แต่กลับจำไม่ได้ แต่เรื่องที่เราอยากลืม เช่น อกหัก เสียใจ มักจะไม่ค่อยลืม แต่กลไกทางสมองไม่ได้ปล่อยให้เราลืมเรื่องที่เป็นความทุกข์ได้ง่ายขนาดนั้น

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ถ้าเกิดสิ่งที่เจ็บปวดขึ้นกับเราขึ้นมาสักครั้ง สมองจะเก็บเข้าไปในไฟล์เลยว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อันตราย ไม่ควรเข้าใกล้อีก ไม่ใช่เพราะสมองต้องการทำร้ายเรา แต่เป็นเพราะสมองต้องการจำให้แม่น เพื่อไม่ให้เราต้องเดินเข้าไปหาสิ่งนั้นอีก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่คุณกำลังมีความทุกข์ นั่นก็คือสมองกำลังบอกรักคุณอยู่ เพราะอยากให้คุณมีชีวิตที่ดี มีชีวิตรอด ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ได้เราจะไม่โกรธตัวเอง ไม่ตื่นเต้นตกใจเลยเวลาที่เรามีความทุกข์ เพราะเราจะรู้ว่านี่คือกลไกทางธรรมชาติที่จะปกป้องเรา”

5.ความทุกข์ช่วยประหยัดพลังงาน
หลายครั้งที่เราเกิดความทุกข์ เกิดความล้มเหลวในการทำงาน จนอยากจะนอนอยู่เฉยๆ ไม่อยากลุกจากเตียงไปไหน ไม่อยากเจอใคร พูดกับใคร ซึ่งเรื่องนี้ หนูดีบอกว่าเป็นวิธีการของสมองที่จะตัดระบบจ่ายพลังงานของเราทั้งหมด เพื่อไม่ให้เราออกไปพบเจอกับเหตุการณ์นั้นอีก ทำให้คุณรู้สึกไม่มีแรง ไม่อยากออกไปไหน

“เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ทันวิธีการของสมองก็จะทำให้เราอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ออกไปไหน อยู่จนความคิดตกตะกอน และเมื่อรู้สึกว่าความคิดนิ่งพอแล้วก็พร้อมที่จะออกมาเผชิญกับสังคมและปัญหาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร นักวิจัยจะแนะนำว่าให้เราหากิจกรรมที่เป็นขั้นเป็นตอนทำ แต่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป เช่น ทำความสะอาดบ้าน ออกไปช็อปปิ้งของเข้าบ้านมาทำอาหารสัก 2-3 วัน จนรู้สึกว่าใจพร้อมค่อยออกไปทำงานต่างๆ ที่คั่งค้างเอาไว้ต่อ แต่ถ้าคนไหนที่รู้สึกว่ามีความทุกข์แล้วพักจนพอแล้วสามารถเข้าทำงานที่ค้างได้ต่อเลย เพราะจะเป็นการบำบัดเยียวยาที่ดีที่สุด”

6.วิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสมอง
อย่างที่รู้ว่าภารกิจหลักของสมองของคนเรานั้นคือการเอาตัวรอด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์กลัวและโกรธ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสมองของตัวเอง ไม่ทำงานที่เครียดเกินไป ไม่อยู่ในภาวะที่กลัวหรือโกรธเกินไป ทำได้ง่ายๆ เช่น การวางแผนเส้นทางก่อนจะออกเดินทางไปไหน และถ้าเราสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้ ความฉลาดก็เป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัว

“เวลาที่เราเครียดฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งออกมาจากร่างกายและเป็นฮอร์โมนที่อันตราย และถ้าหลั่งออกมาเป็นระยะเวลานานก็จะยิ่งเป็นอันตราย เพราะในสมองของเรามีอวัยวะเล็กๆ ที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส ที่ช่วยบันทึกความจำ และในช่วงที่คนเรานอนหลับ อวัยวะส่วนนี้จะทำหน้าที่ย้ายความทรงจำระยะสั้นไปสู่ความทรงจำระยะยาว แต่ถ้าคืนไหนที่นอนน้อย หรือนอนไม่หลับ การย้ายก็จะไม่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ

และถ้าฮอร์โมนคอร์ติซอลในสมองหลั่งออกมาเยอะก็จะไปทำลายสมอง และจะไปทำลายฮิปโปแคมปัสด้วย เพราะฉะนั้นคนที่มีความเครียดระยะยาวความจำจึงมักไม่ค่อยดี เพราะส่วนที่บันทึกความจำถูกทำลาย

วิธีที่จะช่วยฟื้นฟูสมองก็คือ การออกกำลังกายด้วยวิธีอะไรก็ได้ที่เทียบเท่ากับการเดินเร็ว สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที และมีงานวิจัยออกมาว่าถ้าออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องจะสามารถสร้างเซลล์ใหม่ในฮิปโปแคมปัสได้ด้วย เพราะจะมีออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองได้เยอะมาก และเมื่อความทุกข์ทำลายสมองได้ ความสุขก็สามารถบำรุงสมองได้ เพราะเมื่อคนเรามีความสุขจะมีสารเคมีที่เป็นประโยชน์กับสมองหลั่งออกมามากมาย อย่างเช่น เอนดอร์ฟิน

7.หัวเราะ บำบัดโรคซึมเศร้า
การหัวเราะเป็นเรื่องที่มีการวิจัยและการรองรับค่อนข้างมากว่ามีประโยชน์ เพราะทุกครั้งที่คนเราหัวเราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา นอกจากนั้นหลังจากที่ได้หัวเราะออกไป คนเรามักจะรู้สึกว่ามีความพร้อมเรียนรู้มากกว่าก่อนที่จะหัวเราะเสียอีก

“มีเคสหนึ่งที่ตัวคุณหมอเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นมา และรู้ว่ายาที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้านั้นอันตรายมาก จึงจัดยาให้ตัวเองด้วยการหัวเราะทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมงก่อนนอน โดยไม่กินยาเลยแม้แต่เม็ดเดียว ซึ่งปรากฏว่าผ่านไปประมาณ 6 เดือน สามารถบำบัดโรคซึมเศร้าได้อย่างหายขาด เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามหัวเราะให้ได้ทุกวัน”

เหล่านี้คือวิธีง่ายๆ (ส่วนหนึ่ง) ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญช่วยสร้างความสุขให้กับเราได้... ไม่มากก็น้อย แต่ก็เรียกว่า สุข (นะ)

ที่มา: โพสต์ทูเดย์

12 กรกฎาคม 2552

22 Tips ในการใช้งาน computer


1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น

2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น

3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ

4. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย

5. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop

6. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก

7. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว

8. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter

9. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar

10. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้

11. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น

12. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu

13. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก

14. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น

15. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send

14. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้

15. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน

16. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา

17. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ

18. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete

19. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา

20. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้

21. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ

22.ลบไฟล์ขยะ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า c:\WINDOWS\Prefetch แล้ว enter ไอ้ที่ขึ้นๆมา


ที่มา : http://piconets.exteen.com/category/Article

11 กรกฎาคม 2552

เคล็ดลับในการใช้ประกันสังคมให้คุ้ม


จากกระทู้สวนลุมพินีใน pantip น่าสนใจมากเลยเก็บมาฝากค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8067388/L8067388.html

ผมมีความเชื่อว่า หลาย ๆ คนในบอร์ดนี้อยู่ในระบบประกันสังคมครับ ซึ่งแต่ละเดือนนั้น จะต้องถูกหัก 5% ของรายได้ (ไม่เกิน 15,000 บาท) พูดง่าย ๆ ก็คือ
ถ้ามีเงินเดือนตั้
งแต่ 15,000 บาท ขึ้นไป ก็จะถูกหักเดือนละ 750 บาทครับ หรือปีละ 9,000 บาท
แม้ว่าขณะนี้จะมีการปรับลดเงินสมทบลงเหลือ 3% ตั้งแต่เดือน ก.ค. - ธ.ค. 52 แต่ 3% = 450 บาทต่อเดือน หรือปีละ 5,400 บาท

ซึ่งวงเงิน 5,400 บาท หรือ 9,000 บาทต่อปี นั้นเป็นเงินที่สูงมาก ๆ ครับ ซึ่งเราไปซื้อประกันจากบริษัทประกันต่าง ๆ ได้เลยครับ หลาย ๆ คนที่เคยใช้ประกันสังคม มักจะบ่น ๆ ๆ ๆ ว่าบริการไม่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ผมมีเคล็ดลับในการใช้ประกันสังคม ในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของการรักษาพยาบาล และ
ดูแลรักษาสุขภาพ ดังนี้ครับ

เรา รู้หรือเปล่าครับ เวลาที่เราเลือกโรงพยาบาลประกันสังคม ตามบัตรรับรองสิทธินั้น โรงพยาบาลที่เราเลือกจะได้รับเงินเหมารายหัวจากประกันสังคม หัวละ 1,938 บาทต่อปีครับ

ดังนั้นถ้าเราเลือกโรงพยาบาลเอกชน ที่มุ่งแสวงหากำไร เพราะเป็นธุรกิจนั่นหมายความว่า ถ้าเราไม่มารักษา
เลยในปีนั้น หรือมีจิตใจที่มุ่งมั่นว่าจะไม่ใช้ประกันสังคมเด็ดขาดนั้น จะเท่ากับว่าโรงพยาบาลนั้นจะได้รับเงินกินเปล่า 1,938 บาท ต่อปีทันทีครับ แต่ถ้าเกิดเราไปใช้นั่นก็หมายความว่า ถ้าค่ารักษาพยาบาลที่เรามารักษามีมูลค่ามากกว่า 1,938 บาท ก็เท่ากับว่าโรงพยาบาลขาดทุนทันทีใช่ไหมครับ

*** หลาย ๆ คน ที่มีจิตใจมุ่งมั่น แน่วแน่วว่ายังไงก็ไม่เข้ารับรักษาตามสิทธิประกันสังคมแน่ ๆ ผมก็ขอแนะนำให้เลือกโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ เป็น "โรงพยาบาลของรัฐ" ครับ เพื่อให้เงินทองของเราตกไปสู่
โรงพยาบาลรัฐ ซึ่งจะได้นำเงินนี้ไปรักษาคนที่เขาขาดแคลนครับผม ถือว่าเป็นการทำบุญทางอ้อม ซึ่งเราช่วยได้ง่าย ๆ เลยครับ ***

ดังนั้นบางโรงพยาบาลก็ต้องมีการควบคุมค่าใช้จ่าย กับคนไข้ประกันสังคมอย่างใกล้ชิดครับ เพื่อให้โรงพยาบาลยังคงผลกำไรอยู่ได้ เช่น

- การจ่ายยาที่มีราคาไม่แพงนัก

- ให้พบแพทย์ทั่วไป (General Physician: GP) จนคิดว่าไม่ไหวจริง ๆ จึงค่อยส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทาง

- ที่สำคัญที่สุด กรณีเราเจ็บป่วยหนัก ๆ ที่ต้องมีการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทาง เช่น หัวใจ ปอด ตับ ลำไส้ ฯลฯ
ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่เราเลือกเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ ไม่มีเครื่องมือเพียงพอ หรือไม่มีแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ เขาก็อาจจะดิ้นรนรักษา โดยไม่ยอมส่งต่อครับ เพราะสมมติว่าเขาส่งต่อโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์การแพทย์ต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์ ศิริราชพยาบาล หรือรามาธิบดี โรงพยาบาลเอกชนตามบัตรรับรองสิทธิ จะต้องตามไปชำระค่ารักษาพยาบาลให้เราครับ


คิดแบบเข้าใจนะครับ (แต่อย่าเหมารวมทุก ๆ โรงพยาบาลนะครับ) เขาคงไม่ทำอะไรที่ทำให้เขา "ขาดทุน" อยู่แล้วใช่ไหมครับ หรือถ้าจะยอมก็ต้องคิดว่า "ไม่ไหวจริง ๆ" ซึ่งบางครั้งเวลาส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ คุณหมอก็มักจะบอกว่า "น่าจะมาให้เร็วกว่านี้" นี่คือปัญหา

สิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนบางโรง ทำให้เราอยากเลือกโรงพยาบาลเขาเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ ก็คือ การบริการที่รวดเร็วกว่าโรงพยาบาลรัฐครับ ซึ่งถ้าเราเจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ เช่น ป่วยเป็นหวัด หรือเจ็บคอ แล้วไปหาโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เราเลือกในประกันสังคม จะได้รับการบริการที่ดีครับ เพราะ "ค่ารักษาไม่แพงมาก" แต่ถ้าเราต้องรักษาที่ต้องมีการผ่าตัด หรือใช้กระบวนการในการวินิจฉัยเฉพาะแล้วล่ะก็ เราอาจจะถูกบ่ายเบี่ยงได้ครับ หรือดึงเกมให้ช้าลง

ดังนั้น ผมจึงแนะนำว่า เราควรเลือกโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิเป็นโรงพยาบาลของรัฐใกล้ ๆ บ้านครับ ซึ่งโรงพยาบาลของรัฐนั้น เขาไม่ค่อยคำนึงผลกำไร อาจจะบริการไม่ดีนัก เพราะมีคนไข้เยอะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับการบริการที่เสมอภาค ได้รับยาตามบัญชียาแห่งชาติครับ ที่สำคัญเวลาที่โรงพยาบาลรัฐตามบัตรฯ ของเรา ไม่มีแพทย์เฉพาะทางในการรักษา คุณหมอก็จะไม่ลังเลใจที่จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่มีอาจารย์ หมอที่มีความรู้ทันทีครับ

อย่างคุณพ่อของเพื่อนท่านหนึ่งท่านป่วย เป็นโรคหัวใจครับ พอคุณหมอคิดว่าน่าจะใช้ และโรงพยาบาลรัฐแห่งนั้นก็ไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ คุณหมอเจ้าของไข้ก็ทำเรื่องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันทีครับ ซึ่งได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายถูกมาก ๆ ครับ เสียเฉพาะลิ้นหัวใจเทียม (ซึ่งเบิกไม่ได้) และค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้าจำไม่ผิดราคาไม่ถึง 40,000 บาทด้วยซ้ำครับ ซึ่งถ้าเราเสียเงินไปผ่าตัดเอง เราต้องเสียเงินอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมี 300,000 บาท หรือมากกว่านะครับ

แต่บางครั้ง คุณหมอเองก็มักจะไม่ยอมเขียนหนังสือส่งตัวให้ เพราะอาจจะเกรงโดนผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพ่งเล็ง ก็ให้เราใช้สูตรนี้ครับ คือการอ้อนวอนคุณหมอ ผมเชื่อว่าคนเป็นหมอโรงพยาบาลรัฐ ส่วนใหญ่มีเมตตาครับ พอได้รับคำอ้อนวอน หรือขอร้องก็มักจะทำหนังสือส่งตัวให้ครับ (แต่ขอให้เรา
ใจกล้า ๆ เอ่ยปากขอร้องครับ) เพราะถ้าคนไข้เป็นอะไรไป โดยมีสาเหตุจากการส่งตัวที่ช้าเกินไป ท่านอาจจะได้รับผลกระทบในทางลบมากกว่า

บางราย....ไปรักษาโรคลำไส้อยู่แล้วที่ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ เช่น จุฬาลงกรณ์ หรือศิริราชพยาบาล รักษาแบบจ่ายเงินเองนะครับ มีเวชระเบียนเรียบร้อย สมมติว่าไปรักษาด้วยการจ่ายเงินเองสัก 3 ครั้ง ...

ถ้าเรามีบัตร ประกันสังคม ระบุว่าเป็นโรงพยาบาล A เราสามารถเอาเวชระเบียนที่เรารักษาอยู่ก่อนเดิม มาพบคุณหมอเพื่อให้คุณหมอโรงพยาบาล A ทำหนังสือส่งตัวไปได้นะครับ
- ถ้าโรงพยาบาล A เป็นโรงพยาบาลรัฐ และไม่มีหมอเฉพาะทางด้านที่เรารักษาอยู่ ถ้าเราขอร้องคุณหมอก็จะทำหนังสือส่งตัวให้ เพื่อให้เราได้รับการรักษาต่อเนื่องครับ ซึ่งเมื่อเราเอาหนังสือส่งตัวนี้ไปให้โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่เรารักษา อยู่ เราก็จะไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลอีกเลยครับ แต่ถ้าโรงพยาบาล A มีหมอเฉพาะทาง เราก็มาเอายารักษาที่โรงพยาบาล A ได้ครับ เช่น ถ้าเป็นโรคความดัน เบาหวาน ฯลฯ ที่ต้องรักษาระยะยาวน่ะครับ เราก็จะได้รับการรักษาฟรี ตามสิทธิประกันสังคมทันทีครับ
- ถ้าโรงพยาบาล A เป็นโรงพยาบาลเอกชน ก็ยากมาก ๆ ทีเดียว

อีก กรณีหนึ่ง ... หลาย ๆ คนมักจะบ่นว่ากระบวนการในการวินิจฉัยของโรงพยาบาลรัฐนั้นช้าใช่ไหมครับ กว่าจะได้ทำ CT Scan หรือ ตัดชิ้นเนื้อนั้นก็ต้องรอคิวนานเหลือเกิน ผมแนะนำว่า ...

สมมติว่าโรงพยาบาลตามสิทธิของเราเป็นโรงพยาบาลรัฐ กขค. ซึ่งก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนครับว่า โรงพยาบาลแม่ข่ายของโรงพยาบาล กขค. คืออะไร สมมติว่าคือ โรงพยาบาลศิริราช ครับ เริ่มเลยนะครับ

ผม ว่ากระบวนการวินิจฉัยว่าเป็นอะไร นั้นสำคัญที่สุดครับ ผมจะแนะนำว่า ผมจะไปตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลเอกชนครับ (จ่ายเงินเอง) เพื่อให้เราทราบว่าเราป่วยเป็นอะไรให้เร็วที่สุด จ่ายครั้งเดียวครับ แต่เคล็ดลับมันมีอยู่ว่า ... สมมติว่าผมสืบได้ว่า คุณหมอXYX ท่านเป็นอาจารย์หมออยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชและท่านยังรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล เอกชน A ผมก็จะไปหาหมอ XYZ ที่โรงพยาบาล A ครับ เพื่อตรวจวินิจฉัย X-Ray หรือ CT Scan จนทำให้ทราบว่าเป็นอะไรกันแน่ ก่อนครับ แล้วขออนุญาตคุณหมอ (ขอร้องเลยครับ) เพื่อจะไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช กับคุณหมอ ซึ่งคุณหมอส่วนใหญ่อนุญาตครับ

- จากนั้นเราก็เอาผลการตรวจ ไปให้หมอในโรงพยาบาล กขค. ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามบัตรฯ รับทราบ สมมติว่าป่วยเป็นลำไส้อักเสบ ในกรณีที่โรงพยาบาล กขค. ที่เป็นบัตรประกันสังคมของเราไม่มีหมอเฉพาะทางด้านนี้ (ส่วนใหญ่จะไม่มีครับ ตอนนี้เราหาหมอเฉพาะทางตามโรงพยาบาลรัฐเล็ก ๆ ได้ยากจริง ๆ ครับ) เราก็ขอให้เขาส่งตัวไปโรงพยาบาลศิริราชครับผม อันนี้ทำได้ เพราะโรงพยาบาลศิริราชนั้นเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายครับ ทำหนังสือส่งตัวได้ไม่ยาก

แต่ในกรณีที่ต้องการโอนไปโรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลแม่ข่าย นั้นทำได้ค่อนข้างยากครับ แต่ก็ทำได้ แต่ต้องอ้อนวอนและเดินเอกสารมากหน่อยครับ เบื้องต้นผมว่าเช็คก่อนครับว่า โรงพยาบาลอะไรเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายจะดีที่สุด การส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลแม่ข่าย นั้นมีกระบวนการที่ง่ายกว่าครับผม

แค่ นี้แม้ว่าจะยุ่งยากสักนิด แต่เราก็ได้รักษากับหมอเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ ด้วยเครื่องมือที่ดี โดยที่เราได้รับการรักษาฟรี เพียงแต่ค่าวินิจฉัยต้องจ่ายเงินเองเท่านั้นเองครับ

อีักอย่าง...การที่จะเช็คว่าโรงพยาบาลไหนเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายนั้น เราสามารถเช็คได้ที่เบอร์ 1506 นะครับ

สิ่ง ที่ผมกังวลมาก ๆ นะครับ โรงพยาบาลเอกชนหลาย ๆ แห่ง พยายามทำให้การรักษาโดยการจ่ายเงินเอง แตกต่างจากการใช้ประกันสังคม เพื่อดึงดูดให้เราในฐานะผู้ประกันตน จ่ายเงินเอง!!! ด้วยการถ้าจ่ายเงินเอง จะให้ยาแรง!!!!

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราหลอดลมอักเสบนั้น ยาแก้อักเสบจะมีแบบเบา จนกระทั่งไปถึงแรงครับ ตามหลักแล้วคุณหมอจะให้แบบเบาก่อนครับ เพื่อทำให้ร่างกายเราปรับตัว สร้างภูมิเข้ามาสู้กับเชื้อโรคได้เอง และจะเลื่อนระดับความแรงของยา เมื่อพบว่ามีอาการดื้อยา คือกินยาไปสักพักแล้วไม่หาย แต่บางโรงพยาบาล อาจจะมีการให้ยาแรงโดยทันที ข้อดีคือ "หายเร็วครับ" ทำให้เรารู้สึกว่า เออออออ....... จ่ายเงินเองได้ยาดี หายเร็ว แต่ข้อเสียที่สำคัญ ๆ ก็คือ

"อีกหน่อย ถ้าเราให้ยาเบา เราจะไม่หายเลยครับ ต้องใช้ยาแรงไปตลอด"
- ยาแรงก็มักจะมีผลข้างเคียงแรงครับ
- ถ้าเราดื้อยาแรงอีกล่ะ ทีนี้จะทำไง???

ดังนั้นเราต้องพิจารณาให้ดี ๆ นะครับ .... ไม่ใช่ว่าหายเร็วจะดีเสมอไป

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมเคยแนะนำก็คือ

สมมติว่าเราเลือกโรงพยาบาลเอกชน A เป็นโรงพยาบาลตามบัตรฯ แล้วเราไม่แน่ใจว่า จะได้พบหมอเฉพาะทางหรือไม่ ผมจะดำเนินการดังนี้ครับ

1. วันแรกที่ไปหาหมอ จะไม่แจ้งให้ทราบว่าเป็นคนไข้ประกันสังคม จ่ายเงินเองเลยครับ แต่ขอพบหมอเฉพาะทาง ... ถ้ารักษาภายในครั้งเดียวแล้วหาย ก็โอเคครับ แต่ถ้าต้องมีการรักษาต่อเนื่อง ก็....

2. ครั้งต่อไปเราค่อยแจ้งว่าเราจะใช้สิทธิประกันสังคมครับ คราวนี้เราก็จะได้พบหมอเฉพาะทาง และได้รับการรักษาต่อเนื่อง ได้ยาแบบเดิมครับผม ยกเว้นว่ายาที่หมอให้เดิมเป็นยานอกบัญชี ก็อาจจะทำให้เราต้องจ่ายค่ายาพิเศษเพิ่มบางตัวเท่านั้นครับ

ประกัน สังคมลองคิดดูนะครับ ตลอดชีวิตการเป็นลูกจ้าง บางคนเป็นลูกจ้างมากกว่า 20 ปี ต้องจ่ายอย่างน้อย ๆ ก็มี 200,000 บาท โดยประมาณ ดังนั้นผมจึงคิดว่าเราต้องพยายามใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่ สำคัญที่สุด กรณีที่เราไม่พอใจในการให้บริการ เราอย่ากลัวครับ เราสามารถขอเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ครับ และสามารถร้องเรียนไปได้ที่ 1506 ซึ่งเขาพร้อมช่วยเราอยู่แล้วครับ เพียงแต่คนส่วนมากมักไม่ค่อย Fight

สิ่ง ที่ผมนำมาเล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมเคย Fight ให้กับคุณพ่อเพื่อน และคนในครอบครัวมาแล้วครับ ในรายละเอียดปลีกย่อยอาจจะเอามาเล่าไม่หมด แต่ผมเชือว่าถ้าเรา Fight เราจะได้สิทธิในการรักษาที่คุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปครับผม

อีก อย่างประกันสังคม เป็นประกันฯ ที่ดีที่สุด เพราะต่อให้เราเป็นโรคประจำตัวอะไร เราก็สามารถประกันตนได้ รักษาโรคเดิมที่เป็นมาแต่กำเนิดก็ได้ แม้ว่าจะเกษียณไปแล้ว ก็สามารถประกันตนเองต่อตามมาตรา 39 ได้ครับ ซึ่งคุ้มมาก ๆ

ถ้าไม่ เป็นอะไรปุบปับ ที่ต้องการการกู้ชีวิตอย่างเร่งด่วน ผมว่าการ Fight วิ่งเรื่อง ขอส่งตัวเราทำได้ครับ เพื่อให้เราได้รับการบริการทางการแพทย์ที่ดี และคุ้มค่าครับ

ขอบคุณข้อมูล จากกระทู้พันทิพ


08 กรกฎาคม 2552

เคล็ดไม่ลับ กับการทำบุญ

เรื่องการทำบุญเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานานและคนไทยก็ชอบการทำบุญไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจในเรื่องของการทำบุญอยู่มากเช่น บางคนอาจคิดว่าการทำบุญต้องเป็นเรื่องของทานคือ การให้อย่างเดียว หรือต้องนึกถึงพระที่วัดเท่านั้น บางคนก็มีความสงสัยในสิ่งที่ตัวเองทำว่าถูกวิธีหรือไม่ เป็นบุญหรือเป็นบาป แต่บางคนก็อยากรู้ว่าทำบุญอย่างไรจึงจะได้บุญมาก เป็นต้น ซึ่งสองกรณีหลังคนไทยจะเป็นกันมาก

ทั้งนี้ ไม่รวมพิธีกรรมต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแต่ก็ถูกนำเข้ามาให้บริการทั้งในวัดและนอกวัด เช่น การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เป็นต้นเพื่อแก้ความสงสัยและความอยากรู้ของผู้ที่รักในการทำบุญทั้งหลาย วันนี้จึงนำเคล็ดลับดีๆ จากผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงมาบอกเพื่อการทำบุญที่ถูกต้องต่อไป

มารู้จักบุญในพระพุทธศาสนาก่อน
อย่างที่กล่าวว่าคนไทยชอบทำบุญในเรื่องทาน การให้ การบริจาคเป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นว่า คิดจะทำบุญทั้งทีก็ต้องทานมาเป็นที่หนึ่งจึงไม่ค่อยเห็นใครให้ความสนใจปฏิบัติในบุญอีกสองประการ ทั้งที่มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทาน นั่นก็คือ

1.การรักษาศีลและการเจริญจิตตภาวนาบุญ
คือ ทาน ศีล ภาวนา เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 3 หมายความว่า ถ้าประสงค์จะทำบุญสามารถทำได้โดยการให้ทานก็ได้ รักษาศีลก็ได้ เจริญภาวนาก็ได้ แต่เพื่อให้สะดวกแก่ผู้ปฏิบัติก็มีการจำแนกบุญออกไปอีก 10 ประการ เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ 10 ซึ่ง 3 ข้อแรกเหมือนกัน ส่วนอีก 7 ข้อประกอบด้วย การช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนาส่วนบุญ การฟังธรรม การแสดงธรรม และการทำความเห็นให้ตรงคือการมีความคิดดี ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของบุญทั้งนั้น ถ้าใครทำบุญหรือความดีอะไรก็ตามหากเข้าหลักแห่งบุญทั้ง 10 ประการ ก็ถือว่าได้ทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เช่น การช่วยงานสังคมโดยไม่หวังชื่อเสียงและสิ่งตอบแทน ก็จัดว่าได้ทำบุญข้อประกอบขวนขวายในกิจที่ชอบ เป็นต้น

2.คิดทำบุญต้องกำจัดตระหนี่ก่อน
มีปัญหายอดฮิตข้อหนึ่งที่หลายคนสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าใส่บาตรให้พระภิกษุสมมติเป็นพระภิกษุที่ไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ผู้ทำจะได้บุญไหม

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระเหมือนกับนาข้าว สมมติเรามีข้าวเปลือกอยู่ในกำมือก็ต้องพิจารณานาที่จะหว่านว่าพร้อมที่จะทำให้ข้าวของเรานั้นเจริญงอกงามแค่ไหน ถ้าต้องการผลที่ดีอันเกิดจากข้าวก็ต้องเลือกนาที่มีคุณภาพ หากถ้าไม่มีนาที่มีคุณภาพจริงๆ ยังไงก็ต้องเลือกหว่านดีกว่าที่จะปล่อยให้ข้าวเปลือกต้องเน่าในมือ

"แต่พอหว่านเสร็จแล้วตอนหลังจึงค่อยไปถอนหญ้าหรือวัชพืช หรือไปให้น้ำ ดูว่านาแล้งหรือน้ำท่วมแล้วค่อยปรับให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัย แต่ถ้าไม่ทำเลย คือไม่หว่าน ไม่ดี เพราะถ้าไม่หว่านข้าวก็เน่าในมือ

"ถ้าเราได้ผู้รับทานของเราเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะบุญที่ทำจะได้มีความบริบูรณ์ครบถ้วน แต่ถึงแม้จะได้ทำกับพระที่ไม่ได้อย่างที่ใจคิดก็ยังได้บุญอยู่หากเรามีเจตนาและศรัทธาที่มั่นคง อย่างไรก็ตามถ้าเป็นไปได้ผู้ทำบุญไม่ควรคิดในเรื่องนี้ เพราะการคิดอย่างนี้เท่ากับว่าตัวเรายังสละความตระหนี่ออกไปจากใจของตัวเองไม่ได้ อีกทั้งถ้าเลือกมากวันนั้นอาจไม่ได้ใส่บาตรเพราะพระกลับเข้าวัดหมด"

"คนที่มีความตระหนี่ไม่เคยให้อะไรแก่ใครนั้น เปรียบเหมือนน้ำที่ขังซึ่งจะเน่าเร็ว แต่น้ำที่ไม่ขัง มีการไหลเวียนตลอด เช่น แม่น้ำคงคา มีการทิ้งซากศพลง เป็นต้น ก็ไม่เคยปรากฏข่าวว่าแม่น้ำคงคาเป็นบ่อเกิดแห่งเชื้อโรค ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนใจคนถ้าไม่รู้จักการให้เลย ใจจะเน่าเร็ว แต่ถ้าใจค่อยๆ ขยายออก รู้จักแบ่งปัน ก็จะสดใสตลอด มีอารมณ์อะไรมากระทบก็ผ่องใส เพราะว่ามีการถ่ายเทตลอด"

3.มีทัศนคติที่ดีต่อการทำบุญ
มีหลายคนที่มีทัศนคติไม่ดีต่อการทำบุญ เช่น คิดว่าทำความดีไม่ได้ดี หรือทำความชั่วได้ดี เป็นต้น ซึ่งท่าทีถือเป็นอุปสรรคต่อการทำบุญ เพราะว่ายังไม่มีความเข้าใจในหลักของพระพุทธศาสนาที่สอนว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ไม่ใช่ได้ดี

การที่จะทำบุญอะไรก็ตามไม่มีอะไรบอกเหตุว่าผลที่ได้จะปรากฏเมื่อใดเหมือนคนปลูกมะม่วงในวันนี้แล้วหวังที่จะกินผลในวันนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนว่าปลูกมะม่วงผลในวันนี้ที่ที่ได้ชัดเจนก็คือมะม่วงแน่นอน แต่จะได้กินผลของมันหรือไม่ไม่แน่ อาจได้กิน หรือไม่ได้กินก็ได้เพราะมันอาจเน่าก่อนขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

4.เริ่มที่ศรัทธาแต่ต้องคู่ปัญญา
สิ่งหนึ่งที่การทำบุญจะไม่บริสุทธิ์ก็คือ การทำบุญที่ใช้แต่ศรัทธาเป็นตัวนำแต่ปราศจากปัญญากำกับ ซึ่งปัญหาตรงนี้ก็มีปรากฏในสังคมไทย เช่น บางคนทำบุญจนหมดตัว บางคนทำบุญแล้วมีปากเสียงกับคนในครอบครัว นี้คือลักษณะของคนทำบุญที่ใช้ศรัทธาแต่ไม่ใช้ปัญญา ซึ่งก็ทำให้มองได้ว่าเป็นการกระทำที่ลุ่มหลง ซึ่งพอลุ่มหลงก็มักจะไปผิดทางเสมอ กล่าวคือเห็นเขาทำอะไรก็เอาด้วยหมด

5.มีโอกาสต้องรีบทำ
ทุกคนที่เกิดมาโดยพื้นฐานแล้วอยากทำบุญทั้งนั้น แต่ปัญหาที่หลายคนประสบอยู่คือ เจ้ากรรมนายเวรไม่เปิดทางให้ เช่น บางคนวางแผนที่จะทำบุญด้วยการจะไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดนั้นวัดนี้ เคลียร์งานเรียบร้อย แต่พอถึงวันก็ไม่โอกาสได้ทำ เพราะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อน เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้มีหลายคนที่ประสบเพราะฉะนั้น หากคิดจะทำบุญถ้ามีโอกาสต้องรีบทำทันที ไม่ควรปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไป เพราะถ้าโอกาสหลุดลอยไปก็อาจไม่มีวันได้ทำความดีอะไรเลย

"สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือเมื่ออยากทำบุญอะไรจะตั้งจิตเอาไว้ตลอดและบอกว่าในบุญกุศลที่ได้ทำขอให้ได้มีโอกาสเปิดกองบุญที่ทำมาทั้งสังสารวัฏ ต่อไปนี้ถ้าจะทำบุญอะไรก็ตามที่ไม่เคยทำมาก่อนในสังสารวัฏก็ขอให้พระพุทธองค์ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งศักดิ์ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรได้มาอนุโมทนาและเปิดทางให้ ซึ่งเมื่อตั้งปรารถนาอย่างนี้เวลาที่ตั้งใจจะทำอะไรพอคิดปุ๊บสำเร็จทันที"
6.ทำบุญแบบน้ำคว่ำขันได้บุญมาก
การทำบุญแบบน้ำคว่ำขันคือ เช่น เมื่อให้อะไรใครแล้วก็ไม่ปรารถนาที่จะได้คืน หรือให้เขาได้ชื่นชมยกย่องว่าเราให้เขา แต่เป็นการสละแบบขาดตัว เหมือนกับน้ำอยู่ในขันที่คว่ำลงไปที่ไม่มีใครอยากได้คืน แต่ว่าก็มีหลายคนที่ยังอยากได้คืน เช่น เคยนำสิ่งของไปให้เพื่อนบ้าน คิดว่าวันหลังเพื่อนบ้านอาจจะมีสิ่งของมาให้บ้าง หรือแม้ให้อะไรใครก็หวังว่าอย่างน้อยที่สุดเขาจะชื่นชมยกย่องตัวเอง

สำหรับพระพุทธเจ้าไม่เคยใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้"พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีแบบน้ำคว่ำขัน เช่น ทานบารมี ก็สามารถให้ได้ทั้งวัตถุ ร่างกาย ชีวิตของตัวเองได้ทันที อย่างเราถ้ามีคนตาบอดมาขอลูกตาข้างเดียวหรือสองข้างจะกล้าควักให้ไหม เชื่อว่าไม่มีใครกล้าหรอก แต่พระโพธิสัตว์ควักให้ทันที"

สำหรับเราถ้าทำไม่ได้อย่างพระโพธิสัตว์ก็ให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเริ่มที่สเต็ปง่ายๆ คือพยายามสละสิ่งภายนอกให้ได้ก่อน สุดท้ายก็มาสละอารมณ์ที่เป็นเรืองของจิตใจ เช่น ใครด่าก็เฉยไม่แสดงอาการขุ่นเคือง เป็นต้น

7.วิธีรักษาศีล เจริญภาวนาง่ายๆ
อยากแนะนำให้เริ่มต้นที่จุดเล็กๆ แล้วค่อยพัฒนาในระดับต่อไป เช่น การรักษาศีลในวันเกิด หรืออาทิตย์หนึ่งรักษา 1 วัน วันใดก็ได้อย่างเคร่งครัด แต่วันอื่นก็ใช่ว่าไม่รักษา รักษาเหมือนกัน ซึ่งอาจจะพลาดบ้างก็ไม่ว่ากัน แต่วันที่ตั้งใจรักษาก็ไม่ควรพลาดทั้ง 5 ข้อ เช่น อยู่บ้านไม่โกหกภรรยา หรืออยู่ที่ทำงานไม่โกหกลูกค้าเพื่อให้บริษัทที่ตัวเองทำได้ประโยชน์มากจากลูกค้า ไม่โกหกนาย หรือไม่ดื่มของมึนเมาไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือลูกค้า

"เพียงบอกให้เขารู้จุดประสงค์ของเราและต้องไม่อายที่จะบอกอย่างนั้น เมื่อทำได้วันหนึ่งไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย วันต่อไปก็ไม่ยาก ซึ่งไม่แน่ต่อไปเราอาจจะเป็นคนที่เคร่งครัดในศีล หมั่นในการเจริญจิตตภาวนาไปโดยปริยายก็ได้ หรือจะรักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ เช่น ไม่ประพฤติผิดในสามีภรรยาคนอื่น ไม่โกหก ตลอดชีวิต เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็ถือว่าได้บุญมาก"

การรักษาศีลที่ถูกวิธีก็คือการรักษาที่ใจของตัวเองให้เป็นปกติจะได้ไม่คิดทำสิ่งที่ไม่ดีดนัย ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อยู่ที่ศีล ถ้าใครไม่มีศีลสักข้อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ก็ไม่เหลือ เมื่อใดก็ตามที่ศีลพร่องความเป็นมนุษย์ของเราก็พร่องด้วย เพราะฉะนั้นไม่ควรให้ศีลขาดเลย ถ้ารู้ว่าผิดศีลข้อไหนก็ตั้งใจเริ่มใหม่ได้

8.ทำบุญต้องทำให้ครบวงจร
การให้ทานอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะผลแห่งทานก็แค่ส่งผลให้ผู้ทำอยู่ดีมีสุขมีทรัพย์สมบัติเท่านั้น แต่ผลของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่พิกลพิการ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนนั้นเป็นผลของการรักษาศีล 5 ฉะนั้น อย่าคิดแต่การให้ทานเพราะทานจะให้แค่ความอุดมสมบูรณ์เพียงแค่ทางวัตถุภายนอกเท่านั้น ต้องรักษาศีลด้วยเพื่อการมีสุขภาพที่ดี

"แต่ทานศีลยังไม่พอ จะต้องเจริญจิตตภาวนาด้วย เพราะใครก็ตามที่สามารถฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้ต้องเกิดจากการฝึกฝนอบรมจิตมาเป็นอย่างดี และจิตที่ฝึกมาดีจะทำให้มีความสุขเสมอ มีบางคนเกิดมาบนกองเงินกองทองแต่ปัญญาอ่อน พิกลพิการ นั่นเพราะให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล บางคนรักษาแต่ศีลไม่เคยให้ทาน หน้าตาหล่อเหลาสะสวยแต่โง่ ฐานะดีแต่พอเจอปัญหาก็เอาตัวเองไม่รอดต้องฆ่าตัวตาย นั่นก็เป็นเพราะไม่รู้จักการฝึกจิตภาวนา"

ฉะนั้น จะทำบุญทั้งทีต้องทำให้ครบวงจรชีวิตจึงจะมีความสุข ความราบรื่น และบริบูรณ์ด้วยสิ่งที่ปรารถนาต้องการ

ที่มา : hunsa.com

06 กรกฎาคม 2552

5 ความฉลาดสำหรับโลกอนาคต

แบ่งปันบทความดี ๆ ค่ะ

5 ความฉลาดสำหรับโลกอนาคต

โดย หนูดี...วนิษา เรซ

เคยสงสัยไหมคะว่า คนที่จะอยู่ต่อไปในโลกอย่างดีในโลกยุคหน้า ต้องมีคุณสมบัติ หรือลักษณะ
อย่างไรบ้าง...และเราจะเตรียมลูกของเราอย่างไรให้เขาดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่แค่อยู่รอดได้นะคะ แต่อยู่ได้อย่างสง่างาม ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขามุ่งหวัง แถมยังมีความสุข และเหลือเวลาพร้อมด้วยทรัพย์สินที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อีกต่างหาก...หนูดีว่า นี่คือสิ่งมุ่งหวังของพ่อแม่ทุกๆ คน

แต่เราจะทำอย่างไรดีคะ ที่จะให้เด็กๆ ของเรามีความพร้อมที่จะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ในเวลาที่
เราไม่ได้อยู่ดูแลเขาอีกต่อไปแล้ว

คำถามนี้ มีคนๆ หนึ่งลองตอบได้น่าสนใจมาก...ท่านอาจารย์คนเก่งของหนูดีเอง ที่ฮาร์วาร์ด
ชื่อ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ เพิ่งเขียนหนังสือเล่มใหม่เอี่ยม ชื่อ Five Mind for the Future ซึ่งท่านเซ็นชื่อหน้าปกและส่งมาอ่านให้หนูดีอ่านเล่นที่บ้าน แทนคำขอบคุณที่หนูดีส่ง “ผ้าพันคอไหมไทย” ไปให้ท่านสวมหน้าหนาว ...ซึ่งจริงๆ แล้ว ผ้าผืนนั้น เป็นผ้าปูโต๊ะขนาดเล็กและยาวค่ะ หนูดีเห็นท่านพันคอไปแล้วเลยไม่กล้าแก้ความเข้าใจผิดกับท่าน...แต่แอบเอามาเขียนถึงดีกว่าค่ะ แก้คิดถึง

หนังสือเล่มนี้สนุกมาก...อ่านเพลินเลย เพราะอาจารย์หนูดีชวนคุยว่าในโลกยุคหน้า คนเราต้องเก่งด้านไหนบ้าง ต้องคิดถึงให้ได้แบบไหนบ้างถึงจะอยู่รอดอย่างประสบความสุขความสำเร็จสูงที่สุดด้วย ถึงแม้ท่านจะเป็นเจ้าของทฤษฎีเรื่องอัจฉริยภาพหลายประการ แต่ท่านไม่ได้พูดถึงอัจฉริยภาพเป็นเรื่องใหญ่เลย
มาดูกันไหมคะว่า มีความฉลาดอะไรบ้างที่เราน่าฝึกลูกๆ (และรวมถึงตัวเราด้วย) ให้เก่งกาจ...แต่ดูแล้ว ให้ยึดหลักกาลามสูตรนะคะ ว่าอย่าเชื่อไปทั้งหมด

ในห้าความคิดนี้ อาจจะมีด้านที่หก ที่คนเขียนมองพลาดไปแล้วลืมเขียน อาจจะมีด้านไหนที่ไม่จำเป็น หรืออาจจะไม่น่าจะจำเป็นทั้งห้าด้านเลยก็ได้ค่ะ...การอ่านไป ตั้งคำถามไป เป็นนิสัยที่หนูดีถูกอาจารย์ท่านนี้ล่ะค่ะ
ฝึกมาตลอดปีเลยว่า ห้ามเชื่อทฤษฎีไหนง่ายๆ แค่เพราะมันน่าเชื่อ อย่าเชื่อแค่เพราะอาจารย์
เราเป็นคนบอก อย่าเชื่อแค่เพราะคนพูดเป็นคนดัง ฯลฯ... เพราะหากเราฝึกคิดแบบนี้ แล้วเห็นช่องโหว่ได้...วันหนึ่งเราเอง ก็อาจเป็นคนคิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ มาอุดช่องโหว่นั้นเองก็ได้นะ
คะ

1. Disciplined Mind สมองคิดเก่งในสาขาที่เราเลือก

ความคิด ความเก่ง และทักษะแรกนี้จำเป็นมากค่ะ...เมื่อเราเลือกเรียนอะไร เลือกทำอาชีพ
อะไร เราจำเป็นต้องเก่งและรู้รอบในสาขาวิชาชีพเราให้มากและดีที่สุด

เช่น ถ้าเราเลือกเป็นหมอ ก็ให้เป็นหมอที่เก่งมากๆ เลือกเป็นคนขายต้นไม้ ก็ต้องเชี่ยวชาญรู้จักต้นไม้ทุกชนิดทุกพันธุ์ รู้จักการเลี้ยงดู การเพาะ ให้ครบถ้วน เพราะในการที่เราจะเก่งรอบด้านได้ เราต้องเก่งลึกก่อน คือ รู้ให้หมด ในสิ่งที่เป็นของเราอย่างแท้จริง

ดังนั้นตอนเลือกหนแรกที่นี่ล่ะค่ะที่สำคัญ เพราะนี่คือบ้านหลังแรกของเราเป็นบ้านที่เราต้องดูแลให้ดีที่สุด..และการเลือกสาขาที่จะเรียนนี้เราก็ต้องย้อนมาดูที่ความชอบหรือความถนัดของเราว่ามันคืออะไร ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลค่ะ บางคนบอกว่า การค้นหาตัวเองเป็นเรื่องยากนั้น มักเป็นคนที่เลือกวิธีผิด คือการวิ่งไปมา ทุกที่เพื่อหาตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเขาก็อยู่ที่นั่น รอเขาอยู่ตลอด เวลา

ดังนั้น หน้าที่แรกที่เราต้องฝึกให้ลูกก็คือ การนิ่งและมองให้ดีว่าอัจฉริยภาพที่เรามีติดตัวมาคืออะไร และเราจะพัฒนาเขาต่อไปได้อย่างไร มันอาจจะเป็นด้านดนตรี ภาษา ธรรมชาติ ฯลฯ หรืออาจจะหลายด้านรวมกันก็ได้ค่ะ

2. Synthesizing Mind สมองคิดสังเคราะห์ข้อมูล

นั่นแน่...เก่งด้านเดียวไม่พอแล้วสำหรับโลกยุคหน้าค่ะ เพราะว่าคำว่า “รู้อะไรกระจ่างแม้อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล” หนูดีต้องขอต่ออีกหน่อยว่า รู้ให้กระจ่างสักสองสามอย่างจะดีกว่าค่ะ สมองของเราไหว สบายอยู่แล้ว...โดยเฉพาะสมองเด็กๆ เพราะเขาชอบเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากันในโลกยุคหน้า คนทำงานส่วนใหญ่จะมีโอกาสเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนอาชีพเฉลี่ยคนละห้าครั้งเชียวนะคะ เราเรียนจบมาด้านไหน หลายคนก็ไม่ได้ทำงานด้านนั้น หรืองานหลายอาชีพก็ต้องใช้ความรู้หลายสาขาวิชามารวมกัน

ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างหนูดีเลยค่ะ อาชีพหนูดีเป็นสาขาใหม่เรียนว่า Mind, Brain, and Education จะว่าหนูดีเป็นหมอ ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว จะว่าหนูดีเป็นนักจิตวิทยา ก็ไม่เชิง จะว่าเป็นนักการศึกษา ก็ไม่ใช่ทั้งหมด... และนี้เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากค่ะฝนยุคนี้ คือ การเกิดอาชีพใหม่ๆ จากการนำอาชีพดั้งเดิมมาผสมกัน ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลที่ พวกเราสะสมกันไว้ในฐานะมนุษยชาตินั้นเยอะมาก การจำกัดตัวเองไว้ในกรอบวิชาเดียว จึงเป็นการจำกัดศักยภาพมนุษย์ ดังนั้น คนเก่งยุคหน้า เลยควรรู้หลายสาขาเพื่ออุดช่องโหว่ของสาขาวิชาเดียว...ในโลกยุคของลูกเรา เราคงได้เห็นอาชีพแปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ... น่าตื่นเต้นดีนะคะ

3. Creating Mind สมองคิดสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ

รู้รอบหลายสาขาวิชา...ที่สำคัญที่สุด คือการคิดค้นสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ๆ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ขึ้นมา
ได้ค่ะ เพราะการรู้อย่างเดียว...รู้แล้วความเก่งจบลงแค่ที่ตัวเราก็น่าเสียดาย แต่ถ้าหากเราสามารถนำความเก่งนั้น มาสร้างสรรค์อะไรดีๆ ให้โลกได้ คงคุ้มค่าน่าดูค่ะ ...เพราะฉะนั้นหากเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราอาจคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้วงการศิลปะก็ได้

เช่น หนูดีเพิ่งเห็นนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง คิดค้นนำขยะดีๆ มาผลิตเป็นกระเป๋าดีไซน์สวย น่าใช้เชียว... นี่ก็
เป็นตัวอย่างหนึ่งของการคิดไดเยี่ยมสำหรับโลกยุคหน้าค่ะ เพราะถ้าแค่รู้ข้อมูล... เราก็ฝึกลูกหรือลูกศิษย์ให้เป็นได้ก็แค่เพียงผู้บริโภคข้อมูล แต่ข้อมูลจะมีคุณค่ามากกว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกเสพก็เมื่อเราสามารถเอาสมองของเราเป็นเครื่องแปลและแปรข้อมูลได้ เปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

4. Respectful Mind สมองคิดให้เกียรติคน

ฉลาดแล้ว ทักษะเยี่ยมแล้ว... ไม่น่าจะพอแน่ๆ สำหรับโลกยุคหน้า เพราะการให้เกียรติคนและการถ่อมตัว เป็นนิสัยที่อัจฉริยะทุกคนต้องฝึกให้มีค่ะ... หนูดีเข้าเรียนฮาร์วาร์ดวันแรก สิ่งแรกที่ได้ยินคือปีนี้ขอให้นักเรียนใหม่ทุกคน ฝึกนิสัยให้เป็นคนถ่อมตัว เพราะคนเก่งที่ให้เกียรติใครไม่เป็นในที่สุดแล้วไม่มีใครอยากให้เกียรติเขา และผลงานดีๆ ก็จะมีออกมาไม่ได้ เพราะหาเพื่อนเก่งๆ ดีๆ ร่วมทำงานวิจัยด้วยไม่ได้เป็นคำสอนที่มีค่ามาก... เพราะวันหนึ่งที่เราเป็นคนเก่งมาก ก็จะมีคนชมมาก หากเราไม่รู้จักการประมาณใจให้ถ่อมตัวเสมอ เราก็จะเหลิงและลืม ไปว่าทุกคนในโลกนี้คืออัจฉริยะทั้งนั้น ทุกคนเก่งทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เขาเก่งด้านไหนเท่านั้น
เอง... ว่าไปแล้ว บทเรียนการถ่อมตัวถ่อมใจ เป็นหนึ่งในบทเรียนที่หนูดีถือว่ามีค่าที่สุดจากฮาร์วาร์ดค่ะ

5. Ethical Mind สมองคิด มีคุณธรรม

เห็นความเชื่อมโยงถึงการกระทำของเรากับผู้อื่นคนเก่งทีได้รับการกล่าวถึงอย่างชื่นชมในยุคนี้ ไม่ใช้คนที่แค่ประสบความสำเร็จเรื่องงาน หาเงินได้เยอะเท่านั้นนะคะ แต่คนที่ใครๆ รักและชื่นชม มักเป็นคนเก่งที่คิดถึงสังคมโดยรวมเป็น... บางคนเรียกทักษะนี้ว่า “คุณธรรม” แต่หนูดีชอบเรียกว่า “การเห็นว่า พฤติกรรมของเรามีผล กระทบได้ทั้งทางดีลางร้ายกับผู้อื่น” การคิดแบบให้เกียรตินั้น เรามักจะทำกับอื่นอีกคนเดียว แต่การคิดแบบ “คุณธรรม” จะเป็นการคิดถึงคนเป็นร้อย เป็นหมั่น เป็นล้านเลยทีเดียวว่า การกระทำของเราจะกระทบกับคนอื่นอย่างไร....

เช่น หากวันหนึ่ง เราได้เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราจะทำอย่างไรกับน้ำเสียของโรงงาน หากเราได้เป็นนักการเมือง เราจะทำอะไรกับเงินภาษีปีละเป็นหมื่นเป็นแสนล้านคนเก่งแบบนี้ มีตัวอย่างที่ดีคือ คุณบิล เกตส์ ซึ่งรวยอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันหลายปี แต่ทุกวันนี้ชีวิตของเราเป็นการกุศลและมีเป้าหมายว่า อยากบริจาคเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้ ทำเป็นโครงการต่างๆ ที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น... น่าทึ่งมากนะคะ ที่คนๆ หนึ่ง สร้างอาณาจักรมหึมานี้มาจากศูนย์ และวันหนึ่งจะนำเงินจากแหล่งนี้กลับคืนให้โลกโลกยุคหน้า คงไม่ใช่โลกที่น่าอยู่นัก หากแต่ละคนคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว ในการเป็นพ่อแม่ที่ดี คงไม่ใช่แค่การสอนให้ลูกเก่งวิชา สอบได้เกรดสี่เท่านั้น แต่เป็นการสอนให้ เขาใช้สมองเขาได้เต็มคุณค่า และรู้ว่าจะใช้สมองนั้นไปทำไมทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อสังคม...

เป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายเลยนะคะ แต่หนูดีว่า การเลี้ยงลูกให้ดี เป็นการให้ของขวัญที่ดีที่สุดกับโลกแล้วค่ะ... นี่เป็นคำที่หนูดีได้ยินเสมอจากแม่ของหนูดีว่า หนูดีเป็นของขวัญมีค่าที่สุดที่แม่มอบให้โลก และหนูดีเชื่อว่า พ่อแม่คนไหนคิดได้แบบนี้ไม่มีทางที่จะเลี้ยงลูกผิดพลาดค่ะ และเด็กคนนั้น จะมีความสุขมากกับความเก่งของเขา


Brain Tips
เทคนิคสนุกๆ อันหนึ่งของการสอนลูกให้ถ่อมตัว คือ การให้เขาลองเรียนอะไรใหม่ๆ ทุกปี โดย
อาจจะคงกิจกรรมด้วยเดิมไว้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น หากเขาเรียนบัลเลย์อยู่ก็ให้เรียนต่อเนื่องแต่ปีนี้อาจให้เพิ่มเรียนศิลปะ ปีหน้าให้ลองเรียนเต้นละติน อีกปีให้ลองเรียนเทควันโด.. เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บ้างค่ะ เพราะเด็กๆ จะได้ใช้กล้ามเนื้อมัดที่แปลกออกไป ได้ลองก้าว ลองหมุนตัว แบบที่ไม่เคยหมุน... แต่ประโยชน์ที่แท้จริงคือ การที่เขาจะรู้ว่า โลกนี้ยังมีคนเก่งอีกเยอะแยะ มากมายหลายแบบ..

และเราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เก่ง...ถ้าทำได้แบบนี้ เขาจะมีคนให้ทึ่งใหม่ๆ ทุกปี ว่า ครูคนนี้ปั้นดินเก่งจัง โอ้โห เพื่อนใหม่คนนี้ หมุนตัวตามจังหวะซัลซ่าได้ตั้งสามรอบในขณะที่เขาหมุนแล้วเซทั้งๆ ที่ในห้องบัลเลย์เขาคือ เด็กเก่งที่สุด...ให้เด็กลองด้วยตัวเองแบบนี้ รับรอง ถ่อมตัวอย่างน่ารักและเป็นธรรมชาติแน่นอนค่ะ