11 กรกฎาคม 2552

เคล็ดลับในการใช้ประกันสังคมให้คุ้ม


จากกระทู้สวนลุมพินีใน pantip น่าสนใจมากเลยเก็บมาฝากค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8067388/L8067388.html

ผมมีความเชื่อว่า หลาย ๆ คนในบอร์ดนี้อยู่ในระบบประกันสังคมครับ ซึ่งแต่ละเดือนนั้น จะต้องถูกหัก 5% ของรายได้ (ไม่เกิน 15,000 บาท) พูดง่าย ๆ ก็คือ
ถ้ามีเงินเดือนตั้
งแต่ 15,000 บาท ขึ้นไป ก็จะถูกหักเดือนละ 750 บาทครับ หรือปีละ 9,000 บาท
แม้ว่าขณะนี้จะมีการปรับลดเงินสมทบลงเหลือ 3% ตั้งแต่เดือน ก.ค. - ธ.ค. 52 แต่ 3% = 450 บาทต่อเดือน หรือปีละ 5,400 บาท

ซึ่งวงเงิน 5,400 บาท หรือ 9,000 บาทต่อปี นั้นเป็นเงินที่สูงมาก ๆ ครับ ซึ่งเราไปซื้อประกันจากบริษัทประกันต่าง ๆ ได้เลยครับ หลาย ๆ คนที่เคยใช้ประกันสังคม มักจะบ่น ๆ ๆ ๆ ว่าบริการไม่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ผมมีเคล็ดลับในการใช้ประกันสังคม ในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของการรักษาพยาบาล และ
ดูแลรักษาสุขภาพ ดังนี้ครับ

เรา รู้หรือเปล่าครับ เวลาที่เราเลือกโรงพยาบาลประกันสังคม ตามบัตรรับรองสิทธินั้น โรงพยาบาลที่เราเลือกจะได้รับเงินเหมารายหัวจากประกันสังคม หัวละ 1,938 บาทต่อปีครับ

ดังนั้นถ้าเราเลือกโรงพยาบาลเอกชน ที่มุ่งแสวงหากำไร เพราะเป็นธุรกิจนั่นหมายความว่า ถ้าเราไม่มารักษา
เลยในปีนั้น หรือมีจิตใจที่มุ่งมั่นว่าจะไม่ใช้ประกันสังคมเด็ดขาดนั้น จะเท่ากับว่าโรงพยาบาลนั้นจะได้รับเงินกินเปล่า 1,938 บาท ต่อปีทันทีครับ แต่ถ้าเกิดเราไปใช้นั่นก็หมายความว่า ถ้าค่ารักษาพยาบาลที่เรามารักษามีมูลค่ามากกว่า 1,938 บาท ก็เท่ากับว่าโรงพยาบาลขาดทุนทันทีใช่ไหมครับ

*** หลาย ๆ คน ที่มีจิตใจมุ่งมั่น แน่วแน่วว่ายังไงก็ไม่เข้ารับรักษาตามสิทธิประกันสังคมแน่ ๆ ผมก็ขอแนะนำให้เลือกโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ เป็น "โรงพยาบาลของรัฐ" ครับ เพื่อให้เงินทองของเราตกไปสู่
โรงพยาบาลรัฐ ซึ่งจะได้นำเงินนี้ไปรักษาคนที่เขาขาดแคลนครับผม ถือว่าเป็นการทำบุญทางอ้อม ซึ่งเราช่วยได้ง่าย ๆ เลยครับ ***

ดังนั้นบางโรงพยาบาลก็ต้องมีการควบคุมค่าใช้จ่าย กับคนไข้ประกันสังคมอย่างใกล้ชิดครับ เพื่อให้โรงพยาบาลยังคงผลกำไรอยู่ได้ เช่น

- การจ่ายยาที่มีราคาไม่แพงนัก

- ให้พบแพทย์ทั่วไป (General Physician: GP) จนคิดว่าไม่ไหวจริง ๆ จึงค่อยส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทาง

- ที่สำคัญที่สุด กรณีเราเจ็บป่วยหนัก ๆ ที่ต้องมีการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทาง เช่น หัวใจ ปอด ตับ ลำไส้ ฯลฯ
ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่เราเลือกเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ ไม่มีเครื่องมือเพียงพอ หรือไม่มีแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ เขาก็อาจจะดิ้นรนรักษา โดยไม่ยอมส่งต่อครับ เพราะสมมติว่าเขาส่งต่อโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์การแพทย์ต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์ ศิริราชพยาบาล หรือรามาธิบดี โรงพยาบาลเอกชนตามบัตรรับรองสิทธิ จะต้องตามไปชำระค่ารักษาพยาบาลให้เราครับ


คิดแบบเข้าใจนะครับ (แต่อย่าเหมารวมทุก ๆ โรงพยาบาลนะครับ) เขาคงไม่ทำอะไรที่ทำให้เขา "ขาดทุน" อยู่แล้วใช่ไหมครับ หรือถ้าจะยอมก็ต้องคิดว่า "ไม่ไหวจริง ๆ" ซึ่งบางครั้งเวลาส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ คุณหมอก็มักจะบอกว่า "น่าจะมาให้เร็วกว่านี้" นี่คือปัญหา

สิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนบางโรง ทำให้เราอยากเลือกโรงพยาบาลเขาเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ ก็คือ การบริการที่รวดเร็วกว่าโรงพยาบาลรัฐครับ ซึ่งถ้าเราเจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ เช่น ป่วยเป็นหวัด หรือเจ็บคอ แล้วไปหาโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เราเลือกในประกันสังคม จะได้รับการบริการที่ดีครับ เพราะ "ค่ารักษาไม่แพงมาก" แต่ถ้าเราต้องรักษาที่ต้องมีการผ่าตัด หรือใช้กระบวนการในการวินิจฉัยเฉพาะแล้วล่ะก็ เราอาจจะถูกบ่ายเบี่ยงได้ครับ หรือดึงเกมให้ช้าลง

ดังนั้น ผมจึงแนะนำว่า เราควรเลือกโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิเป็นโรงพยาบาลของรัฐใกล้ ๆ บ้านครับ ซึ่งโรงพยาบาลของรัฐนั้น เขาไม่ค่อยคำนึงผลกำไร อาจจะบริการไม่ดีนัก เพราะมีคนไข้เยอะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับการบริการที่เสมอภาค ได้รับยาตามบัญชียาแห่งชาติครับ ที่สำคัญเวลาที่โรงพยาบาลรัฐตามบัตรฯ ของเรา ไม่มีแพทย์เฉพาะทางในการรักษา คุณหมอก็จะไม่ลังเลใจที่จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่มีอาจารย์ หมอที่มีความรู้ทันทีครับ

อย่างคุณพ่อของเพื่อนท่านหนึ่งท่านป่วย เป็นโรคหัวใจครับ พอคุณหมอคิดว่าน่าจะใช้ และโรงพยาบาลรัฐแห่งนั้นก็ไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ คุณหมอเจ้าของไข้ก็ทำเรื่องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันทีครับ ซึ่งได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายถูกมาก ๆ ครับ เสียเฉพาะลิ้นหัวใจเทียม (ซึ่งเบิกไม่ได้) และค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้าจำไม่ผิดราคาไม่ถึง 40,000 บาทด้วยซ้ำครับ ซึ่งถ้าเราเสียเงินไปผ่าตัดเอง เราต้องเสียเงินอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมี 300,000 บาท หรือมากกว่านะครับ

แต่บางครั้ง คุณหมอเองก็มักจะไม่ยอมเขียนหนังสือส่งตัวให้ เพราะอาจจะเกรงโดนผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพ่งเล็ง ก็ให้เราใช้สูตรนี้ครับ คือการอ้อนวอนคุณหมอ ผมเชื่อว่าคนเป็นหมอโรงพยาบาลรัฐ ส่วนใหญ่มีเมตตาครับ พอได้รับคำอ้อนวอน หรือขอร้องก็มักจะทำหนังสือส่งตัวให้ครับ (แต่ขอให้เรา
ใจกล้า ๆ เอ่ยปากขอร้องครับ) เพราะถ้าคนไข้เป็นอะไรไป โดยมีสาเหตุจากการส่งตัวที่ช้าเกินไป ท่านอาจจะได้รับผลกระทบในทางลบมากกว่า

บางราย....ไปรักษาโรคลำไส้อยู่แล้วที่ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ เช่น จุฬาลงกรณ์ หรือศิริราชพยาบาล รักษาแบบจ่ายเงินเองนะครับ มีเวชระเบียนเรียบร้อย สมมติว่าไปรักษาด้วยการจ่ายเงินเองสัก 3 ครั้ง ...

ถ้าเรามีบัตร ประกันสังคม ระบุว่าเป็นโรงพยาบาล A เราสามารถเอาเวชระเบียนที่เรารักษาอยู่ก่อนเดิม มาพบคุณหมอเพื่อให้คุณหมอโรงพยาบาล A ทำหนังสือส่งตัวไปได้นะครับ
- ถ้าโรงพยาบาล A เป็นโรงพยาบาลรัฐ และไม่มีหมอเฉพาะทางด้านที่เรารักษาอยู่ ถ้าเราขอร้องคุณหมอก็จะทำหนังสือส่งตัวให้ เพื่อให้เราได้รับการรักษาต่อเนื่องครับ ซึ่งเมื่อเราเอาหนังสือส่งตัวนี้ไปให้โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่เรารักษา อยู่ เราก็จะไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลอีกเลยครับ แต่ถ้าโรงพยาบาล A มีหมอเฉพาะทาง เราก็มาเอายารักษาที่โรงพยาบาล A ได้ครับ เช่น ถ้าเป็นโรคความดัน เบาหวาน ฯลฯ ที่ต้องรักษาระยะยาวน่ะครับ เราก็จะได้รับการรักษาฟรี ตามสิทธิประกันสังคมทันทีครับ
- ถ้าโรงพยาบาล A เป็นโรงพยาบาลเอกชน ก็ยากมาก ๆ ทีเดียว

อีก กรณีหนึ่ง ... หลาย ๆ คนมักจะบ่นว่ากระบวนการในการวินิจฉัยของโรงพยาบาลรัฐนั้นช้าใช่ไหมครับ กว่าจะได้ทำ CT Scan หรือ ตัดชิ้นเนื้อนั้นก็ต้องรอคิวนานเหลือเกิน ผมแนะนำว่า ...

สมมติว่าโรงพยาบาลตามสิทธิของเราเป็นโรงพยาบาลรัฐ กขค. ซึ่งก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนครับว่า โรงพยาบาลแม่ข่ายของโรงพยาบาล กขค. คืออะไร สมมติว่าคือ โรงพยาบาลศิริราช ครับ เริ่มเลยนะครับ

ผม ว่ากระบวนการวินิจฉัยว่าเป็นอะไร นั้นสำคัญที่สุดครับ ผมจะแนะนำว่า ผมจะไปตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลเอกชนครับ (จ่ายเงินเอง) เพื่อให้เราทราบว่าเราป่วยเป็นอะไรให้เร็วที่สุด จ่ายครั้งเดียวครับ แต่เคล็ดลับมันมีอยู่ว่า ... สมมติว่าผมสืบได้ว่า คุณหมอXYX ท่านเป็นอาจารย์หมออยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชและท่านยังรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล เอกชน A ผมก็จะไปหาหมอ XYZ ที่โรงพยาบาล A ครับ เพื่อตรวจวินิจฉัย X-Ray หรือ CT Scan จนทำให้ทราบว่าเป็นอะไรกันแน่ ก่อนครับ แล้วขออนุญาตคุณหมอ (ขอร้องเลยครับ) เพื่อจะไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช กับคุณหมอ ซึ่งคุณหมอส่วนใหญ่อนุญาตครับ

- จากนั้นเราก็เอาผลการตรวจ ไปให้หมอในโรงพยาบาล กขค. ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามบัตรฯ รับทราบ สมมติว่าป่วยเป็นลำไส้อักเสบ ในกรณีที่โรงพยาบาล กขค. ที่เป็นบัตรประกันสังคมของเราไม่มีหมอเฉพาะทางด้านนี้ (ส่วนใหญ่จะไม่มีครับ ตอนนี้เราหาหมอเฉพาะทางตามโรงพยาบาลรัฐเล็ก ๆ ได้ยากจริง ๆ ครับ) เราก็ขอให้เขาส่งตัวไปโรงพยาบาลศิริราชครับผม อันนี้ทำได้ เพราะโรงพยาบาลศิริราชนั้นเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายครับ ทำหนังสือส่งตัวได้ไม่ยาก

แต่ในกรณีที่ต้องการโอนไปโรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลแม่ข่าย นั้นทำได้ค่อนข้างยากครับ แต่ก็ทำได้ แต่ต้องอ้อนวอนและเดินเอกสารมากหน่อยครับ เบื้องต้นผมว่าเช็คก่อนครับว่า โรงพยาบาลอะไรเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายจะดีที่สุด การส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลแม่ข่าย นั้นมีกระบวนการที่ง่ายกว่าครับผม

แค่ นี้แม้ว่าจะยุ่งยากสักนิด แต่เราก็ได้รักษากับหมอเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ ด้วยเครื่องมือที่ดี โดยที่เราได้รับการรักษาฟรี เพียงแต่ค่าวินิจฉัยต้องจ่ายเงินเองเท่านั้นเองครับ

อีักอย่าง...การที่จะเช็คว่าโรงพยาบาลไหนเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายนั้น เราสามารถเช็คได้ที่เบอร์ 1506 นะครับ

สิ่ง ที่ผมกังวลมาก ๆ นะครับ โรงพยาบาลเอกชนหลาย ๆ แห่ง พยายามทำให้การรักษาโดยการจ่ายเงินเอง แตกต่างจากการใช้ประกันสังคม เพื่อดึงดูดให้เราในฐานะผู้ประกันตน จ่ายเงินเอง!!! ด้วยการถ้าจ่ายเงินเอง จะให้ยาแรง!!!!

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราหลอดลมอักเสบนั้น ยาแก้อักเสบจะมีแบบเบา จนกระทั่งไปถึงแรงครับ ตามหลักแล้วคุณหมอจะให้แบบเบาก่อนครับ เพื่อทำให้ร่างกายเราปรับตัว สร้างภูมิเข้ามาสู้กับเชื้อโรคได้เอง และจะเลื่อนระดับความแรงของยา เมื่อพบว่ามีอาการดื้อยา คือกินยาไปสักพักแล้วไม่หาย แต่บางโรงพยาบาล อาจจะมีการให้ยาแรงโดยทันที ข้อดีคือ "หายเร็วครับ" ทำให้เรารู้สึกว่า เออออออ....... จ่ายเงินเองได้ยาดี หายเร็ว แต่ข้อเสียที่สำคัญ ๆ ก็คือ

"อีกหน่อย ถ้าเราให้ยาเบา เราจะไม่หายเลยครับ ต้องใช้ยาแรงไปตลอด"
- ยาแรงก็มักจะมีผลข้างเคียงแรงครับ
- ถ้าเราดื้อยาแรงอีกล่ะ ทีนี้จะทำไง???

ดังนั้นเราต้องพิจารณาให้ดี ๆ นะครับ .... ไม่ใช่ว่าหายเร็วจะดีเสมอไป

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมเคยแนะนำก็คือ

สมมติว่าเราเลือกโรงพยาบาลเอกชน A เป็นโรงพยาบาลตามบัตรฯ แล้วเราไม่แน่ใจว่า จะได้พบหมอเฉพาะทางหรือไม่ ผมจะดำเนินการดังนี้ครับ

1. วันแรกที่ไปหาหมอ จะไม่แจ้งให้ทราบว่าเป็นคนไข้ประกันสังคม จ่ายเงินเองเลยครับ แต่ขอพบหมอเฉพาะทาง ... ถ้ารักษาภายในครั้งเดียวแล้วหาย ก็โอเคครับ แต่ถ้าต้องมีการรักษาต่อเนื่อง ก็....

2. ครั้งต่อไปเราค่อยแจ้งว่าเราจะใช้สิทธิประกันสังคมครับ คราวนี้เราก็จะได้พบหมอเฉพาะทาง และได้รับการรักษาต่อเนื่อง ได้ยาแบบเดิมครับผม ยกเว้นว่ายาที่หมอให้เดิมเป็นยานอกบัญชี ก็อาจจะทำให้เราต้องจ่ายค่ายาพิเศษเพิ่มบางตัวเท่านั้นครับ

ประกัน สังคมลองคิดดูนะครับ ตลอดชีวิตการเป็นลูกจ้าง บางคนเป็นลูกจ้างมากกว่า 20 ปี ต้องจ่ายอย่างน้อย ๆ ก็มี 200,000 บาท โดยประมาณ ดังนั้นผมจึงคิดว่าเราต้องพยายามใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่ สำคัญที่สุด กรณีที่เราไม่พอใจในการให้บริการ เราอย่ากลัวครับ เราสามารถขอเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ครับ และสามารถร้องเรียนไปได้ที่ 1506 ซึ่งเขาพร้อมช่วยเราอยู่แล้วครับ เพียงแต่คนส่วนมากมักไม่ค่อย Fight

สิ่ง ที่ผมนำมาเล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมเคย Fight ให้กับคุณพ่อเพื่อน และคนในครอบครัวมาแล้วครับ ในรายละเอียดปลีกย่อยอาจจะเอามาเล่าไม่หมด แต่ผมเชือว่าถ้าเรา Fight เราจะได้สิทธิในการรักษาที่คุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปครับผม

อีก อย่างประกันสังคม เป็นประกันฯ ที่ดีที่สุด เพราะต่อให้เราเป็นโรคประจำตัวอะไร เราก็สามารถประกันตนได้ รักษาโรคเดิมที่เป็นมาแต่กำเนิดก็ได้ แม้ว่าจะเกษียณไปแล้ว ก็สามารถประกันตนเองต่อตามมาตรา 39 ได้ครับ ซึ่งคุ้มมาก ๆ

ถ้าไม่ เป็นอะไรปุบปับ ที่ต้องการการกู้ชีวิตอย่างเร่งด่วน ผมว่าการ Fight วิ่งเรื่อง ขอส่งตัวเราทำได้ครับ เพื่อให้เราได้รับการบริการทางการแพทย์ที่ดี และคุ้มค่าครับ

ขอบคุณข้อมูล จากกระทู้พันทิพ


08 กรกฎาคม 2552

เคล็ดไม่ลับ กับการทำบุญ

เรื่องการทำบุญเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานานและคนไทยก็ชอบการทำบุญไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจในเรื่องของการทำบุญอยู่มากเช่น บางคนอาจคิดว่าการทำบุญต้องเป็นเรื่องของทานคือ การให้อย่างเดียว หรือต้องนึกถึงพระที่วัดเท่านั้น บางคนก็มีความสงสัยในสิ่งที่ตัวเองทำว่าถูกวิธีหรือไม่ เป็นบุญหรือเป็นบาป แต่บางคนก็อยากรู้ว่าทำบุญอย่างไรจึงจะได้บุญมาก เป็นต้น ซึ่งสองกรณีหลังคนไทยจะเป็นกันมาก

ทั้งนี้ ไม่รวมพิธีกรรมต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแต่ก็ถูกนำเข้ามาให้บริการทั้งในวัดและนอกวัด เช่น การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เป็นต้นเพื่อแก้ความสงสัยและความอยากรู้ของผู้ที่รักในการทำบุญทั้งหลาย วันนี้จึงนำเคล็ดลับดีๆ จากผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงมาบอกเพื่อการทำบุญที่ถูกต้องต่อไป

มารู้จักบุญในพระพุทธศาสนาก่อน
อย่างที่กล่าวว่าคนไทยชอบทำบุญในเรื่องทาน การให้ การบริจาคเป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นว่า คิดจะทำบุญทั้งทีก็ต้องทานมาเป็นที่หนึ่งจึงไม่ค่อยเห็นใครให้ความสนใจปฏิบัติในบุญอีกสองประการ ทั้งที่มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทาน นั่นก็คือ

1.การรักษาศีลและการเจริญจิตตภาวนาบุญ
คือ ทาน ศีล ภาวนา เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 3 หมายความว่า ถ้าประสงค์จะทำบุญสามารถทำได้โดยการให้ทานก็ได้ รักษาศีลก็ได้ เจริญภาวนาก็ได้ แต่เพื่อให้สะดวกแก่ผู้ปฏิบัติก็มีการจำแนกบุญออกไปอีก 10 ประการ เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ 10 ซึ่ง 3 ข้อแรกเหมือนกัน ส่วนอีก 7 ข้อประกอบด้วย การช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนาส่วนบุญ การฟังธรรม การแสดงธรรม และการทำความเห็นให้ตรงคือการมีความคิดดี ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของบุญทั้งนั้น ถ้าใครทำบุญหรือความดีอะไรก็ตามหากเข้าหลักแห่งบุญทั้ง 10 ประการ ก็ถือว่าได้ทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เช่น การช่วยงานสังคมโดยไม่หวังชื่อเสียงและสิ่งตอบแทน ก็จัดว่าได้ทำบุญข้อประกอบขวนขวายในกิจที่ชอบ เป็นต้น

2.คิดทำบุญต้องกำจัดตระหนี่ก่อน
มีปัญหายอดฮิตข้อหนึ่งที่หลายคนสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าใส่บาตรให้พระภิกษุสมมติเป็นพระภิกษุที่ไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ผู้ทำจะได้บุญไหม

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระเหมือนกับนาข้าว สมมติเรามีข้าวเปลือกอยู่ในกำมือก็ต้องพิจารณานาที่จะหว่านว่าพร้อมที่จะทำให้ข้าวของเรานั้นเจริญงอกงามแค่ไหน ถ้าต้องการผลที่ดีอันเกิดจากข้าวก็ต้องเลือกนาที่มีคุณภาพ หากถ้าไม่มีนาที่มีคุณภาพจริงๆ ยังไงก็ต้องเลือกหว่านดีกว่าที่จะปล่อยให้ข้าวเปลือกต้องเน่าในมือ

"แต่พอหว่านเสร็จแล้วตอนหลังจึงค่อยไปถอนหญ้าหรือวัชพืช หรือไปให้น้ำ ดูว่านาแล้งหรือน้ำท่วมแล้วค่อยปรับให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัย แต่ถ้าไม่ทำเลย คือไม่หว่าน ไม่ดี เพราะถ้าไม่หว่านข้าวก็เน่าในมือ

"ถ้าเราได้ผู้รับทานของเราเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะบุญที่ทำจะได้มีความบริบูรณ์ครบถ้วน แต่ถึงแม้จะได้ทำกับพระที่ไม่ได้อย่างที่ใจคิดก็ยังได้บุญอยู่หากเรามีเจตนาและศรัทธาที่มั่นคง อย่างไรก็ตามถ้าเป็นไปได้ผู้ทำบุญไม่ควรคิดในเรื่องนี้ เพราะการคิดอย่างนี้เท่ากับว่าตัวเรายังสละความตระหนี่ออกไปจากใจของตัวเองไม่ได้ อีกทั้งถ้าเลือกมากวันนั้นอาจไม่ได้ใส่บาตรเพราะพระกลับเข้าวัดหมด"

"คนที่มีความตระหนี่ไม่เคยให้อะไรแก่ใครนั้น เปรียบเหมือนน้ำที่ขังซึ่งจะเน่าเร็ว แต่น้ำที่ไม่ขัง มีการไหลเวียนตลอด เช่น แม่น้ำคงคา มีการทิ้งซากศพลง เป็นต้น ก็ไม่เคยปรากฏข่าวว่าแม่น้ำคงคาเป็นบ่อเกิดแห่งเชื้อโรค ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนใจคนถ้าไม่รู้จักการให้เลย ใจจะเน่าเร็ว แต่ถ้าใจค่อยๆ ขยายออก รู้จักแบ่งปัน ก็จะสดใสตลอด มีอารมณ์อะไรมากระทบก็ผ่องใส เพราะว่ามีการถ่ายเทตลอด"

3.มีทัศนคติที่ดีต่อการทำบุญ
มีหลายคนที่มีทัศนคติไม่ดีต่อการทำบุญ เช่น คิดว่าทำความดีไม่ได้ดี หรือทำความชั่วได้ดี เป็นต้น ซึ่งท่าทีถือเป็นอุปสรรคต่อการทำบุญ เพราะว่ายังไม่มีความเข้าใจในหลักของพระพุทธศาสนาที่สอนว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ไม่ใช่ได้ดี

การที่จะทำบุญอะไรก็ตามไม่มีอะไรบอกเหตุว่าผลที่ได้จะปรากฏเมื่อใดเหมือนคนปลูกมะม่วงในวันนี้แล้วหวังที่จะกินผลในวันนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนว่าปลูกมะม่วงผลในวันนี้ที่ที่ได้ชัดเจนก็คือมะม่วงแน่นอน แต่จะได้กินผลของมันหรือไม่ไม่แน่ อาจได้กิน หรือไม่ได้กินก็ได้เพราะมันอาจเน่าก่อนขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

4.เริ่มที่ศรัทธาแต่ต้องคู่ปัญญา
สิ่งหนึ่งที่การทำบุญจะไม่บริสุทธิ์ก็คือ การทำบุญที่ใช้แต่ศรัทธาเป็นตัวนำแต่ปราศจากปัญญากำกับ ซึ่งปัญหาตรงนี้ก็มีปรากฏในสังคมไทย เช่น บางคนทำบุญจนหมดตัว บางคนทำบุญแล้วมีปากเสียงกับคนในครอบครัว นี้คือลักษณะของคนทำบุญที่ใช้ศรัทธาแต่ไม่ใช้ปัญญา ซึ่งก็ทำให้มองได้ว่าเป็นการกระทำที่ลุ่มหลง ซึ่งพอลุ่มหลงก็มักจะไปผิดทางเสมอ กล่าวคือเห็นเขาทำอะไรก็เอาด้วยหมด

5.มีโอกาสต้องรีบทำ
ทุกคนที่เกิดมาโดยพื้นฐานแล้วอยากทำบุญทั้งนั้น แต่ปัญหาที่หลายคนประสบอยู่คือ เจ้ากรรมนายเวรไม่เปิดทางให้ เช่น บางคนวางแผนที่จะทำบุญด้วยการจะไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดนั้นวัดนี้ เคลียร์งานเรียบร้อย แต่พอถึงวันก็ไม่โอกาสได้ทำ เพราะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อน เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้มีหลายคนที่ประสบเพราะฉะนั้น หากคิดจะทำบุญถ้ามีโอกาสต้องรีบทำทันที ไม่ควรปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไป เพราะถ้าโอกาสหลุดลอยไปก็อาจไม่มีวันได้ทำความดีอะไรเลย

"สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือเมื่ออยากทำบุญอะไรจะตั้งจิตเอาไว้ตลอดและบอกว่าในบุญกุศลที่ได้ทำขอให้ได้มีโอกาสเปิดกองบุญที่ทำมาทั้งสังสารวัฏ ต่อไปนี้ถ้าจะทำบุญอะไรก็ตามที่ไม่เคยทำมาก่อนในสังสารวัฏก็ขอให้พระพุทธองค์ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งศักดิ์ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรได้มาอนุโมทนาและเปิดทางให้ ซึ่งเมื่อตั้งปรารถนาอย่างนี้เวลาที่ตั้งใจจะทำอะไรพอคิดปุ๊บสำเร็จทันที"
6.ทำบุญแบบน้ำคว่ำขันได้บุญมาก
การทำบุญแบบน้ำคว่ำขันคือ เช่น เมื่อให้อะไรใครแล้วก็ไม่ปรารถนาที่จะได้คืน หรือให้เขาได้ชื่นชมยกย่องว่าเราให้เขา แต่เป็นการสละแบบขาดตัว เหมือนกับน้ำอยู่ในขันที่คว่ำลงไปที่ไม่มีใครอยากได้คืน แต่ว่าก็มีหลายคนที่ยังอยากได้คืน เช่น เคยนำสิ่งของไปให้เพื่อนบ้าน คิดว่าวันหลังเพื่อนบ้านอาจจะมีสิ่งของมาให้บ้าง หรือแม้ให้อะไรใครก็หวังว่าอย่างน้อยที่สุดเขาจะชื่นชมยกย่องตัวเอง

สำหรับพระพุทธเจ้าไม่เคยใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้"พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีแบบน้ำคว่ำขัน เช่น ทานบารมี ก็สามารถให้ได้ทั้งวัตถุ ร่างกาย ชีวิตของตัวเองได้ทันที อย่างเราถ้ามีคนตาบอดมาขอลูกตาข้างเดียวหรือสองข้างจะกล้าควักให้ไหม เชื่อว่าไม่มีใครกล้าหรอก แต่พระโพธิสัตว์ควักให้ทันที"

สำหรับเราถ้าทำไม่ได้อย่างพระโพธิสัตว์ก็ให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเริ่มที่สเต็ปง่ายๆ คือพยายามสละสิ่งภายนอกให้ได้ก่อน สุดท้ายก็มาสละอารมณ์ที่เป็นเรืองของจิตใจ เช่น ใครด่าก็เฉยไม่แสดงอาการขุ่นเคือง เป็นต้น

7.วิธีรักษาศีล เจริญภาวนาง่ายๆ
อยากแนะนำให้เริ่มต้นที่จุดเล็กๆ แล้วค่อยพัฒนาในระดับต่อไป เช่น การรักษาศีลในวันเกิด หรืออาทิตย์หนึ่งรักษา 1 วัน วันใดก็ได้อย่างเคร่งครัด แต่วันอื่นก็ใช่ว่าไม่รักษา รักษาเหมือนกัน ซึ่งอาจจะพลาดบ้างก็ไม่ว่ากัน แต่วันที่ตั้งใจรักษาก็ไม่ควรพลาดทั้ง 5 ข้อ เช่น อยู่บ้านไม่โกหกภรรยา หรืออยู่ที่ทำงานไม่โกหกลูกค้าเพื่อให้บริษัทที่ตัวเองทำได้ประโยชน์มากจากลูกค้า ไม่โกหกนาย หรือไม่ดื่มของมึนเมาไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือลูกค้า

"เพียงบอกให้เขารู้จุดประสงค์ของเราและต้องไม่อายที่จะบอกอย่างนั้น เมื่อทำได้วันหนึ่งไม่ขาด ไม่ด่าง ไม่พร้อย วันต่อไปก็ไม่ยาก ซึ่งไม่แน่ต่อไปเราอาจจะเป็นคนที่เคร่งครัดในศีล หมั่นในการเจริญจิตตภาวนาไปโดยปริยายก็ได้ หรือจะรักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ เช่น ไม่ประพฤติผิดในสามีภรรยาคนอื่น ไม่โกหก ตลอดชีวิต เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็ถือว่าได้บุญมาก"

การรักษาศีลที่ถูกวิธีก็คือการรักษาที่ใจของตัวเองให้เป็นปกติจะได้ไม่คิดทำสิ่งที่ไม่ดีดนัย ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อยู่ที่ศีล ถ้าใครไม่มีศีลสักข้อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ก็ไม่เหลือ เมื่อใดก็ตามที่ศีลพร่องความเป็นมนุษย์ของเราก็พร่องด้วย เพราะฉะนั้นไม่ควรให้ศีลขาดเลย ถ้ารู้ว่าผิดศีลข้อไหนก็ตั้งใจเริ่มใหม่ได้

8.ทำบุญต้องทำให้ครบวงจร
การให้ทานอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะผลแห่งทานก็แค่ส่งผลให้ผู้ทำอยู่ดีมีสุขมีทรัพย์สมบัติเท่านั้น แต่ผลของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่พิกลพิการ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนนั้นเป็นผลของการรักษาศีล 5 ฉะนั้น อย่าคิดแต่การให้ทานเพราะทานจะให้แค่ความอุดมสมบูรณ์เพียงแค่ทางวัตถุภายนอกเท่านั้น ต้องรักษาศีลด้วยเพื่อการมีสุขภาพที่ดี

"แต่ทานศีลยังไม่พอ จะต้องเจริญจิตตภาวนาด้วย เพราะใครก็ตามที่สามารถฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้ต้องเกิดจากการฝึกฝนอบรมจิตมาเป็นอย่างดี และจิตที่ฝึกมาดีจะทำให้มีความสุขเสมอ มีบางคนเกิดมาบนกองเงินกองทองแต่ปัญญาอ่อน พิกลพิการ นั่นเพราะให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล บางคนรักษาแต่ศีลไม่เคยให้ทาน หน้าตาหล่อเหลาสะสวยแต่โง่ ฐานะดีแต่พอเจอปัญหาก็เอาตัวเองไม่รอดต้องฆ่าตัวตาย นั่นก็เป็นเพราะไม่รู้จักการฝึกจิตภาวนา"

ฉะนั้น จะทำบุญทั้งทีต้องทำให้ครบวงจรชีวิตจึงจะมีความสุข ความราบรื่น และบริบูรณ์ด้วยสิ่งที่ปรารถนาต้องการ

ที่มา : hunsa.com

07 กรกฎาคม 2552

9 เรื่องดีๆ ++ ผ่านครึ่งปี

ความหวังเกิดได้ทั้งจากจุดมุ่งหมายสิ่งที่เราอยากให้เป็นในอนาคต และจากการรู้จักหามุมมองด้านบวกในสิ่งที่ติดลบกับปัจจุบัน เพื่อประโลม เพิ่มพูนพลังใจนี่คือ 9 เรื่องดีๆ ในครึ่งปี ที่ติดลบ ขอชวนคุณมองมุมใหม่ ด้วยทัศนคติบวก แล้วคุณจะพบความหวัง กำลังใจในชีวิต


1.จ่ายน้อย…ได้มาก ด้วยเช็คสองพันบาท
เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินชีวิต และกระตุ้นการหมุนเวียนเม็ดเงินของธุรกิจในประเทศ รัฐบาลได้ออกนโยบายแจกจ่ายเงินในรูปแบบเช็คช่วยชาติ มูลค่าสองพันบาท ในเดือนเมษายน สิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นคือ การเพิ่มค่าเงินให้มีจำนวนมากกว่าตัวเลขที่ระบุ งานนี้นอกจากเช็คแล้ว ดูเหมือนทุกๆ คนก็ต่างช่วยกันเองในแบบ Win Win คือภาคธุรกิจก็ได้เม็ดเงินเพิ่มขึ้น ประชาชนก็สามารถจับจ่ายใช้สอยได้คุ้มค่า

2.ท่องเที่ยว…หรูหราในราคาเบาๆ
ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่ระดับผู้จัดการที่มีเงินเดือนสูง หรือใช้เงินล่วงหน้าในเครดิตการ์ด โอกาสจะยกครอบครัวไปเที่ยวในสถานที่สวยงาม โรงแรม รีสอร์ต ระดับมากดาว ที่โอนเอียงความสมบูรณ์แบบเพื่อกลุ่มนักเที่ยวชาวต่างชาติ ก็คงจะมีโอกาสน้อยนิด แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วในวันนี้ เพราะการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนนโยบายมาให้ความสำคัญกับลูกค้าภายในประเทศ จากผลกระทบเศรษฐกิจโลกตกต่ำ และการเมืองภายในที่วุ่นวาย คุณสามารถเสพสุขความหรูหราในราคาเบาๆ ด้วยบริการที่ให้เกียรติคนในประเทศมากขึ้น และซื้อแพ็คเกจทัวร์โปรโมชั่นเริดๆ แบบชนิดไม่ค่อยพบเห็นได้ในทุกจังหวัดท่องเที่ยวติดอันดับ ทั้งดีลตรงกับโรงแรม รีสอร์ต หรือผ่านบริษัทนำเที่ยว

3.ชาร์ตฟรี อาบฟรี
เวลามี เงินหายสักสามสี่พัน มันก็แค่เรื่องเล็ก แต่ในเวลาจน สตางค์ในกระเป๋าขาดไปแค่เฟื้องสลึงกลับทำให้ชีวิตลำบากได้สุดขั้วทีเดียว เรื่องนี้สะท้อนได้ดีกับการต้องมีรายจ่ายประจำในเวลาข้าวยากหมากแพง อย่าง ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า โชคดีที่ของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลจัดให้ยังมีอยู่ นั่นคือ การแจกจ่ายสาธารณูปโภคน้ำประปา ไฟฟ้า โดยไม่คิดค่าบริการสำหรับผู้ไม่มีรายได้ เราจึงไม่ถึงกับอัตคัดขัดสนหนักเท่าที่ควรจะต้องเป็น นี่คืออีกสิ่งดีๆ ที่เงินภาษีอากรได้กลับมาตอบแทนในวันอันแร้นแค้น ทำให้การเป็นอยู่ หลับนอน สะดวกสบายกว่าประชากรในหลายประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพัฒนา และนี่คือ สายรุ้งในสายฝนที่หล่อเลี้ยงชีวิตของใครหลายๆ คน

4.ของดีของไทยที่กลับมา
ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบว่าธรรมชาติยิ่งทรงคุณค่ามากกว่านั้น ความรู้ในทุกวันนี้จึงกลายเป็นการถอดรหัสธรรมชาติ และภูมิปัญญาพื้นบ้านจากตำรับสมุนไพร และยาโบราณที่เห็นได้ชัดคือ เครื่องสำอางในวงการความงาม ที่พยายามวิจัยคิดค้นสูตรบำรุงจากพืชพันธุ์มากชนิด การใช้สเต็มเซลล์ในไม้ดึกดำบรรพ์ฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และสุขภาพ รวมทั้งกระแสยาจากตำราพระไตรปิฎก นั่นหมายความว่าเราเริ่มเรียนรู้ และตระหนักในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและที่สำคัญกว่านั้น คือการแพทย์มีทางเลือกมากขึ้นหลายทาง ให้ทั้งประสิทธิภาพและราคาย่อมเยา แพทย์สมัยใหม่บางท่าน สามารถหายจากมะเร็งขั้นสุดท้ายได้ด้วยระบบชีวจิต และบางท่านหายจากการดื่มน้ำเปล่าตามสูตรควบคู่ไปกับการกินผักสมุนไพรในประเทศ และนี่ก็คืออีกหนึ่งความหวังในการเยียวยาสุขภาพของคุณด้วย


5.หันหน้าเข้าหา นำธรรมะมาเป็นที่พึ่ง
ไม่มีอะไรที่จะสอนและขัดเกลาคนเราได้ดีไปกว่าความทุกข์ และสิ่งที่ประโลมใจคือธรรมะ สกู๊ปข่าวจากโทรทัศน์หลายช่อง นำเสนอประเด็นของกลุ่มคนตกงานที่หันหน้าเข้าวัด ศึกษาธรรมะ นั่งสมาธิวิปัสสนา หนึ่งในตัวแทนของคนเหล่านั้นรู้สึกว่าการเข้าหาธรรมะ และใช้หลักความคิดของพระพุทธเจ้า ทำให้เธอหาความสุขได้ง่ายขึ้นกว่าสมัยที่มีเงินเดือนสูง บ้าน และรถเงินผ่อน เริ่มเข้าใจว่าความสุขของชีวิตก็คือการไม่ประมาท และอยู่กับความทุกข์ได้ในแบบไม่ทุกข์มาก แนวคิดดังกล่าวยังสร้างกระแสตื่นตัวให้กับเยาวชน และผู้ปกครองที่เล็งเห็นถึงการฝึกปฏิบัติธรรม ส่งผลต่อเนื่องไปถึงวงการศึกษา หลายสถาบันใช้หลักวิธีคิดวิธีสอนแบบผนวกธรรมะมากขึ้น รวมทั้งมีการจัดตั้งโรงเรียนแนวใหม่ที่ใช้หลักปริยัติต่างๆ มาเป็นแนวทางสร้างสรรค์หลักสูตร นับเป็นอีกความน่าชื่นใจ เพราะโลกและประเทศในทุกวันนี้ ที่วุ่นวาย ล้วนเกิดจากระดับคุณธรรมตกต่ำ ดังนั้นในอนาคตเราน่าจะมีสภาพสังคมที่สงบสุขมากขึ้น รวมทั้งอาจมีผู้นำประเทศใจซื่อมือสะอาด


6.ขนส่งสาธารณะแบบไม่คิดตังค์
ประชาชนยังได้ประโยชน์ในหลายๆ เรื่องในด้านการคมนาคมของภาครัฐบาล ถึงแม้หลายเสียงจะออกมาแสดงความคิดเห็นว่าในตอนแรกๆ ว่ามีน้อยเกินไป ทำแค่เพื่อสร้างภาพหรือเปล่า แต่ก็ยังมีการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ที่บริการรถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน และระบบการรถไฟที่ให้บริการรถไฟฟรีจากจังหวัดหนึ่งข้ามไปยังอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งแม้จะมีเพียงไม่กี่จังหวัด ไม่กี่เส้นทาง แต่หากว่าใครเคยใช้บริการแล้ว ก็ถือว่าคุ้มค่า ดีกว่าไม่มีฟรี! เอาซะเลย

7.แข็งแรงแบบยั่งยืน
กำกวมกันมานานกับพระราชดำริ เศรษฐกิจแบบพอเพียง แต่ในตอนนี้หลายคนเริ่มรู้จักจากการสูญเสียสิ่งที่เกินจำเป็น ทั้งบ้านหลังที่สาม รถยนต์คันที่สี่ หรือความสุขยามค่ำคืน จากสภาพจำยอมกลายเป็นการยอมรับ และค้นพบปรัชญาชีวิตที่ว่า ความสุขพึ่งตนเองแบบพอเพียงก็คือการใช้ชีวิตให้สมดุลกับความจำเป็น ความพึงพอใจ และสภาพการณ์รอบข้าง ดังนั้นในวิกฤตการณ์นี้ หลายครอบครัวจึงเริ่มให้คุณค่ากับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ละเลย โดยเฉพาะในด้านการดูแลจิตใจของตนเองและคนรอบข้าง คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า เมื่อสิ่งฟุ่มเฟือยถูกตัดลง การอยู่อย่างจำเป็นในแบบสมถะกำลังยกระดับสังคมในอนาคต

8.ความหวังแห่งศูนย์รวมใจเรารักในหลวง
ไม่ว่ากระแสการใส่เสื้อสีจะสร้างปรากฏการณ์อะไร แต่คงไม่มีเสื้อไหนที่ทรงคุณค่าเท่าเสื้อทุกสีที่สกรีนคำว่าเรารักในหลวง และเรารักประเทศไทย ท่ามกลางความแปลกแยกทางความคิด หลายคนที่อยู่คนละขั้วเริ่มถอยออกมาจากจุดเดิม และมองภาพรวมของประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระประมุขศูนย์รวมใจประชาชน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ การสนับสนุนของกลุ่มคนในชุมชนพันทิพ ที่ขึ้นกระทู้แนะนำ และชักชวนกันสวมเสื้อเรารักในหลวง และประเทศไทย กระแสดังกล่าวกลับมาฮอตอีกครั้ง ด้วยความภาคภูมิใจ จากการได้เห็นชาวต่างชาติในหลายประเทศ ยังชื่นชมและสวมใส่เสื้อตราสัญลักษณ์ ตัวอย่างเช่น ในซีรี่ส์เรื่อง Hero Sp ทาคุยะ นักแสดงนำ ใส่เสื้อเรารักประเทศไทย
นักร้องเกาหลีวง2 PM ใส่ Wristband เรารักในหลวงขึ้นเวทีคอนเสิร์ตในประเทศของตัวเองกันทั้งวง ในซีรี่ส์ฮิต Shibatora นักแสดงใส่เสื้อเรารักในหลวงเข้ากล้องถ่ายทำ หนึ่งในนั้นยังรวมนักร้องนักแสดงขวัญใจญี่ปุ่น นาโอฮิโตะ ฟูจิกิ ด้วย


9.อิสระสุขในความฝันเก่า
การศึกษาบ่อยครั้งก็ทำให้เราต้องมีชีวิตและประกอบอาชีพตามระบบ ลืมงานแห่งความฝัน เพราะการขาดความรู้และประสบการณ์ ทำให้ไม่กล้าเริ่มต้น และแม้ในขณะที่รายได้ และตำแหน่งมั่นคง ใครหลายคนก็ขาดความกระตือรือร้น หรือกลัวที่จะเสี่ยงออกมาทำในสิ่งที่ใจเรียกร้อง ทั้งๆ ที่กำลังเป็นทุกข์กับสิ่งที่หาเลี้ยงชีพ ความจริงก็คือในโลกนี้ไม่มีอาชีพไหนที่มั่นคงร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในคนทำงานที่ไม่มีความสุขและพรสวรรค์ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาของการลดพนักงาน พวกเขาจึงได้รับจดหมายเลิกจ้าง พร้อมเงินชดเชยสำหรับตั้งต้นชีวิตใหม่ ในขณะที่กำลังกังวลใจกับอนาคต มีไม่น้อยที่เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง เริ่มเรียนรู้ และสร้างอาชีพใหม่จากความฝันเก่าที่ลืมเลือน พร้อมกันนั้นพวกเขาก็พบว่า นี่คือสิ่งที่เป็นทั้งคุณค่า ความมั่นคง และความสุข ที่ได้รับการเติมเต็ม ทั้งหมดน่าจะสรุปได้ตรงกับคำว่า โอกาสในวิกฤติ


ขอบคุณข้อมูลจาก : women plus