03 สิงหาคม 2552

แรงบันดาลใจของ แทนคุณ จิตต์อิสระ

พลังแห่งแรงบันดาลใจ
พิธีกร แทนคุณ จิตต์อิสระ กับ
พุทธทาสภิกขุ

เมื่อเก้าปีที่แล้ว ตอนพ่อเสียชีวิต ผมไม่มีเวลาเตรียมใจเพราะพ่อล้มป่วยแล้วจากไปเร็วมาก ผมน้ำตาไหลตลอดเวลาที่อยู่ในงานศพ กระทั่งมีคนยื่นหนังสือ คู่มือมนุษย์ และ จิตว่าง ของท่านพุทธทาสมาให้ ผมอ่านจนหยุดร้องไห้ได้ในวันที่ห้า

แล้วก็เริ่มร้องไห้ใหม่ในวันที่หก แต่ร้องออกมาด้วยความปีติ ขณะที่มือซ้ายถือหนังสือ พุทธประวัติฉบับเยาวชน ของท่านพุทธทาส ผมนั่งอ่านไปแล้วมือขวาก็หย่อนกระดาษเงินกระดาษทองลงเตาเผาตามความเชื่อของบรรพบุรุษ ความสว่างทางปัญญาเกิดขึ้นเมื่อเผชิญความทุกข์ใจ ต้องวางทิ้งทุกข์ไปให้เร็วที่สุด โดยไม่รู้วิธีว่าทำอย่างไรจึงจะผ่านพ้นไปได้ ในวัย 21 ซึ่งมีภาระต้องดูแลแม่และพี่สาวแทนพ่อ

หลังจากนั้น ผมอ่านหนังสือธรรมมะของพุทธทาสหลายเล่มมาก ท่านสอนธรรมในแนววิทยาศาสตร์ ทุกตัวอักษรในแต่ละบรรทัดที่อ่านนั้นเข้าใจง่าย ถ้อยคำกระชับ และชัดเจน

ในหนังสือ พุทธประวัติฉบับเยาวชน เล่าถึงเรื่องของหญิงคนหนึ่งซึ่งสูญเสียลูกชาย ไปร้องไห้คร่ำครวญขอให้พระพุทธองค์ทำยาวิเศษ จนพระองค์รับปากว่าจะทำให้ แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาจากบ้านที่ไม่มีใครเคยเสียชีวิต เมื่อหาไม่ได้ เธอต้องย้อนกลับมาหาพระองค์ และยอมรับในท้ายที่สุดว่าได้รับยาวิเศษแล้ว นั่นคือธรรมมะที่ทำให้เข้าใจว่าความตายมีอยู่ในทุกที่ เกิดขึ้นกับทุกคน และเกิดได้ทุกเวลา

ผมหันหลังให้งานแสดงในวงการบันเทิงเพื่อมุ่งเรียนภาษาจีนตามที่พ่อเคยขอไว้ ผมบวชสองครั้ง ครั้งแรกเพื่อเป็นกุศลบุญให้คุณพ่อในทางโลก ครั้งที่สองด้วยศรัทธาท่านพุทธทาส คุณพ่อทางธรรม และเพื่อศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ให้เข้าใจลึกซึ้งทั้งทางหลักธรรมของศาสนาและฝึกรักษาศีล

พุทธทาสเคยกล่าวว่า ท่านยอมเป็นทาสรับใช้พระพุทธศาสนา ท่านเป็นปราชญ์ทางธรรมที่ยิ่งใหญ่ ท่านสร้าง "โรงมหรสพทางวิญญาณ" ไว้ที่สวนโมกข์เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนสติ และชี้แนะให้พวกเราเห็นกฎแห่งกรรมอันเป็นธรรมชาติ แนะให้นำหลักธรรมเป็นเครื่องนำทางชีวิต อย่ามองย้อนหลัง มองไปข้างหน้า ไม่มีใครย้อนอดีตได้ จะกลับไปหาอดีตก็ไม่ได้

ผมไม่ต้องการยึดติดกับชื่อเสียงในอดีต เปลี่ยนความคิดที่ว่าถ้ามีเงินมากแล้วจะมีความสุข เพราะเรียนรู้จากความสูญเสียว่ามันไม่ใช่ จากที่เคยหาเงินได้เดือนละแสนจากงานบันเทิง มารับงานครูผู้ช่วยสอนภาษาจีนได้ชั่วโมงละ 150 บาท ผมเปลี่ยนชื่อเอกชัย บูรณผาณิตเป็น แทนคุณ เพราะคิดถึงพระคุณของบิดาและใช้นามสกุลว่าจิตต์อิสระ คือใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือสิ่งที่มีอยู่ใด ผมหันมาใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นคนใหม่ จริงใจ และช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่โอกาสอำนวย

โดย คุณานันท์ แสงอาทิตย์ http://www.readersdigest.co.th

แรงบันดาลใจของ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง

พลังแห่งแรงบันดาลใจ
ดาราและผู้กำกับ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง กับภรรยา
ธัญญา (โสภณ) วชิรบรรจง

ผมก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยความบังเอิญ คือสมัครเข้ามาเล่นเกมโชว์แล้วก็เลยตามเลยมารับงานแสดง เป็นนักร้อง นักแสดง และผู้กำกับ คนที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้รู้ใจใกล้ชิดก็มีเธอคนเดียว ภรรยาของผม เธอรู้จักผมในฐานะเพื่อน เลื่อนฐานะเป็นแฟน รู้จักกันนานแปดปีจึงตกลงใจแต่งงานกัน ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนานกว่า 20 ปีแล้ว พออยู่กันนานเข้า ในท้ายที่สุด เราก็กลับกลายมาเป็นดำรงชีวิตคู่อยู่ด้วยความเป็นเพื่อนกันจริงๆ

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าผมกลัวภรรยา แท้จริงเป็นการให้เกียรติกัน อยู่ในบ้านเขาเป็นผู้นำ เสียงดังกว่าและใหญ่กว่าผมแน่นอน ผมยินยอมเองเพราะไม่มีความรู้เรื่องงานของแม่บ้าน

ถ้าเป็นเรื่องงาน ภรรยาเชื่อมั่นในตัวผมมากและไม่เข้ามาก้าวก่าย เธอรู้ถึงความสามารถของผมว่าจัดการได้ แต่ก็มีส่วนช่วยเหลืออย่างมาก เพราะเธอรู้งานดีกว่าผมว่าต้องจัดการบริหารการเงินหรือบุคคลอย่างไร ส่วนผมรักสบายและชอบอยู่เล่นสนุกกับลูกทั้งสองคนที่บ้าน ภรรยาจะคอยบอกว่าว่าตอนนี้ต้องทำอะไร แนะนำว่าทำสิ่งนี้และสิ่งนั้น เธอเหมือนกับรับภาระหน้าที่ในส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปเลย

ผมขาดความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง มือถือก็ไม่ใช้ ภรรยาจะคอยบอกรายละเอียดว่าวันนี้ต้องทำอะไร ถ้าผมอยากไปไหนหรือทำอะไรก็จะบอกเธอก่อน จัดตารางเวลาว่าแต่ละวันมีอะไรที่ผมต้องทำบ้าง

พอเรามาเปิดบริษัทเป็นผู้จัดและกำกับละคร เธอก็เข้ามาช่วยจัดการ งานที่เธอทำไม่ได้แต่รู้ว่าผมทำได้ก็จะเข้าบอกแกมบังคับให้ผมทำ เธอรู้และดูออกว่าผมมีความสามารถจริงในระดับไหน แล้วจะบอกผมสั้นๆว่า "เธอต้องทำได้แน่"

ไม่ว่าเนื้อหาของบทละครหรือบทภาพยนตร์จะเป็นแนวไหน เธอเป็นคนแรกที่อ่านก่อน พอตัดสินใจได้แล้วก็จะกล่าวย้ำกับผมอย่างมั่นใจ แน่นอนว่าผมก็ทำได้ตามที่เธอเชื่อมั่นจริงๆ

โดย คุณานันท์ แสงอาทิตย์ http://www.readersdigest.co.th/

แรงบันดาลใจของ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์

พลังแห่งแรงบันดาลใจ
ดารานักแสดง เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ กับ
อำไพ ยอดบุตร แม่ของอดีตพระเอก อโนเชาว์ ยอดบุตร

ดิฉันเป็นอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยในโครงการ "บลูแองเจิล" ของโรงพยาบาลรามาธิบดีมากว่าสามปี เพราะเห็นตัวอย่างจากคุณแม่ของอโนเชาว์ ยอดบุตร เพื่อนดาราที่ประสบอุบัติเหตุจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ดิฉันเป็นนางเอกที่แสดงคู่กันและประสบอุบัติเหตุในคราวนั้นด้วย แต่ไม่ได้รับอันตรายร้ายแรง

ถ้ามีเวลาว่างจากงาน ดิฉันจะไปเยี่ยมคุณแม่ ให้กำลังใจและช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายมาโดยตลอด เป็นเวลานานกว่า 25 ปีที่อโนเชาว์นอนป่วยอยู่ เห็นคุณแม่ดูแลลูกชายที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ดิฉันรู้สึกประทับใจมาก นับเป็นปาฏิหาริย์จากพลังรักอันยิ่งใหญ่ของแม่ผู้ดูแลเอาใจใส่อย่างดี ส่งแรงใจให้เขาต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปแม้สมองและร่างกายไม่รับรู้

อโนเชาว์เป็นเพื่อนร่วมงาน ดิฉันไม่รู้จักเป็นส่วนตัว แต่ไปเยี่ยมเยียนและพูดปลอบโยนเพื่อช่วยคลายทุกข์ให้เขาเสมอ เพราะคิดว่าการให้ความช่วยเหลือขณะมีชีวิตอยู่ย่อมดีกว่าจากไปแล้ว

สี่ปีที่แล้ว ดิฉันป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลรามาฯ ช่วงนอนรักษาตัวอยู่สองเดือนมีเพื่อนๆและประชาชนมาเยี่ยมให้กำลังใจก็รู้สึกเหมือนเกิดใหม่และตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องทำงานตอบแทนสังคม เมื่อเราเป็นคนของประชาชนก็ต้องช่วยสังคม เกิดมาต้องไม่เห็นแก่ตัว

ต่อมา ดิฉันทราบว่าทางโรงพยาบาลเปิดหน่วยงานผู้ป่วยสัมพันธ์และรับคนสนใจอาสาทำงาน จึงรีบขอเข้ามาเป็นอาสาสมัครบลูแองเจิลทันที ก่อนทำหน้าที่ปลอบใจให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้ป่วยเบื้องต้นที่เข้ามาแผนกฉุกเฉิน ดิฉันต้องเข้ารับการอบรมวิธีปฐมพยาบาลผู้ป่วยก่อน ตอนแรก ทางแพทย์ไม่แน่ใจว่าดิฉันจะทำงานนี้ได้ดีพอ เพราะเห็นว่าเป็นงานอยู่กับคนป่วยคนบาดเจ็บเลือดไหลและอยู่ในสภาพแวดล้อมโรงพยาบาลรัฐบาลซึ่งไม่สะดวกสบายเหมือนเอกชน โชคดีที่ดิฉันไม่แพ้กลิ่นยาหรือกลัวเลือดก็ทำหน้าที่นี้มาได้นานเกือบสามปี

ทุกวันเกิดและยามว่างจากงาน ดิฉันจะเข้าทำหน้าที่ในแผนกฉุกเฉินตั้งแต่ช่วงเย็นจนดึกดื่นหรือเกือบสว่าง ช่วยเหลือโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ปกติ ดิฉันเป็นคนร่าเริงและมีรอยยิ้ม ก็ใช้สิ่งที่มีนี้ให้เกิดประโยชน์ เมื่อมีคนป่วยร้องโอดโอยหรือแสดงอาการเจ็บปวด ดิฉันจะเข้าไปกล่าวสวัสดีและพูดปลอบใจถามถึงอาการว่าเป็นอย่างไร ดิฉันรู้นะคะว่าคุณเจ็บแต่ก็ต้องอดทน ทำใจให้สบายเพราะตอนนี้อยู่ในมือคุณหมอแล้ว ได้รับการรักษาแล้วอีกไม่นานก็จะหายเป็นปกติ บางคนไม่ชอบดาราก็ทำหน้าบึ้งเข้าใส่ ดิฉันจะยิ้มเข้าไปหาแล้วบอกว่ายิ้มหน่อยสิคะ อดไม่ได้ก็ต้องยิ้มตอบกลับมาทุกคน

ดิฉันอุทิศตัวให้กับงานนี้ ช่วยให้คนป่วยมีกำลังใจและมีความสุขมากขึ้น พอเห็นเขาสุขภาพดีขึ้นก็กลับได้รับความสุขใจกลับคืนมามากกว่าเดิม ทำให้ตัวเองสุขภาพจิตดีและสุขภาพกายก็ดีมากขึ้นด้วย ดิฉันเชื่อมั่นว่าความสุขที่มอบออกไปมากเท่าไร ยิ่งได้ตอบกลับมากขึ้นหลายเท่า และคนเราต้องทำแต่ละวินาทีให้ดีที่สุด

โดย คุณานันท์ แสงอาทิตย์ http://www.readersdigest.co.th