03 สิงหาคม 2552

แรงบันดาลใจของ นิติพงษ์ ห่อนาค

พลังแห่งแรงบันดาลใจ
นักแต่งเพลง นิติพงษ์ ห่อนาค กับ
เรวัติ พุทธินันทน์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแกรมมี่

ผมเป็นนักแต่งเพลงอาชีพคนแรกของเมืองไทยที่มีเงินเดือนประจำ พี่เต๋อ หรือเรวัติ พุทธินันทน์ มองเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในตัวผมมาก เขาเป็นแบบอย่างของคนทำงานที่มีความกล้าคิดสิ่งใหม่และลงมือทำจริงจังเพื่อให้วงการเพลงไทยสากลเปลี่ยนแปลง มั่นใจที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ห่วงเรื่องล้มเหลวผิดหวังหากไม่ประสบความสำเร็จ เขายื่นโอกาสที่ดีให้ผมแสดงออกถึงพลังในการสร้างสรรค์บทเพลงออกมาได้มากมายยาวนานเกือบ 30 ปี (ร่วมงานตั้งแต่ปี 2526)

ตอนแรก ผมเขียนบทและกำกับรายการโทรทัศน์อยู่ที่บริษัทเจเอสแอล รู้สึกชื่นชมพี่เต๋อในฐานะนักร้องอาชีพตั้งแต่อยู่กับวงดิอิมพอสสิเบิลและวงโอเรียนทัลฟังก์ เรารู้จักกันเป็นทางการจากงาน พี่เต๋อเป็นแขกรับเชิญในรายการเพชฌฆาตความเครียด ความสุภาพเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใสและอารมณ์ดีทำให้ผมประทับใจ และติดตามฟังพี่เต๋อร้องเพลงที่คลับในโรงแรมนานเป็นปีจนเราสนิทสนมกันดี

ต่อมา ผมกับเพื่อนๆร่วมกันตั้งวงเฉลียงและออกอัลบั้มชุดแรก เรานำบทเพลงไปให้พี่เต๋อลองฟัง ซึ่งได้ความเห็นสั้นๆว่า "ผมชอบนะ" ส่วนพี่เต๋อกับเพื่อนก็ก่อตั้งบริษัทแกรมมี่ขึ้นมา

ในปี 2526 พี่เต๋อขอให้ผมแต่งเพลงให้สามเพลงในอัลบั้ม "เต๋อ 1" โดยกำหนดแนวคิดหลักมาให้ก่อน ผมเล่นดนตรีได้จึงไม่รู้สึกกดดัน พออ่านเนื้อเพลงที่ผมแต่ง พี่เต๋อจะพูดดีมากว่าพี่ชอบงานนี้แต่ขอแก้หรือเพิ่มเติมบางคำให้เหมาะกับเสียงดนตรี ผลงานออกมาน่าพอใจ และผมได้โอกาสแต่งเพลงใหม่ขายให้เรื่อยมาอีกหลายปี ผมยังเก็บแผ่นเสียงแรกที่มีลายเซ็นของพี่เต๋อพร้อมประโยคว่า "หวังว่าต่อไปเราคงได้ร่วมงานกัน"

วันหนึ่ง พี่เต๋อโทรศัพท์มาหาผม อธิบายยาวนานเกี่ยวกับความมั่นคงของบริษัทฯและเป้าหมายที่วางไว้ในอนาคต แล้วสรุปท้ายด้วยคำเชิญชวนมาร่วมงานด้วย ผมไม่ลังเลที่จะตอบตกลงเพราะรอคอยคำนี้มานานแล้วการร่วมทำงานกับพี่เต๋อทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงมากพอๆกับที่วงการเพลงไทยเติบโตรวดเร็วมาก แล้วก็เข้าใจว่าทำไมใครๆก็รักพี่เต๋อ นอกจากอัธยาศัยที่ดีแล้วยังเป็นคนเก่งมาก มีสมาธิและคิดอะไรล้ำสมัยตลอดเวลา เป็นผู้นำที่ประนีประนอมแต่ก็เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองสูงมาก ซึ่งทำให้บริษัทก้าวหน้าทันกระแสโลก ผมเรียนรู้ในความซื่อตรงและทำงานเป็นระบบชัดเจน

พี่เต๋อเปลี่ยนแนวทางการทำงานศิลปะเพลงให้สอดประสานกับวิธีดำเนินธุรกิจบันเทิงอย่างลงตัว เขาสร้างระบบทำงานเพลงแบบใหม่โดยกำหนดท่วงทำนองขึ้นมาก่อน และอธิบายว่า "ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ จึงมีเสียงสูงต่ำขึ้นๆลงๆ หากจะใส่ทำนองทีหลังก็จะถูกตีกรอบเรื่องจังหวะเสียงดนตรี" แล้วผมก็เขียนถ้อยคำออกมาจนสอดคล้องกับเสียงตัวโน้ตแต่ละตัว ผลงานเพลงของเราจึงสร้างความแปลกใหม่และปลุกกระแสคนฟังที่กำลังนิยมแนวเพลงตะวันตกให้หันมายอมรับมากขึ้น
ผมทำงานอยู่เบื้องหลังมาตลอดและไม่คิดว่าวันหนึ่งคนฟังจะสนใจว่าใครเป็นคนแต่งเพลง ทุกวันนี้ ผมยังไม่รู้จักคำว่าหมดไฟ ไม่ต้องมีสายลมแสงแดดหรือสายน้ำก็หลั่งไหลถ้อยคำออกมาได้ถ้ามีสมาธิที่ดี

ผมไม่เคยคิดว่างานแต่งเพลงจะเป็นอาชีพที่สร้างชื่อเสียงและให้ชีวิตมั่นคงได้มากขนาดนี้ พี่เต๋อเปิดโลกใหม่ให้วงการเพลงไทย ผมซึมซับหลายสิ่งดีๆจากเขา จนบางคนทักว่าผมมีบุคลิกและวิธีเจรจาเวลาทำงานคล้ายพี่เต๋อ แม้พี่เต๋อจากไปแล้ว แต่เพื่อนฝูงพี่น้องที่เคยร่วมงานกับเขา รวมทั้งผมก็ยังระลึกถึงเขาอยู่ โดยเฉพาะเวลาที่เจอปัญหาอะไรยากๆ ยิ่งคิดถึง

โดย คุณานันท์ แสงอาทิตย์ http://www.readersdigest.co.th

แรงบันดาลใจของ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์

พลังแห่งแรงบันดาลใจของ
แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ กับ
พ่อ สาทร ศรศรีวิชัย


ตั้งแต่เด็กๆ พ่อปลูกฝังแนวทางการใช้ชีวิตของดิฉันให้อยู่บนรากฐานสำคัญ คือ สอนให้เกรงกลัวต่อบาปและกล้าที่จะทำความดี ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องอย่างกล้าหาญ เมื่อเจอปัญหาต้องรีบแก้ไขไม่ใช่เดินหนี สอนให้จงรักภักดีและรักหวงแหนแผ่นดิน นอกจากนี้ยังสอนให้เรียนรู้การใช้ความคิดอย่างเป็นระบบ

ดิฉันจำได้ว่าตอนอายุเก้าขวบ พ่อจะเลือกภาพยนตร์ที่มีสาระ บังคับให้ดูอย่างตั้งใจ เก็บรายละเอียด แล้วสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากหนัง ทำให้ดิฉันรู้จักจัดกระบวนความคิดและเรียบเรียงความสำคัญอย่างเป็นขั้นตอนจนกลายเป็นคนละเอียดรอบคอบและมีระเบียบ ซึ่งเป็นประโยชน์ในเวลาทำรายงานส่งคุณครู สามารถคิดและเขียนด้วยตัวเอง

พ่อเข้มงวดมากในเรื่องการรักษาศีล ฝึกให้นั่งสมาธิและสวดมนต์ ขณะเดียวกันให้อิสระในการเลือกดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรม อย่างเช่นไม่ห้ามถ้าดิฉันอยากฟังเพลงเสียงดังแต่ต้องอยู่ในบ้าน หรือพ่อยินยอมจ่ายค่าสมาชิกนิตยสารโว๊ก ดิฉันจึงได้อ่านและดูภาพสวยๆ มีโอกาสซึมซับภาพถ่ายเชิงศิลป์ ซึ่งทำให้ดิฉันชอบถ่ายภาพและแฟชั่น และมีสไตล์การแต่งกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แม้แต่การเลือกเรียนแพทย์สาขานิติเวช ดิฉันก็เลือกเอง ไม่กลัวเพราะเชื่อมั่นในตนเองว่าทำได้ ยืนหยัดและเข้มแข็งในการทำงานตลอดมาโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าคาดหวังเพียงเงิน เพราะพ่อสอนให้รู้จักการเสียสละเพื่อคืนสู่สังคมในรูปการกุศล และดิฉันก็หวังให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ผลักดันจนเกิดขึ้นมาได้เกือบเจ็ดปีนี้เป็นที่พึ่งของประชาชนทุกคน

เมื่อเจออุปสรรคระหว่างการทำงาน ยังมีคำสอนของพ่อไว้เตือนใจเสมอว่า "อย่าหมดหวังที่จะตั้งใจทำดี พบสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะเดินผ่านไม่ได้ มีที่มากมายในเมืองไทยให้เราทำดี"

โดย คุณานันท์ แสงอาทิตย์ http://www.readersdigest.co.th/

01 สิงหาคม 2552

เนื้อคู่ฉันยังไม่เกิดจริงหรือ


ความหมายของคำว่า ' เนื้อคู่ '
โดย อ.ประภัตร รหัสดาว ขออนุญาตให้ความหมายของคำว่า ' เนื้อคู่ ' ในมุมมองของผมสำหรับท่านที่เข้ามาดูดวงครับ คำว่า ' เนื้อคู่ ' หลายคนจะให้ความหมายว่าคือคนที่จะได้แต่งงานออกหน้าออกตาด้วย (ทั้งจดทะเบียนสมรส หรือ ไม่จดทะเบียนสมรสก็ตาม) หรือได้ใช้ชีวิตร่วมกัน หรือ เป็นคนที่ส่งเสริม อุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน เคยสังเกตไหมครับว่า ช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นมีคนเดินเข้ามาในชีวิตมากมายหลายคน บางคนเข้ามา 1 ปีแล้วก็เลิกกัน บางคนคบกัน 6 เดือนแล้วเค้าก็จากเราไป บางคนเจอกันแค่อาทิตย์เดียวแล้วเราก็ทิ้งเค้าไปเอง บางทีคุณก็คบหาคนรู้ใจในเวลาเดียวกันถึง 3 คน บางคนแต่งงานกันมาแล้ว 20 ปีก็เลิกกันไป แต่งงานอีกทีตอนอายุ 70 ปีอยู่กินกันกับคนใหม่ได้แค่ 2 ปีแล้วก็ล้มหายตายจากกันไป
นี่เป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ที่อยากให้ลองคิดตามครับ

คิดออกหรือยังครับว่าคำว่าเนื้อคู่มันอยู่ตรงไหน * ในมุมมองของผมแล้วคำว่าเนื้อคู่ ' ไม่มีครับ ' มีแต่คำว่า ' กรรม '

ทั้งกรรมดี และ กรรมไม่ดี

บางคนทำกรรมดีกันมาในอดีต ในภพ ในชาติที่แล้ว ช่วงประจวบเหมาะได้มาเจอกันในภพในชาตินี้ ก็อยู่ด้วยกันอย่าง! มีความสุข ตามกรรมของตัวเองเป็นตัวกำหนดว่าจะได้อยู่กันนานแค่ไหน

บางคนอยู่ด้วยกันก็มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง มีแต่เรื่องเดือดร้อนแต่ทนอยู่กันได้หลายปี
นั่นก็เกิดจากกรรมในอดีตแต่เป็นกรรมไม่ดีต่อกัน ภพนี้ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกัน

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้พอจะสรุปคำว่าเนื้อคู่ ( ของหนุ่มสาวยุคนี้ ) ได้ดังนี้ครับ

ความหมายที่ 1 คือ คนที่มีกรรมดีต่อกันในอดีต ภพนี้ชาตินี้กลับมาเพื่อการอิ่มเอิบใจซึ่งกันและกัน ดูแล้วน่าจะใกล้เคียงกับ คำว่า เนื้อคู่ที่หลาย ๆ คนถามหามากที่สุด ส่วนจะเจอเมื่อไร ได้อยู่ร่วมกันนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของกรรมในอดีตเป็นตัวกำหนด

ความหมายที่ 2 คือ คนที่มีกรรมไม่ดีต่อกันในอดีต ภพนี้ชาตินี้จึงกลับมาเพื่อทวงคืน เพื่อชำระหนี้ จะสังเกตว่าคู่ประเภทนี้อยู่ด้วยกันแล้วมีแต่เรื่องเดือดร้อนทำอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่เรื่องเสียเงิน เสียใจ เสียเวลา เสียความรู้สึก แต่คนเรามักจะคิดว่าคนประเภทนี้ไม่ใช่คู่เรา เป็นที่มาของคำถามว่า 'เมื่อไรจะเจอคู่ซะที ' ซึ่งที่จริงแล้วคนที่เผชิญอยู่ในความหมายที่ 2 นี่แหละก็คือคู่เหมือนกัน แต่เป็นคู่เวรคู่กรรม

ดังนั้น ผมบอกได้เลยว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของเราทุกคนเราจะได้พบกับเพศตรงข้าม หรือ แม้แต่เพศเดียวกัน ในลักษณะคู่รัก ไม่น้อยกว่า 1 คน ในช่วงชีวิตนี้ก่อนสิ้นอายุขัยแน่นอน แล้วจะไปแคร์อะไรละครับ ถึงเวลาคนดี ๆ ที่เราตามหาเค้าจะมาเอง
ในทำนองเดียวกันไอ้คนที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ดั่งใจแต่ต้องทนคบอยู่ทุกวันนี้สักวันเมื่อชดใช้กันหมดแล้วเค้าก็จะไปเอง
ช่วงสูญญากาศที่ยังไม่มีใครมาเชื่อมต่อละมั้งที่ทำให้หลายคนวิตกกังวล จึง เป็นที่มาของคำถามว่า เมื่อไรจะเจอ คำแนะนำในยามที่คบหาใครอยู่ ไม่ว่าเค้าจะดี หรือไม่ดี ขอให้ตัวคุณทำดีต่อเค้าให้มากที่สุด เพราะเค้าจะไม่ได้มาวุ่นวายกับเราตลอดไปหรอกครับ อย่างน้อยกรรมดีที่มีต่อกันในวันนี้จะส่งผลให้คุณได้อิ่มเอิบในวันข้างหน้าได้

ในทางกลับกัน !

ถ้าได้เจอใครที่เรารู้สึกดี รู้สึกรัก รู้สึกห่วงใยเค้า รู้สึกคิดถึงเค้าตลอดเวลาแล้วละก็ รักเค้าให้มากๆครับ ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่งอาจจะต้องผิดหวัง เพราะถึงแม้จะไม่มีอะไรมาพรากคุณ และเค้าก็ตาม อย่างน้อยความตายก็เตรียมพลัดพรากคุณและเค้าในวันหนึ่งอยู่แล้ว ขอให้ทุกท่านฉลาดที่จะใช้ชีวิตคู่และรู้เท่าทัน..