28 พฤศจิกายน 2552

10 เทคนิคไม่ให้แบตเตอรี่ BB หมดเร็ว



กระแสแบล็คเบอรี่ (BlackBerry) สุดฮ็อตแห่งยุคกำลังอินสุดสุดเอไอเอส โดย สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส เอาใจสาวก BB ด้วยการจัดเวิร์กช็อป "AIS BlackBerry Day" รวมพลคนรักแบล็คเบอรี่ ร่วมอัพเดตทริกการใช้งาน BB คู่กาย โดยกูรูเชี่ยวชาญ ที่โรงแรมพูลแมน เมื่อเร็วๆ นี้ ... เราสรุปย่อๆ ไว้ให้อ่านกันแล้ว

แนะนำข้อปฏิบัติง่ายๆ เพื่อการประหยัดแบตเตอรี่ ได้แก่ เรื่องของไฟแบ๊คไลท์สามารถช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ถึง 40% โดยตั้งค่าปรับลดความสว่างลง-ให้หมดระยะเร็วขึ้น-หรี่ลงแบบอัตโนมัติ และปิดสัญลักษณ์แสดงความครอบคลุมไฟ LED ทั้งควรตั้งค่า ปิดเสียงปุ่มกด, ปิดเสียงหมุนบอล, ลดจำนวนครั้งของเสียงเตือน, ลดจำนวนครั้งของการสั่น เพื่อช่วยยืดการชาร์จไฟได้ จากทุกวันเป็น 2-3 วัน/สัปดาห์ หรือคนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานก็อาจใช้ได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์

บางคนที่ใช้ BB อาจจะมีปัญหาเครื่องช้าอยู่บ่อยๆ แก้ไขได้โดย เลือกลบแอพพลิเคชั่นที่ไม่รู้จัก หรือไม่ได้ใช้งานออกไปก่อน อย่าเสียดาย เพราะการเพิ่มแอพลิเคชั่นใหม่ๆ เข้าไปนั้นทำได้ง่ายหลายวิธี หลังจากลบแล้วควร Reboot เครื่องใหม่ทุกครั้ง เพื่อให้เครื่องจัดการเคลียร์ขยะที่ตกค้างออกไป หลังจากการใช้งานเบราเซอร์ หรืออินเตอร์เน็ตแล้ว หลายคนกดปุ่มวางสายทันทีเพื่อออก ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะระบบยังทำงานอยู่ วิธีที่ถูกจึงควรกดที่ Menu และ Close ก่อนทุกครั้ง ซึ่งเครื่อง BB มีการบันทึกทุกอย่างที่ใช้งาน จึงต้อง Clear Log หรือลบประวัติการใช้งาน โดยกด Alt ค้างไว้ และกด LG จนกว่า List ทั้งหมดขึ้นมาและ Delete ทิ้งทั้งหมด วิธีนี้มีส่วนช่วยให้เครื่องเร็วขึ้น ส่วน Short Cut ช่วยให้สะดวกรวดเร็ว ใช้บ่อยก็เช่น คุณสาวๆ ที่พกไว้ในกระเป๋าสะพายสามารถล็อคปุ่มกดง่ายๆ ด้วยการกด A ค้างไว้ หรืออยากแสดง Pin ของเครื่องไว้แลกกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็วก็ให้กด Alt + Shift + H หรือระหว่างการพิมพ์ 2 ภาษา ก็สามารถกด Alt + Enter เพื่อเลือกภาษาได้ง่ายดาย หรือ Restart เครื่อง ด้วยการกด Alt + Shift + Delete เป็นต้น
10 เทคนิคไม่ให้แบตเตอรี่ BB หมดเร็ว

1.ลดความสว่างของไฟแบ๊คไลท์โดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Backlight Brightness > 10

2.ลดไฟแบ๊คไลท์หมดระยะเวลาโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Backlight timeout -> 20sec

3.เปิดไฟแบ๊คไลท์หรี่ลงโดยอัตโนมัติโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Auto Dim Backlight > ON

4.ปิดสัญลักษณ์แสดงความครอบคลุม LED โดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > LED coverage indicator > OFF

5.ปิดเสียงปุ่มกดโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Key tone > OFF

6.ปิดเสียงหมุนบอลโดยเข้าผ่านเมนู Options > Screen/Keyboard > Audible roll > OFF

7.ปิดไม่สั่น+เสียงนอกซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task โดยเข้าเมนู Profiles >
Advanced > (Active) > Out of Holster > OFF

8.ลดจำนวนเสียงบี๊บนอกซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task .. เข้าเมนู Profiles > Advanced > (Active) > Number of Beeps > 1

9.ลดจำนวนครั้งที่สั่นนอกซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task ?เข้าเมนู Profiles > Advanced > (Active) > Number of Vibrations > 1

10.ลดจำนวนเสียงบี๊บในซองหนังของ Phone, SMS, MMS, BBM, E-Mail, Browser, Task ?เข้าเมนู Profiles > Advanced > (Active) > Number of Beeps > 1


ขอบคุณข้อมูล : เอไอเอส

25 พฤศจิกายน 2552

โรคชอบเปรียบเทียบ


การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เรามักจะอยากรู้ว่าคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อนฝูงของเราได้ดิบได้ดีไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เขาขับรถอะไร ได้ตำแหน่งระดับไหนแล้ว ลูกๆ ของเขาเรียนโรงเรียนอะไร สอบเข้าอะไรได้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเราเองว่าเราดีกว่าหรือด้อยกว่า และก็เป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะดีกว่าคนอื่น แต่หลายๆ ครั้งการเปรียบเทียบทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราด้อยกว่าคนอื่น

ความรู้สึกแบบนี้มักเกิดเมื่อเราเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีดีมากกว่าเรา โดยเฉพาะเป็นการมีในสิ่งที่เราอยากมี แต่ยังไม่มี หรือยังมีไม่พอ และโดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่าคนคนนั้นเป็นคู่แข่งด้วย เช่น เราคงไม่รู้สึกด้อยเวลาได้ข่าวนักเรียนไทยได้เหรียญทองชีวโอลิมปิค เราชื่นชมว่าเขาเก่ง แต่ความรู้สึกอาจต่างกัน ถ้านักเรียนคนนั้นเป็นลูกของญาติของเรา และเรียนชั้นเดียวกับเรา



เราเปรียบเทียบตัวเราในปัจจุบันกับอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ก่อนเราอาจจะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจแต่เดี๋ยวนี้ร่างกายอาจจะไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนเราอาจเคยเรียนเก่งมากแต่เดี๋ยวนี้ด้วยปัญหาต่างๆ ทำให้เราเรียนได้แค่ปานกลาง แต่ก่อนเราเคยมีเงินมากมายแต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้เรามีหนี้มากมาย ถ้าเราหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้เราก็จะรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเรากำลังตกอับ และมักจะคิดไปเองว่าคนอื่นก็มองว่าเรากำลังตกอับด้วย

เราเปรียบเทียบปัจจุบันกับความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เช่น อยากมีบ้านสวยๆ แต่ก็ยังไม่มีสักทีทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่น

หลายๆ ครั้งเราก็อยู่ของเราดีๆ แต่คนอื่นชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งแล้วก็มาตัดสินว่าเราด้อยกว่า และมาพูดให้เราได้ยินด้วย เช่น บรรดาแม่ๆ มักจะเอาลูกของคนอื่นที่เรียนเก่งมาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองแล้วบ่นให้ลูกฟัง เพราะหวังจะกระตุ้นให้ลูกเกิดความมานะ เอาอย่างคนเก่งๆ นั่น แต่ลูกอาจกลับเกิดความรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าคนอื่น บางครั้งการที่คนอื่นเอาเราไปเปรียบเทียบ แล้วมาพูดให้เราได้ยิน อาจเป็นการเหน็บแนมไม่ใช่ความหวังดีแบบนี้ก็ได้

การเปรียบเทียบนั้น บางครั้งก็ช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นมา ถ้าเรารู้สึกด้อยกว่าแล้วเราพยายามปรับปรุงตนเอง หรือเมื่อเราอยากเป็นแบบบุคคลที่เราชื่นชมแล้วพยายามพัฒนาตนเอง หรือพยายามเอาชนะคำสบประมาทของคนอื่น แต่ถ้าการเปรียบเทียบทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งแทนที่จะพยายามปรับปรุงตนเอง หรือยอมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้มีอย่างคนอื่นเขา แบบนี้ท่าทางเราจะเกิดภาวะการเปรียบเทียบที่เป็นพิษเสียแล้ว

การพบว่าจริงๆ แล้วเราด้อยกว่าคนอื่นนั้นเป็นความเจ็บปวด แต่การเปรียบเทียบที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เกินจริง และเป็นไปในแง่ลบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเรากำลังเจ็บปวดจากการเปรียบเทียบอยู่ให้ลองถามตัวเองว่า กำลังเปรียบเทียบอะไร เช่น ความสวย ความเก่ง ความรวย ความเด่นดัง ฯลฯ เพราะบางครั้งเราจะ "มึน" แยกประเด็นไม่ออกแล้วสรุปรวมว่าตัวเราโดยรวมทั้งหมดนั่นแหละที่ด้อย สู้เขาไม่ได้ ข้อมูลแม่นแค่ไหน รู้แน่หรือเดาเอา เรารู้แน่แล้วหรือรถที่เขาขับน่ะ ใช่รถของเขา เพื่อนเราไปเรียนเมืองนอกเพราะเก่งหรือเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองไทยไม่ได้

เรารู้หมดทุกแง่ทุกมุมหรือยัง? หรือเห็นแต่แง่ดีของเขาเพียงด้านเดียว เวลาเห็นคนที่ร่ำรวยเรามักคิดว่าเขาคงจะมีความสุข ที่จริงแล้วคนที่ร่ำรวยไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขเสมอไป คนที่มีแฟนแล้วหรือคนที่ "ขายออก" แต่งงานแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความสุขมากกว่าสาวโสด คนที่มีเงินเหลือเก็บมากเพราะประหยัดมากๆ ก็ไม่น่าจะมีความสุขเท่าไร โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกเป็นภรรยา

เมื่อพิจารณาความเป็นจริงแล้วลองคิดต่อไปว่า เขาดีกว่าเราแล้วมันจะเป็นอะไรไป ถึงเขาจะมีเงินมากกว่า แต่เราก็ยังมีเงินเท่าเดิม เงินที่เรามีอยู่มันไม่ได้หดหายไป ถึงคนข้างบ้านจะสวยกว่าเรามันก็ไม่ได้ทำให้เราสวยน้อยลง เราก็ยังคงเป็นคนสวยคนหนึ่งเหมือนกัน

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เราพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรบางอย่างเหมือนที่เขาทำหรือไม่ เพื่อนของเราอาจจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาดูแลลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาไปว่ายน้ำหลังเลิกงานจึงมีเงินขนาดนั้นได้ จะทำอย่างนั้นหรือไม่


เปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ แทนที่จะจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไปเราอาจเปลี่ยนวิธีเปรียบเทียบเสียใหม่ โดยเปรียบเทียบตัวเราตอนนี้กับตัวเราในอีก 1 ปีข้างหน้า ถ้าเราลงมือทำอะไรบางอย่าง เช่น ออกวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 1 ปีผ่านไปเราน่าจะหุ่นดีขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่ดีขนาดคนข้างบ้านก็ตาม

การเปรียบเทียบจะเป็นปัญหาเมื่อมันไม่สมเหตุผล มากเกินไป บ่อยเกินไป ลดการเปรียบเทียบลงแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น

17 พฤศจิกายน 2552

ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม


เรื่อง ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม...โดย คุณสุวิไล บุญธวัชชัย

ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสามีที่อนุญาตให้นำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีคู่ครองติดสุราหรืออบายมุขอื่นๆ ที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ได้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นาน ก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน คุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามี คุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ

ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ ไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น

เหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปี สามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆ ตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท ทำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบ สามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย

ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่ หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉัน ดูแลแทนทั้งหมด ตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเอง เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คน และลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่

เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืน จนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึก ดิฉันจะเป็นห่วงและไม่เข้านอนจนกว่าเขาจะกลับมา โรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้น ถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย ดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว

ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระ จุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถา เพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง และไม่เข้าใจว่าสวดมนต์เพื่ออะไร

ขณะที่ดิฉันแทบจะหมดอาลัยตายอยาก อาจจะเป็นเพราะได้ทำบุญกุศลร่วมกับพี่สาวของดิฉัน อยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆเขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมาก จึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงาน เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้น

ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด) การสวดมนต์และแผ่เมตตาที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำได้ยากมาก เพราะการที่จะสำรวมกายสำรวมใจสวดมนต์ในตอนแรกๆ ต้องอดทนและฝืนใจตัวเองอย่างมากๆ

คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวดิฉันเองมักจะพูดว่าไม่มีเวลาสวดมนต์ ทำงานเหนื่อยทั้งวัน สวดมนต์ทีไรง่วงทุกที แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะ เมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุด จากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุงมหากา บทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ) พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง

อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับ สามีลงมาก แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงส์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับ ธรรมะจัดสรรให้

หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่าน มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทาง ธรรมะมากขึ้น ความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว ทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมะจากหลวงพ่อโดยตรง ทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ดิฉันจะนำคำสอนจากท่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเอง

ดิฉันเริ่มมอง ตัวเองและแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ซึ่งแต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์ และจะโกรธเขาทุกข์ครั้งที่เห็นเขาดื่มเหล้า แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรม และฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้

ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติ และไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉัน ได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามี และอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน ไม่รื้อฟื้นสิ่งที่ไม่ดีในอดีต ปรับปรุงตัวเอง ลดทิฐิ พูดจาดีๆกับเขา ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เขาเลิกเหล้า

หลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆลดการดื่มเหล้าลง จนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ และเป็นสามีที่ดีของดิฉัน การปฏิบัติธรรมนอกจากทำให้ดิฉันมีชีวิตครอบครัวที่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ดิฉันได้ระลึกถึงกรรมที่ได้ทำไว้กับผีเสื้อเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ดิฉันได้จับผีเสื้อมา ๔ ตัว และให้เพื่อนคนหนึ่งฉีดยากลางหลังทุกตัวเพื่อสต๊าฟไว้ส่งครูในวิชาชีวะ แต่หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ฝันเห็นผีเสื้อยักษ์ตัวใหญ่บินเข้ามาหาดิฉัน เพื่อจะมาทำร้าย จนดิฉันตกใจตื่น โดยไม่ทราบว่านี่คือความอาฆาตแค้นที่ผีเสื้อเหล่านั้นมีต่อดิฉัน จนกลายเป็นกรรมที่ดิฉันต้องชดใช้นานถึง ๑๐ ปี กับอาการปวดหลัง ที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทุกครั้งที่ปวดหลังดิฉันจะเดินไม่ได้ จะนั่งจะนอนก็ทรมานไปหมด กว่าจะดีขึ้นก็ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ จนกระทั่งได้มานั่งกรรมฐาน จึง ระลึกได้ว่า ที่ปวดหลังมาเป็นเวลา ๑๐ ปีนั้นเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ทำไว้กับผีเสื้อ ดิฉันจึงขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้กับผีเสื้อเหล่านั้น หลังจากนั่งกรรมฐานติดต่อกันเป็นเวลาหลานเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ยอมอโหสิให้กับดิฉัน เพราะอาการปวดหลังของดิฉันได้หายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นเป็นเวลา ๔ ปีแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการขออโหสิกรรมโดยการเจริญ กรรมฐาน ดิฉันขอสรุปว่า ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ของเรามีทางออกที่ดีได้ ถ้าเรายอมลดทิฐิลง มองดูตัวเองก่อนเพื่อแก้ไขความบกพร่อง ให้อภัยและอโหสิกรรมผู้อื่น เรื่องในอดีตอย่าไปรื้อฟื้น ขอให้ตั้งสติเพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันการที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็โดยการเจริญกรรมฐานเท่านั้น

จากประสบการณ์ชีวิตของดิฉันเอง การที่จะได้ของดีมักจะมีอุปสรรค ขอให้อดทน เริ่มจากสวดมนต์ อโหสิกรรม และแผ่เมตตาทุกวัน แล้วธรรมะก็จะจัดสรรเป็นขั้นเป็นตอนให้ได้มีโอกาสเจริญกรรมฐานในที่สุด ถึงแม้ต้องต่อสู้กับตัวเองและใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อทำให้เป็นกิจวัตร แต่พอทำได้แล้วจะรู้สึกไม่ยากเลย และจะพบแต่สิ่งดีๆที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ (ปัจจังตัง เวทิตัพโพ วิญญฺหิ)

10 พฤศจิกายน 2552

เทคนิคการทำข้อสอบ


1 ฝึกทำข้อสอบ

- ควรหาข้อสอบเก่าๆ ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี มาทดลองหาคำตอบจากสิ่งที่ได้เรียนและได้อ่านมาเพื่อจะได้เป็นการทดสอบว่าเรามีความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านมาหรือไม่ ฝึกเขียนเพื่อสร้างความชำนาญในการเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ การนำองค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาใช้ จะทำให้เมื่อพบข้อสอบจริงจะสามารถเชื่อมโยงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งจะทำให้ทราบว่าตัวเรายังบกพร่องตรงจุดไหนเพื่อจะได้ไปอ่านทบทวนให้มากขึ้น

2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบ

- ปากกาที่ใช้ควรเป็นสีเข้ม เช่น สีดำ ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ไม่ปวดตาเวลาที่เขียนข้อสอบนานๆและช่วยให้อาจารย์ตรวจข้อสอบของเราได้ง่ายขึ้น เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ตรวจข้อสอบในเวลากลางคืน ก็จะทำให้อาจารย์สบายตาเวลาตรวจ และหากอยากให้เขียนได้เร็วและชัดเจน อาจเลือกใช้ปากกาเจล และควรเลือกปากกาที่ตนเองมีความถนัด ไม่ใช่เลือกรูปแบบที่ไม่มีความถนัด เมื่อต้องเร่งเขียนข้อสอบอาจจะเขียนได้ไม่คล่อง- ไม่ควรใช้ Liquid paper เพราะจะทำให้เสียเวลามานั่งลบ มานั่งคอยให้แห้ง ซึ่งในความเป็นจริง หากมีการเขียนข้อความผิดควรใช้วิธีขีดฆ่าให้เป็นระเบียบ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว- อาจมี Template รูปเรขาคณิต เพื่อช่วยในการวาดรูป เขียน diagram จะทำให้ใช้เวลาน้อยลงส่วนไม้บรรทัดสามารถนำเอาไปใช้ในการเน้นหัวข้อต่างๆ ก็ได้ หรือใช้เป็นตัวช่วยในการขีดฆ่าข้อความที่ไม่ใช้แล้ว- ไม่ควรใช้ปากกาเน้นข้อความในกระดาษคำตอบ เพราะอาจจะทำให้อาจารย์ต้องใช้สายตามากขึ้น ถ้าอยากเน้นข้อความใดให้ใช้ปากกาสีแดงขีดเส้นใต้ก็พอแล้ว

3 ลักษณะข้อสอบ

- เป็นข้อสอบอัตนัย แยกของแต่ละอาจารย์ผู้สอน (ถ้ามีอาจารย์ 3 ท่านจะมี 3 ส่วน แต่ถ้ามี 4 ท่าน ก็อาจจะออกทั้ง 4 ท่านหรือออกเพียง 3 ท่าน) จำนวนข้อสอบต่ออาจารย์หนึ่งท่านไม่มีกฎตายตัวว่าจะมีข้อสอบกี่ข้อ อาจารย์หนึ่งท่านอาจมีข้อสอบข้อย่อย 1-2 ข้อ และในข้อย่อยจะมีหลายคำถามต้องอ่านโจทย์และคำสั่งให้ดี- ข้อสอบส่วนใหญ่เป็นการทดสอบความสามารถในเชิงวิเคราะห์ คือ นำองค์ความรู้มาใช้ในการตอบโจทย์ มีบางครั้งเท่านั้นที่อาจารย์จะถามตรงๆ และให้ตอบตรงๆ (ต้องการแต่เนื้อ ไม่ต้องการน้ำ)

4 สมุดคำตอบ

- สมุดคำตอบจะมีลักษณะเป็นเล่ม เล่มหนึ่งมีจำนวน 8 หน้า ปกจะมี 3 สี คือ เขียว ชมพู และเหลือง โดยแต่ละอาจารย์จะกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้สีอะไรสำหรับการเขียนคำตอบ ต้องระวังการเขียนคำตอบสลับอาจารย์ เพราะจะทำให้เสียเวลามากๆ ในการแก้ไข

5 การเขียนคำตอบ

- ควรเขียนด้วยตัวหนังสือให้มีขนาดใหญ่ เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่ใช้เวลากลางคืนในการตรวจข้อสอบ จะช่วยให้อาจารย์อ่านได้สะดวก หากลายมืออ่านยากควรเขียนบรรทัดเว้นบรรทัด เพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้น

6 วิธีการทำข้อสอบ

- เมื่อเข้าห้องสอบควรรีบอ่านโจทย์ของแต่ละอาจารย์แล้วคิดว่าจะใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) อะไรมาตอบ รีบจดสิ่งที่คิดว่าจะนำมาใช้ในการตอบลงไปในข้อสอบก่อน เพื่อที่ว่าเวลาที่เขียนคำตอบจะได้เชื่อมโยงได้เร็ว ไม่ต้องเสียเวลาคิด ควรยอมเสียเวลาประมาณ 15 นาทีในการระลึกถึงองค์ความรู้ทั้งหมดที่จะนำมาใช้ในการตอบ เพราะเมื่อเริ่มลงมือเขียนจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาคิดทบทวนอีก) โดยควรกำหนดโครงเรื่องไว้ว่าจะตอบอย่างไร เริ่มต้นจากอะไร จบลงด้วยอะไรประเด็นใดควรเป็นประเด็นหลัก ประเด็นรอง

- ควรเลือกทำข้อสอบข้อที่คิดว่าทำได้มากที่สุดก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และข้อสอบข้อที่ทำได้มากที่สุดก็จะได้เป็นตัวช่วยให้ได้คะแนนดี

- ในการอ่านโจทย์ต้องแตกประเด็นให้ได้ว่า ในโจทย์นั้นมีทั้งหมดกี่คำถาม เขียนหมายเลขกำกับไว้ทุกคำถามเพื่อกันลืม และต้องตอบให้ครบทุกประเด็นคำถาม เช่น ถ้าถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ก็ต้องมีคำตอบว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร ทำไม (ต้องตอบให้ครบทุกประเด็นที่ถาม)

- วางแผนการใช้เวลาให้เหมาะสม เพราะในการสอบจะกำหนดเวลาไว้ 3 ชั่วโมง คือระหว่างเวลา18.00 – 21.00 น. ดังนั้น ควรใช้เวลาของแต่ละอาจารย์ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาแล้วควรเปลี่ยนไปทำของอาจารย์ท่านอื่น อย่าใช้เวลากับข้อสอบข้อใดข้อหนึ่งนานเกินไป เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการทำข้อสอบข้ออื่นๆ หากมีเวลาเหลือค่อยกลับมาทบทวนหรือเพิ่มเติมหรือทำข้อที่ค้างไว้เพื่อให้คำตอบนั้นสมบูรณ์ขึ้น และหาจ ุดบกพร่องที่ควรแก้ไข

- ต้องใช้องค์ความรู้ (Body of Knowledge : B of K) มาเป็นหลักในการตอบทุกครั้ง โดยในการตอบข้อสอบทุกข้อ ต้องเริ่มด้วยองค์ความรู้ ทฤษฎี นักคิด ต่างๆ ก่อน แล้วจึงนำองค์ความรู้นั้นมาประกอบกับการตอบโจทย์

- ในการตอบข้อสอบทุกครั้งจะต้องยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย เพื่อให้คำตอบนั้นมีความชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้อาจารย์เห็นว่าเรามีความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่การท่องมาตอบแบบนกแก้วนกขุนทอง

- เมื่อตอบข้อสอบในทุกประเด็นครบแล้ว ตอนจบสุดท้ายควรมีสรุป คือ การสรุปจากประเด็นที่เขียนมาทั้งหมดให้เป็นแบบย่อๆ อีกครั้ง- ถ้าข้อสอบให้มีการอภิปรายถามความเห็น และจำเป็นต้องใช้คำเรียกแทนตัว ผู้ชายควรใช้ว่า“กระผม” หรือ “ผม” ส่วนผู้หญิงควรใช้ว่า “ดิฉัน” ไม่ควรใช้ว่า “ข้าพเจ้า” เพราะอาจารย์จะไม่ทราบว่าผู้ตอบข้อสอบเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

- ควรทำข้อสอบทุกข้อแม้ว่าจะมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไม่มาก ควรพยายามเขียน เพราะการเขียนยังมีโอกาสให้อาจารย์ให้คะแนนบ้าง ถ้าไม่เขียนอะไรเลยอาจารย์ก็ไม่ทราบว่าจะให้คะแนนตรงไหน

- จำนวนหน้าไม่มีผลกับคะแนน การเขียนหลายเล่มแต่มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ไม่มีองค์ความรู้ก็ไม่ได้ทำให้ได้คะแนนดี ความสำคัญอยู่ที่องค์ความรู้ที่เอามาใช้ และต้องตอบให้ครบทุกประเด็น มีเกริ่นนำตอบครบ ยกตัวอย่าง มีข้อเสนอแนะ และสรุป โดยควรเขียนให้กระชับ ไม่วกวน มีเวลาไปทำของอาจารย์ท่านอื่น

7 คำแนะนำทั่วไป

- ควรไปถึงห้องสอบก่อนเวลาพอสมควร เพื่อลดความวิตกกังวล และให้สมองได้ผ่อนคลาย

- ควรฟังคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่คุมสอบอย่างตั้งใจ เพราะผู้คุมสอบจะให้ข้อมูลว่าสมุดเล่มใดเป็นของอาจารย์ท่านใด (จะแยกแยะโดยใช้สีสมุด ดังนั้น ห้ามตอบสลับเล่มกันโดยเด็ดขาด) มีข้อสอบทั้งหมดกี่หน้า มีทั้งหมดกี่ข้อ ทำทุกข้อหรือให้เลือกทำ

- เน้นกลุ่มเป้าหมาย ในระหว่างการเรียนควรจับทิศทางให้ได้ว่า อาจารย์แต่ละท่านชอบแนวทางใด สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ หรือเป็นนักวิชาการด้านใด การตอบในแนวทางที่อาจารย์สนใจ ให้ความสำคัญจะช่วยให้ได้คะแนนดี ไม่นิยมการท่องจำ หนังสือที่จัดให้อ่านมีกี่เล่มต้องอ่าน เพราะอาจนำเนื้อหาจากหนังสือที่ให้อ่านมาถามทั้งๆ ที่ไม่ได้สอนในห้องเรียน

04 พฤศจิกายน 2552

พอเพียงกับชีวิตที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎีสไตล์ 5 คนดัง


หลายคนมักเข้าใจว่า "ชีวิตพอเพียง" มีความหมายแค่อยู่อย่างประหยัด และไม่ช็อปปิ้ง ทั้งที่ในความเป็นจริง "ชีวิตพอเพียง" ครอบคลุมไปถึงวิธีคิด วิธีตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมกับตัวเราโดยไม่ได้มุ่งหวังความร่ำรวยในบั้นปลาย หากแต่มีเป้าหมายคือ ความสุขที่ยั่งยืน ไม่มีวันสูญหาย ไม่ว่าเงินในกระเป๋าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง นี่คือตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่หาหนทางพอเพียงของตัวเองเจอ และพิสูจน์ให้เราเห็นว่าชีวิตพอเพียงนั้นไร้กรอบและไม่ได้มีอยู่แค่แบบเดียว

บี้ - สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว "พอเพียง" คือคำที่ใช่ตัวผม
แม้หนุ่มคนนี้จะถูกจับตามองว่าเป็นว่าที่ซูเปอร์สตาร์คนต่อไปแต่ตัวเขาเองกลับพอใจชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ พอใจที่จะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ และ “ให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
Did you know: เรื่องที่บี้ยอมฟุ่มเฟือยที่สุดคือการกิน เพราะเขาให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมากๆ


ดร.สิงห์ อินทรชูโต "สิ่งที่ทำคือความสุขทางใจล้วนๆ"
ชายคนนี้มีดีกรีหลายตำแหน่ง เขาเป็นทั้งดอกเตอร์ด้านสถาปัตยกรรม เทคโนโลยีการออกแบบ จากมหาวิทยาลัย MIT, อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, นักวิจัยและสถาปนิก แต่สิ่งที่ทำให้เราทึ่งในความเป็น ดร.สิงห์ คือ เขาสามารถนำขยะที่หลายคนมองว่าไร้ประโยชน์มาสร้างสรรค์ให้เกิดมูลค่าได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง
Did you know: ดร.สิงห์มักใช้ช่วงเวลาก่อนนอนคิดดีไซน์เฟอร์นิเจอร์จากขยะ และใช้เวลาว่างเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ในการออกแบบของตนเอง

ปอ - ทฤษฎี สหวงษ์ "ใช้เงินต้องรู้จักวางแผน ไม่ใช่มีแล้วใช้จนหมด"
แม้พระเอกมาแรงของช่อง 3 คนนี้จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนิยมวัตถุ แต่เขาก็มีภูมิคุ้มกันคือ นิสัยอดออมและพอใจในชีวิตเรียบง่ายซึ่งเป็นความสุขทางใจที่เขาบอกว่าไม่ต้องไปหาจากที่ไหน เพราะอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง
Did you know: หลังไปทำกิจกรรมคนหล่อขอทำดีปีแรกกับ สุดสัปดาห์ ที่บ้านป้านิดาซึ่งรับอุปการะหมาจรจัด ปอตัดสินใจรับสุนัขจรจัดมาเลี้ยงหนึ่งตัว แล้วตั้งชื่อว่า น้าโป๊ะ นอกจากนี้ปอลงทุนซื้อที่ดิน 90 ไร่ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อปลูกยางพารา ด้วยเหตุผลว่า เขาอยากให้โลกนี้มีสีเขียวมากขึ้น

หนูดี - วนิษา เรซ "ปิดเสียงข้างนอก แล้วกลับมาฟังเสียงข้างใน"
เธอเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ เจ้าของหนังสือเบสท์เซลเลอร์อย่าง “อัจฉริยะสร้างได้” “อัจฉริยะ...เรียนสนุก” และ “อัจฉริยะสร้างสุข” รวมถึงยังเป็นเจ้าของโรงเรียนวนิษา สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา ไม่ใช่แค่สวย รวย เก่ง แต่เธอยังมีเบื้องหลังชีวิตที่ฉลาดใช้และฉลาดคิดเพื่อสังคมด้วย
Did you know+ ความสุขของหนูดีทุกวันนี้คือการได้ปลูกผักและดูแลต้นไม้ที่โรงเรียนและที่บ้าน+ ทุกเดือนหนูดีจะไปเข้าอบรมเรื่องการวางแผนการเงินและการลงทุนที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากฟรีแล้วยังนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

ทราย เจริญปุระ "แค่รู้จักพอ และคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น"
เธอคนนี้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาแล้ว 15 ปี แม้จะเคยถูกเมาท์ว่าเป็นนางเอกขี้เหร่ แต่ในสายตาเรา เธอทั้งสวย ทั้งเก่ง และแกร่ง เพราะทุกวันนี้ทรายต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนคุณพ่อ (รุจน์ รณภพ) ซึ่งป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ในขณะเดียวกัน เธอก็สามารถบาลานซ์ชีวิตเรื่องงานและช่วยเหลือสังคมได้อย่างลงตัว
Did you know: ทรายเชื่อว่าการเป็นคนดีไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้จักพอและคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น และส่วนหนึ่งที่เธอตั้งใจทำเพื่อให้ความเชื่อนั้นเป็นจริงคือ แวะไปบริจาคเลือดทุกๆ 3 เดือนจนเป็นกิจวัตร และรวบรวมหนังสือที่มีอยู่ไปบริจาคให้แก่โรงเรียนที่ยากไร้ตามต่างจังหวัดเป็นประจำติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ใน

สกู๊ปพิเศษNo.638 (16 SEPTEMBER 2009)
สุดสัปดาห์

เรื่องน่ารู้เมื่อออกเดท

กฎข้อ 1 ใครชวนใครก่อนดี
สมัยก่อน ผู้หญิงควรรอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายออกปากขอเดทกับเราก่อน แต่โลกปัจจุบันนี้ หนุ่มสาวสมัยใหม่ ต่างฝ่ายต่างยอมรับความจริงกันมากขึ้น ดังนั้น หากสบตาแล้วรู้สึกว่าปิ๊งกันก็ไม่ผิดที่ฝ่ายหญิงจะเป็นคนสานต่อให้พองาม เพราะจริงๆเรื่องออกปากนัดนี้ ผู้ชายเขาก็กล้าๆกลัวๆเหมือนที่ผู้หญิงรู้สึกนั่นแหละ ดังนั้นการที่ผู้หญิงจะเริ่มต้นก่อนก็ดีเสียอีก ผู้ชายจะได้มีกำลังใจขึ้น อย่างไรก็ตาม สาวๆฝ่ายเริ่มก็ควรดูให้แน่ใจว่าเขาพร้อมจะมีไมตรีกับคุณ
วิธีที่เหมาะ ครั้งแรกอาจไปกับกลุ่มของเราก่อนเหมือนชวนเพื่อนคนหนึ่ง เท่านี้ก็สำเร็จ แต่ระวังเขาจะติดใจเพื่อนคุณแทนล่ะ

กฎข้อ 2 วิธีนัดที่เหมาะสม
ส่วนใหญ่ผู้หญิงมักขี้เกียจหรืออายเกินไปที่จะบอกรสนิยมหรือเป็นคนเสนอเลือกการนัดหมายให้ผู้ชาย ทำให้เขายุ่งยากเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ว่าจะนัดกันที่ไหนดี อย่ากลัวที่จะแนะนำเขาเรื่องนี้ เขาจะขอบคุณคุณมาก ควรเลือกที่ราคากลางๆไม่แพงสุดขั้วเกินไป และมีบรรยากาศสบายๆให้คุณกับเขาได้คุยกันบ้างไม่เอะอะมากนัก การนัดไปดูหนังถือว่าแย่มาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็จะจดจ่อกับหนังตรงหน้า มากกว่าที่จะทำความรู้จักกันและกัน
วิธีที่เหมาะ ควรหาที่ๆจะคุยกันได้สัก 2 ชั่วโมง ไม่เอะอะหรือจอแจเกินไป และหากเป็นนัดเที่ยวกลางคืน ต่างฝ่ายก็ควรตรงกลับบ้านทันที

กฎข้อ 3 บรรยากาศการนัดพบ
ในจินตนาการ สถานที่ดีที่สุดในการเดทกับผู้ชายครั้งแรก จะเป็นบรรยากาศประมาณว่าผู้ชายคนนั้นยืนรอคุณที่โถงชั้นล่างของบันได มีแสงแดดอ่อนๆส่องเข้ามาที่หน้าต่าง คุณในฐานะสาวสวยก็จะปรากฎโฉมที่ชั้นบนสุด ขณะนั้น แสงแดดอ่อนๆส่องต้องตัวคุณในชุดโทนสีพาสเทลดูอ่อนหวานน่าทะนุถนม พบกันคร้งแรกแบบนี้ ทำให้คุณดูสวยขึ้นอีกหลายเท่า แต่ความจริงก็คือ ต่างคนต่างก็วิ่งเข้ามาที่ร้านเพราะมาสาย และหากเขาเป็นฝ่ายต้องมารับคุณก็แปลว่าคืนนี้เขาต้องงดดื่ม และหากต้องนั่งแท๊กซี่กลับด้วยกัน ค่าแท๊กซี่ก็จะแพงกว่าค่าดินเนอร์มื้อเย็นเสียอีก
วิธีที่เหมาะ การนัดพบกันในโอกาสที่คุณเลือกและในสถานที่บรรยากาศปานกลางนั้น ไม่ได้แปลว่าเขาจะเห็นว่าคุณไม่มีค่า สมัยนี้ชีวิตที่มีสาระความจริงคือสิ่งที่ต้องยอมรับ หากคุณหาที่นัดพบในบรรยากาศสบายๆ และราคาที่ไม่มีใครกระเป๋าฉีก เขาก็จะคบคุณต่อไปได้สะดวกใจมากกว่า

กฎข้อ 4 พูดถึงรักเก่าได้ไหม
หากคุณเป็นผู้ชายที่นัดครั้งแรก แล้วกำลังคุยสนุกสนาน แล้วจู่ๆเรื่องของแฟนเก่าก็เข้ามาแทรก แบบนี้มันจะหมดอารมณ์แค่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่ไม่ควรคุยในการเดท เช่นการแต่งงาน เรื่องอนาคตร่วมกัน เรื่องการมีลูก เป็นต้น ก็อะไรจะไปไกลขนาดนั้น เพิ่งเดทกันครั้งแรกแท้ๆอย่าฟุ้งซ่านไปถึงขนาดนั้นเลย พอสาวเริ่มพูดเรื่องแบบนี้ ผู้ชายทั้งร้อยก็เผ่นแทบไม่ทัน ก็เขากลัวคุณจะจับเขาไงล่ะ
วิธีที่เหมาะ คุยเรื่องเบาๆสบายๆที่ไม่ให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกถูกผูกมัดมากเกินไป หากมีการพูดถึงเรื่องความรักครั้งเก่าโดยบังเอิญ ก็ทำให้มันดูเป็นเรื่องธรรมดาๆและจบบทสนทนานี้โดยเร็ว แต่อย่าทำให้รู้สึกว่าคุณกำลังมีพิรุธล่ะ

กฎข้อ 5 การจ่ายค่าอาหาร
ทัศนคติแบบเก่าเชื่อว่า หน้าที่นี้เป็นของผู้ชายในนัดแรก แต่ผู้หญิงก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกว่า เพราะเขาเป็นผู้ชายเขาจึงเป็นหนี้คุณมาแต่ชาติปางก่อนและต้องมาจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้คุณ ทั้งๆที่เรื่องนี้น่าจะเป็นความเต็มใจที่เขาทำให้คุณมากกว่า
วิธีที่เหมาะ ให้เขาจ่ายได้ในนัดครั้งแรก แต่อย่าเลือกร้านแพงเกินไป แสดงให้เขารู้ว่าคุณพร้อมหากจะจ่ายคนละครึ่ง แล้วรอให้เขาบอกว่า "ไม่ต้องครับ ผมเอง" จะดีที่สุด จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วขอบคุณเขาพร้อมกับหยอดว่า เขาน่ารักมากและทำนองว่าคราวหน้าขอโอกาสนี้ให้คุณเลี้ยงบ้าง สำคัญคืออย่าแย่งกันจ่ายจนคนทั้งร้านจะมองว่าคู่คุณเป็นตัวตลก

กฎข้อ 6 กลับบ้านหลังเดท
ไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้ชายไปส่งคุณที่บ้านเหมือนความเชื่อเก่าๆ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ขึ้นกับสถานการณ์และความสะดวกมากกว่า หากเป็นที่ๆสะดวกพอ คุณสามารถบอกลาแล้วแยกกันไปคนละทางก็ได้ หรือถ้าเขาจะไปส่งคุณที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องชวนเขาเข้าบ้าน หากมันดึกแล้ว
วิธีที่เหมาะ บอกเขาไปได้เลยว่า ตอนนี้ดึกแล้ว ขอบคุณที่มาส่ง วันหลังค่อยพบกันใหม่ ให้เขารู้สึกว่าคุณมีศักดิ์ศรีที่ต้องระวัง แบบนี้จะประทับใจเขามากกว่าทำตัวเป็นเด็กอ่อนให้เขาคอยช่วยเหลือตลอดเวลา

กฎข้อ 7 เชิญเข้ามาทานกาแฟ
ประโยค "เข้ามาดื่มกาแฟก่อนไหมคะ" ของผู้หญิงนั้น ตีความหมายได้หลากหลายอย่าง เช่น เพียงแค่อยากบริการเครื่องดื่มอุ่นๆเขาก่อนกลับบ้าน หรืออยากคุยกับเขาต่อนานๆหรือกำลังจับเขาและอยากให้เขาลวนลามบนโซฟาห้องรับแขก หรืออาจถึงขั้นอยากชวนเขาถอดเสื้อผ้าแล้วมีเซ็กซ์กันต่อหลังการเดทก็เป็นได้ ปัญหาก็คือ ผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่านัยที่คุณเอ่ยชวนนี้แปลว่าอะไร
วิธีที่เหมาะ หากคุณไม่มีเป้าหมายอื่น ถ้าจะให้ปลอดภัยคุณก็ควรพูดให้แจ่มแจ้งพร้อมท่าทางประกอบที่จริงใจ เพื่อให้เขาไม่เข้าใจผิดกฎข้อ 8 เซ็กซ์กับเดทครั้งแรก
เรื่องนี้พูดกันตรงๆมันก็ขึ้นอยู่กับคุณเองนั่นแหละ ว่าจะยอมให้เกิดขึ้นแค่ไหน แต่ที่อยากให้ระลึกก็คือ ทำแล้วมีผลอะไรบ้างในระยะยาว หากคุณอยากพบเขาอีกจะปลอดภัยกว่าหากรอสักหน่อย จริงอยู่ แม้จะมีบางคู่ที่แต่งงานกันเมื่อมีเซ็กส์ในเดทครั้งแรก แต่เรื่องนี้ก็ควรพิจารณาให้ดีๆ
วิธีที่เหมาะ หากชอบเขาจริงๆก็ทำอะไรที่ไม่ให้เขารู้สึกว่าคุณเป็นผู้หญิงไวไฟจะเหมาะสมกว่า

กฎข้อ 9 แลกเบอร์กันได้ไหม
เวลาที่ลุ้นระทึกก็คือช่วงว่า เขาจะขอเบอร์โทรคุณไหม แต่ลองนึกถึงว่าหากเขาโทรไปตอนเช้าที่คุณยังไม่ลุกจากเตียงล่ะ เรื่องแบนี้ผู้ชายมักจะเป็นกังวลมากกว่าผู้หญิง เขาจึงไม่ค่อยให้เบอร์ใครง่ายๆและผู้ชายก็ไม่ชอบใช้โทรศัพท์คุยไร้สาระ สำหรับเขาการให้เบอร์โทรคือเรื่องจริงจัง ที่สำคัญคือเขาควรเป็นฝ่ายขอคุณก่อนไม่ใช่คุณเป็นฝ่ายขอเพราะอาจทำให้เขาลำบากใจ
วิธีที่เหมาะ ควรรอให้เขาเป็นฝ่ายให้เบอร์เองจะดูดีกว่า

กฎข้อ 10 แล้วเขาจะโทรมาไหม
เวลามาตรฐานในการโทรกลับของผู้ชายคือ ประมาณ 3 วันขึ้นไปก่อนที่จะโทรกลับมาหาคุณ แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่า เขาต้องเป็นฝ่ายขอเบอร์คุณไม่ใช่คุณให้เขาเอง เขารู้สึกว่าการโทรไปทันทีจะเปิดเผยความรู้สึกมากเกินไป ผู้ชายมักจะรอจนกว่าจะมั่นใจในตัวเอง และเชื่อได้ว่า ถ้าเขาโทรมาก็มักจะไม่ใช่การโทรมาคุยเล่นๆ แต่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น เช่น อาจเป็นนัดครั้งต่อไป
วิธีที่เหมาะ รับโทรศัพท์จากเขาอย่างเป็นมิตรจะมีประโยคเริ่มต้นแบบเชยๆเช่นว่า "พอดีผมเจอเบอร์คุณในกระเป๋าเลยโทรมา" เขาจะไม่บอกหรอกว่าเขาคิดถึงคุณ แค่นี้ก็แปลว่า ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของคุณแล้วล่ะค่ะ

ที่มา : www.mthai.com